จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 433 ส่วนในสุสานเทพ
พี่น้องสองคนนี้ พี่สาวเป็นสาวงามอายุสิบหก คิ้วใบหลิว ผิวขาวบริสุทธิ์เกลี้ยงเกลาดั่งหยก จอนผมปลิวไสวดุจเซียน สวมชุดคลุมสีขาวปักภาพดอกเหมยแซมหิมะ ขับให้เห็นเรือนร่างโค้งเว้าสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะยอดเขาสูงตระหง่านคู่นั้น งดงามถึงที่สุด ราวกับจะปริออกจากชุดคลุมเลยทีเดียว
จุดที่ควรต้องพูดถึงก็คือ พี่สาวคนนี้ถึงแม้รูปร่างจะดูเผ็ดร้อน ทว่านิสัยเฉพาะตัวกลับมีกลิ่นอายสง่าสุภาพเยือกเย็น มีความขัดแย้งกันอย่างประหลาด
น้องสาวดูไปแล้วอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี ใบหน้างามวิจิตรนัก ราวกับหยกแกะสลัก แต่มีบุคลิกองอาจเหมือนชาย คิ้วกระบี่ชี้จรดจอนผม ในดวงตามีประกายคมกริบข่มขวัญคน ข้างเอวคาดกระบี่ที่ยาวกว่าร่างของนางไว้เล่มหนึ่ง ท่าทางดูแล้วแสนประหลาด
เมื่อครู่ผู้ที่พูดขึ้นมาคือน้องสาว เอ่ยวาจาอย่างผู้ใหญ่ นางมองทางเข้าสุสานที่มีไอร้อนสีดำพุ่งออกมาตรงหน้า เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ ทำไมดูแล้วเหมือนรูหนูดำๆ เลย?”
พี่สาวหัวเราะ ตอบกลับว่า “อย่าพูดอะไรซี้ซั้ว สิ่งที่ฝังอยู่ในนี้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
ร่างทั้งสองเข้าไปในปากทางเข้าสุสาน
เวลาเดียวกัน หลุมสวรรค์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชายหญิงที่แต่งกายชุดเผ่าผู้วิเศษแห่งแผ่นดินสุดแดนใต้สิบกว่าคนเข้าไปในสุสานจากปากทางเข้าหนึ่ง
ผู้ที่นำหน้าเป็นหญิงเผ่าผู้วิเศษอายุสิบหกปีคนหนึ่ง คิ้วตาดุจภาพวาด สวมเสื้อแขนสั้นกระโปรงสั้น ใส่รองเท้าผ้า บนตัวแขวนเครื่องประดับเงินแต่ละชนิดไว้เต็มตัว ขณะก้าวเท้าจะมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
ในอ้อมกอดนางมีเด็กชายอายุราวหนึ่งถึงสองปีคนหนึ่ง
ในมือเด็กชายถือถาดหยกเปล่งแสงวาววับ คลุมปกป้องคนทั้งหมดเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวไป ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง” เด็กชายเอ่ยปากขึ้น
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ชายหนุ่มในชุดสีดำคนหนึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้าไปในทางเข้าสุสานเส้นหนึ่ง ด้านหลังชายหนุ่มมีหญิงชราอีกคนตามมา ผมสีเงินทั้งศีรษะ หลังโค้งค่อม ค้ำประคองตัวด้วยไม้เท้าหัวมังกร ที่เอวคาดเชือกสีเลือดเส้นหนึ่งเอาไว้ ดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก
หนึ่งหนุ่มหนึ่งชราเงียบขรึมยิ่งนัก ค่อยๆ เดินเข้าไปด้านในสุสานเทพ
และหลังจากพวกเขาเข้าไปในสุสานไม่นานนัก ก็มีอีกหนึ่งชราหนึ่งสาวน้อยเข้ามา คราวนี้เป็นชายชราผมเทารูปร่างสูงใหญ่กว่าเจ็ดฉื่อในชุดคลุมยาวผ้าป่าน บนศีรษะสวมรัดเกล้าทอง ท่าทีไม่ธรรมดา บนบ่ามีเด็กสาวตัวน้อยอายุราวสี่ห้าปีนั่งอยู่ นางสวมชุดเอี๊ยมสีแดง แขนขาขาวอมชมพูดุจรากบัวเผยให้เห็นอยู่ด้านนอก เท้าเปลือยเปล่า กำลังสะบัดแพรต่วนยาวสีแดงเล่น…
“ท่านลุงหม่า ในนี้มันมืดๆ หลิงเอ๋อร์กลัวจัง” เด็กน้อยหัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้น บนหน้ามีความกลัวอยู่เสียที่ไหน
“เด็กดี ไม่ต้องกลัว” ชายชราปลอบโยนเด็กน้อยด้วยเสียงเบา
หนึ่งคนชราหนึ่งเด็กน้อยสองคนนี้เข้าสู่สุสานเทพเช่นกัน
……
“เข้าทางไหนดีล่ะ?”
หลี่มู่กับกัวอวี่ชิงสองคนยืนอยู่ที่ส่วนก้นหลุมสวรรค์ ในดินโคลนสีดำเบื้องหน้าปรากฏรูปร่างของเค้าโครงสิ่งปลูกสร้างแปลกประหลาดบางส่วน มีทางเข้าคล้ายประตูทั้งหมดสิบสองบาน รูปร่างและขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
ชัดเจนมากว่า สุสานเทพเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดมโหฬารที่ถูกฝังอยู่ส่วนลึกใต้ดิน หลุมสวรรค์มากมายซึ่งระเบิดเปิดออกในเมืองหลินอันเพียงเผยส่วนหนึ่งของสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์นี้ออกมาเท่านั้น
“โอกาสวาสนา ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติแต่ละคน เราเข้าจากทางนี้ก็แล้วกัน” กัวอวี่ชิงสุ่มชี้ไปที่ประตูใหญ่ทางเข้าบานหนึ่ง
หลี่มู่หัวเราะร่า “ได้สิ”
ทั้งสองคนเข้าสู่ประตูบานนั้นไปอย่างเอาแต่ใจยิ่ง
เปลวไฟสีดำแผ่เข้ามาหา แม้ไม่มีความร้อน แต่กลับพาสิ่งที่เหมือนพลังกัดกร่อนเข้ามา ไม่ได้มีผลเพียงกายเนื้อเท่านั้น แต่ดูเหมือนจะตรวจจับพลังจิตวิญญาณได้ด้วย น่ากลัวอย่างมาก
หลี่มู่และกัวอวี่ชิงต่างคนต่างแสดงอภินิหารต้านทานพลังกัดกร่อนที่ประหลาดนี้
เข้าประตูไปได้ไม่นาน ก็มาถึงด้านในวิหารใหญ่ที่รกระเกะระกะแห่งหนึ่ง เสาหินที่ล้มพัง รวมไปถึงชุดเกราะขึ้นสนิมบนพื้นและกระดูขาวเน่าผุ อธิบายได้ว่าที่นี่เคยเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ขึ้น เพดานโค้งของวิหารถูกพังทะลุ มีรูใหญ่อยู่มากมาย…
หลี่มู่แหงนหน้ามองเพดานโค้ง ใจลอยเล็กน้อย
สุสานเทพถูกฝังเอาไว้ใต้พื้นดิน ