จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 423 ทำลายมารในใจ·รีบไปสู่แดนสุขาวดี
ดวงตาของทารกหญิงดำขลับดั่งนิล ไม่มีสิ่งปลอมปนแม้แต่น้อย บริสุทธิ์ปานน้ำพุยามสารทฤดูในเขาร้อยปี ทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มเป็นอย่างยิ่งของหลี่มู่สงบลงโดยไม่รู้ตัว
นับจากที่เจอเจ้าตัวน้อยใต้หอที่พังถล่มในเมืองพยัคฆ์หมอบ หลี่มู่ก็กอดไว้กับอกไม่ปล่อย
ส่วนมารดาของทารกหญิงฝังศพแล้วเรียบร้อย
เจ้าตัวน้อยก็ติดหลี่มู่เป็นพิเศษ
โดยเฉพาะเมื่อหลี่มู่ใช้พลังธาตุไม้จักรพรรดิเขียวแดนตะวันออกปรับสมดุลร่างกาย เพิ่มเลือดลมให้แล้ว นางก็สนิทชิดเชื้อว่าง่ายยิ่งนักอยู่ในอ้อมแขนของเขา ยามมองเห็นหลี่มู่ก็ส่งเสียงหัวเราะใสบริสุทธิ์อย่างที่มีเฉพาะในเด็กทารก
“ใต้เท้า จวนเจ้าเมืองเกิดเรื่องแล้ว” เพิ่งเข้าเมืองมา ผู้บัญชาการกองทัพต้าเยวี่ยคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
หลี่มู่ฟังจบ ความหงุดหงิดในใจก็ผุดขึ้นมาอีก
“ไปดูสักหน่อยเถิด” เขาอุ้มเด็กทารกหญิงเอาไว้ หยอกล้อปลอบประโลมพลางเดินไปทางจวนเจ้าเมืองอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ไม่นานนัก ด้านหน้าก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น ประตูใหญ่ของจวนเจ้าเมืองปรากฏอยู่เบื้องหน้า
“ฆ่าเจ้าสารเลวหลี่”
“ให้หลี่มู่ออกมา”
“ฆ่ากากเดนที่เหลือของต้าเยวี่ยพวกนี้เสีย ดูซิว่าเจ้าชั่วหลี่มู่จะปรากฏตัวขึ้นหรือไม่”
เสียงตะโกนต่างๆ ทำให้หลี่มู่คิดว่าตัวเองเหมือนมาห้องสอบสวนอย่างไรอย่างนั้น เขาเห็นจางซานและมู่ชิงสองคนกำลังรักษาความเรียบร้อยอย่างสุดกำลัง แต่กลับต้านทานคนอารมณ์พลุ่งพล่านพวกนี้ไม่ได้
ใบหน้าแต่ละดวงที่คิดไปเองว่าผดุงความยุติธรรมแต่ความจริงกลับตื่นเต้นจนค่อนข้างเหี้ยมเกรียมขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาหลี่มู่
“หลี่มู่ กลัวแล้วหรือไร? ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ขอแค่เจ้าส่งตำราลับวิชาเทพ มอบของล้ำค่ามาให้ พวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้”
“ไม่ ยังต้องมอบเมืองขาวพิสุทธิ์มาด้วย ผู้สังหารจักรพรรดิไม่มีสิทธิ์จะอาศัยในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้”
“ผนึกพลังฝึกด้วยตัวเอง ปลีกวิเวกห้าร้อยปี”
“ฮ่าๆ หลี่มู่ก็มีวันนี้ด้วยเหมือนกัน”
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดมากอย่างหนึ่ง คนส่วนมากยามอยู่ตัวคนเดียวมักจะใจเย็นและสงบนิ่งนัก คิดหน้าคิดหลัง คิดให้รอบคอบแล้วจึงทำ แต่เมื่อคนมากมายรวมตัวอยู่ด้วยกันจะอยู่ในสภาวะคึกคะนองและหัวรุนแรง คนที่ต่อให้มีเหตุผลเพียงใดก็จะมีอารมณ์คล้อยตาม และเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา
หลี่มู่มองคนเบื้องหน้าพวกนี้ พลันรู้สึกว่าค่อนข้างน่าหัวเราะ
คนพวกนี้พลังฝึกล้วนไม่ธรรมดา ไม่คุ้นหน้า ก่อนนี้ไม่เคยได้เห็นหน้าสักเท่าไหร่ แต่ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์ก็ล้วนแต่เป็นสำนักสืบทอดเก่าแก่และบุคคลยิ่งใหญ่ในตระกูลสูงส่ง มีมารยาท บุคลิกไม่ธรรมดา บ้างสูงส่ง บ้างดุดัน เมื่อเห็นแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
แต่ความเหี้ยมเกรียมของผู้ยิ่งใหญ่พวกนี้ ในตอนนี้กลับอุจาดตาเสียยิ่งกว่าท่าทางกินอาหารของขอทานข้างถนนเสียอีก
เรื่องราววุ่นวายถึงขั้นนี้เชียวหรือ?
หลี่มู่ได้ยินคำร้องตะโกนของพวกเขา สีหน้าก็แปลกประหลาด
คนพวกนี้ถือสิทธิ์อะไรคิดว่าเขากลัวพวกเขา?
อาศัยอะไรมาคิดว่าตนถูกพวกเขาบีบอยู่ในมือ?
เพียงแค่เพราะหลายวันมานี้ตนไม่สนใจพวกเขา?
พวกเขาปัญญาอ่อนแล้วกระมัง
หรือสมองถูกลาถีบเข้าให้?
อ้อมแขนของหลี่มู่อุ้มเด็กทารกหญิงเอาไว้ เขารู้สึกว่าค่อนข้างน่าขบขัน กระนั้นแล้วจึงโบกมือให้เหล่าทหารหยุดลง ยืนอยู่รอบนอก ดูอยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนเขา
หน้าประตูจวนเจ้าเมือง จางซานและมู่ชิงผู้แข็งแกร่งที่ยังเหลือรอดของกองกำลังต้าเยวี่ยทั้งสองสะบักสะบอมยิ่งนัก อีกทั้งทหารต้าเยวี่ยหลายสิบคนที่เดิมรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ถูกโจมตีลอยกระแทกเข้าไปจวนเจ้าเมือง กระอักเลือด บาดเจ็บสาหัส
ผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่าทั้งหลายประชิดจวนเจ้าเมืองมาทีละก้าวๆ
“หลี่มู่ฆ่าฟันจนเป็นสันดาน สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง”
“อายุน้อยๆ ก็ฆ่าคนไปมากมายขนาดนี้ แม้แต่องค์จักรพรรดิยังไม่อยู่ในสายตา โตขึ้นจะมิแย่เอาหรือ?”
มีคนเอ่ยเสียงดัง
ความเย็นยะเยือกในดวงตาหลี่มู่แผ่วนออกมาราวเกล็ดน้ำแข็ง
เข่นฆ่า?
เขาหัวเราะหึๆ ขึ้นมาทันที
จักรพรรดิฉินหมิงแค่บัญชาออกมาคำเดียว กองกำลังฉินตะวันตกก็ฆ่าล้างสิบเมืองเกาดินแดนนับล้าน ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น การเข่นฆ่าราวเขาซากศพทะเลเลือดเช่นนี้ ตอนนั้นคนพวกนี้หดหัวอยู่ในป่าลึก ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ดูดาย ไม่ตำหนิจักรพรรดิฉินหมิง
แต่ตอนนี้กลับกระโดดออกมาตำหนิตน?
หลี่มู่พลันรู้สึกว่าความหงุดหงิดของตนในหลายวันนี้เป็นเพราะค่อนข้างจะ…เบื่อ?
ความละโมบ ปรารถนา บ้าคลั่ง เหี้ยมเกรียม ชั่วช้า เยาะหยัน บ้าระห่ำ เหี้ยมโหด และหัวเราะยินดีบนใบหน้าของคนพวกนี้…สีหน้าทั้งหมดในสายตาหลี่มู่รวมเป็นคำอย่างช้าๆ
กล้ากับคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่ง
จากนั้นเขาก็ก้มลงมองเด็กทารกในอ้อมอก
ทารกหญิงหลับไปแล้ว ใบหน้ายังอมด้วยรอยยิ้ม มีลักยิ้มอันอบอุ่นเล็กๆ สองข้าง ขนตายาว สีหน้าหวาดหยด มือเล็กๆ ข้างหนึ่งกำเสื้อหลี่มู่เอาไว้แน่น...เป็นภาพที่สงบนิ่งชวนให้คนเคลิ้บเคลิ้มนัก
ความหงุดหงิดในใจของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว
ในมังกรหยก ความสับสนและความคิดของก๊วยเจ๋งนั้นเกี่ยวกับความสงสัยเรื่อง ‘ประเด็นวรยุทธ์สังหารคน’ สุดท้ายยาจกเก้านิ้วอั้งฉิกกงเป็นผู้ไขปัญหาให้
ชั่วชีวิตยาจกอุดรสังหารคนไปไม่น้อย แต่ทุกคนสมควรตายทั้งสิ้น เขาใจคอกว้างขวาง ตรงไปตรงมา ไร้มลทิน เผชิญหน้ากับการซักไซ้ของพวกฮิ้วโชยยิ่ม มารบูรพา พิษประจิมและอึ้งย้งก็ต่างจนคำพูด มีเพียงคำอธิบายอันทรงคุณธรรมของอั้งฉิกกงเท่านั้น สุดท้ายก็ทำให้ฮิ้วโชยยิ่มไม่อาจโต้แย้งอะไรได้อีก
หลี่มู่นั้นรู้คำตอบนี้
คำตอบที่ท่านกิมย้งให้เอาไว้ก็คือทำอะไรต้องไม่ละอายใจตน
ก่อนนี้หลี่มู่เสียใจเพราะการตายของไช่ไช่ย่าหลานและคู่สามีภรรยาหนิงจิ้ง นั่นก็เพราะละอายใจตน รู้สึกว่าตัวเองไปไม่ทันเวลา ช่วยพวกเขาเอาไว้ไม่ได้ จึงรู้สึกหงุดหงิดและสับสน
ดังนั้นเขาจึงลืมคำตอบนี้ไปเสียแล้ว
แต่ตอนนี้ เมื่อมองความงดงามของเด็กทารกในอ้อมแขน แล้วมองความชั่วช้าของพวกบุคคลยิ่งใหญ่ในยุทธจักรแต่ละคนหน้าประตู หลี่มู่ก็พลันเกิดความคิดว่าฆ่าคนชั่วพวกนี้ให้หมด เช่นนั้นคนดีก็จะได้รับความช่วยเหลือแล้วใช่หรือไม่?
ก่อนหน้านี้เขาห่วงหน้าพะวงหลัง มีเมตตาเกินไปใช่หรือไม่?
เขามักรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่แขกที่ผ่านมาของโลกนี้ เหมือนกับคนเดินทางรีบร้อน พักอยู่ที่บ้านเจ้าบ้านไม่กี่วันก็ต้องจากไป ดังนั้นเขาจึงรังเกียจการแก่งแย่งชิงดีเป็นใหญ่ รังเกียจการหลอกลวงซึ่งกันและกัน หากไม่ใช่ญาติมิตรเจอเรื่องลำบากจริงๆ ก็จะลงมือน้อยครั้ง และใช้สายตาอย่างคนนอกปฏิบัติกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้
หากใช้คำมาบรรยายนั่นก็คือ ‘นิ่งเฉย’ เกินไป
ทำให้ตอนนั้นอวี๋ฮว่าหลงชวนเชิญให้เขาอยู่ที่ต้าเยวี่ย โจมตีเมืองปกป้องต้าเยวี่ย เขากลับปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม หรือจะพูดว่าหลี่มู่หลี่อย่างค่อนข้างน่าสมเพช
เหมือนกับทั้งเมืองพยัคฆ์หมอบถูกล้างสังหารทำลายทั้งเมือง
แต่ตอนนี้หลี่มู่รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรเป็นแค่คนที่ผ่านทางมา
บนเส้นทางชีวิตไม่เคยมีแบ่งเจ้าบ้านกับแขก เดินไปที่ไหนก็เป็นเจ้าบ้านของที่นั่น
ดังนั้น หากใช้มุมมองของแขกลิ้มรสความทุกข์ยากของเจ้าบ้าน นี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ตนสับสนและคั่งแค้นในหลายวันที่ผ่านมานี้กระมัง
หากใช้มุมมองของเจ้าบ้านมาพิจารณาก็จะไม่เหมือนกัน
อวี๋ฮว่าหลงยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพ และเมืองพยัคฆ์หมอบที่เหมือนอยู่ในนรกเลือดก็ใช่ว่าจะไม่มีความหวังใดจริงๆ อย่างน้อยยังมีทารกหญิงที่รอดมาได้ เหมือนกับเชื้อไฟ ไม่ช้าก็เร็วนางจะสามารถสร้างเมืองพยัคฆ์หมอบขึ้นมาใหม่ได้แน่นอน
เรื่องพวกนี้ชดเชยได้
แต่จะชดเชยอย่างไร?
ใช้การฆ่าฟันหยุดการฆ่าฟัน
ใช้วรยุทธ์หยุดคมอาวุธ
ถอนวัชพืชในนาทิ้ง ต้นกล้าถึงจะเจริญเติบโตได้ดี
ดังนั้นฝึกยุทธ์ไปเพื่ออะไร?
เพื่อผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์
ฟ้าคืออะไร?
ความดีชั่วในจิตใจก็คือฟ้า
ให้รางวัลผู้จิตใจดี ลงทัณฑ์ผู้มีจิตใจชั่ว นี่ก็คือกฎแห่งธรรมชาติ
ฟ้าหากไร้ซึ่งคุณธรรม ฟ้าก็ไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้ข้าผดุงความยุติธรรมแทนฟ้าก็แล้วกัน
นี่ก็คือความหมายที่หลี่มู่ฝึกฝน ยืมพลังจากฟ้า
จอมยุทธ์ผดุงความยุติธรรมคำพูดนี้ครอบคลุมทุกอย่าง
‘ทำอะไรต้องไม่ละอายใจตน’ ของอั้งฉิกกงประโยคนั้น หลี่มู่รู้สึกว่าตอนนี้เอามาใช้กับตนได้แล้ว
จากนั้นเบื้องหน้าของเขาก็แจ่มชัด
หลี่มู่ถอนหายใจเอาลมหายใจขุ่นข้นออกมา พลันรู้สึกว่าเบาสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกว่าเบื้องหน้าแจ่มกระจ่าง หมอกควันและความหงุดหงิดในใจเหมือนถูกพายุแรงพัดสลายไปทันที
นับจากนี้เป็นต้นไป เขาคือเจ้าบ้าน
เขาก้มหน้าลงหอมแก้มทารกหญิงที่หลับสนิท
“ในเมื่อมาแล้วก็จงอยู่อย่างมีความสุข นับจากวันนี้ เจ้าชื่ออันจือ (อยู่อย่างมีความสุข) ก็แล้วกัน” หลี่มู่เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
ประโยคนี้เขาบอกกับตัวเองเช่นกัน
ในเมื่อมาแล้วก็อยู่บนโลกนี้ให้มีความสุข
เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ แหวกฝูงชนออกไป
ผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่คุกรุ่นกำลังจะฝ่าเข้าไปในจวนเจ้าเมือง รู้สึกแค่ว่าพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งทะลักเข้ามา ถูกคนข้างหลังเบียด จึงโมโหขึ้นทันใด เมื่อหันกลับมามองกลับเห็นเด็กหนุ่มในชุดเสื้อผ้าธรรมดา ผมสั้น หน้าตามอมแมม สีหน้าท่าทางดูค่อนข้างเหนื่อยล้า แต่ดวงตาคู่นั้นกลับส่องแสงพร่างพราย ในอ้อมแขนมีทารกเพศหญิงนอนหลับสนิท เบียดมาจากข้างหลัง
“เจ้าเป็นใคร?”
“สำนักใด พรรคใด?”
“ขอทานมาจากไหน...”
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่คึกคุ้มคลั่งอ้าปากก็ก่นด่าทันใด ยังคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้สืบทอดของสำนักใดที่มาด่านเมืองมังกรเพื่อจะฉวยโอกาสในตอนวุ่นวาย
แต่ฉีหวายที่อยู่บนหอชั้นสองฝั่งตรงข้าม ดวงตากลับหรี่ลง
บัณฑิตวัยกลางคนคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ไป๋ม่อโฉว ดวงตาก็ฉายด้วยแววประหลาดเช่นกัน
ฉินเจินมองเด็กหนุ่มที่อุ้มทารกหญิงเอาไว้คนนั้น รู้สึกปวดร้าวโดยพลัน ไม่นึกว่าเซียนกวีวิถียุทธ์ที่งดงามอาจหาญ โดดเด่นเหนือผู้อื่นจะซีดโทรมได้ถึงขนาดนี้ เหมือนว่าแก่ลงไปหลายปี ที่คางมีหนวดขึ้นครึ้ม
ฉินเจิ้งก็จำได้เช่นกัน เด็กหนุ่มสกปรกมอมแมมคนนั้นก็คือคนที่สังหารบิดาของตน เทพสังหารที่ทำให้เชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตกกินไม่ได้นอนไม่หลับ…หลี่มู่ เพียงแต่เขารู้สึกเกลียดไม่ได้เลย เพราะโดยพื้นฐานแล้วตัวเองไม่มีความทรงจำอะไรกับจักรพรรดิฉินหมิงผู้เป็นบิดาเลย
พวกสวีหว่านเอ๋อร์และลู่เซิ่งหนานนอยากเอ่ยปากพูดอะไร ก็ถูกไป๋ม่อโฉวที่อยู่ข้างๆ ห้ามเอาไว้
บัณฑิตวัยกลางคนเห็นทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“โธ่เว้ย ยังจะเบียดอีก?”
“ไสหัวไป”
โจวอู่ผู้คุมกฎสูงสุดสำนักวิญญาณเหนือสะบัดแขนเสื้อ พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็ทะลักออกมา หมายจะสะเทือนสังหารเด็กหนุ่มที่เบียดมาให้ตาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงคือพลังของการสะบัดนี้มากพอจะผ่าภูเขา หากแต่เมื่ออยู่บนร่างของเด็กหนุ่มกลับจมหายไปไร้ร่องรอย
คราวนี้ ต่อให้เขาเป็นคนด้อยปัญญาก็รู้แล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร?” โจวอู่รีบถอยหลังไป
กลุ่มคนที่คึกและหัวรุนแรงรอบๆ ก็สังเกตเห็นการปรากฏตัวของหลี่มู่แล้ว
ตอนนี้หลี่มู่เบียดมาจนถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมือง
“ใต้เท้า”
“ใต้เท้า ท่านกลับมาแล้ว”
จางซานและมู่ชิงต่างลิงโลด จากนั้นสำรวจสภาพของหลี่มู่อย่างเป็นห่วง
หลี่มู่หมุนตัว มองไปยังใบหน้าไม่คุ้นเคยแต่ละดวง ยิ้มเห็นฟันขาววับ ก่อนเอ่ยว่า “ขอบคุณทุกท่านที่มาชี้แนะข้าโดยไม่รังเกียจว่าเดินทางไกลยุ่งยาก ทุกท่านดูแล้วดูสูงส่ง ท่าทางไม่ธรรมดา สมแล้วที่เป็นเหล่าคนรุ่นก่อนที่ฝึกฝนวรยุทธ์สำเร็จ ชื่อเสียงบารมีกว้างไกล เพื่อเป็นการตอบแทน วันนี้ข้าจะส่งทุกท่านไปสู่แดนสุขาวดีก็แล้วกัน”
ใช้วรยุทธ์หยุดคมอาวุธ ผดุงความยุติธรรมแทนฟ้า
คำเดียว ฆ่า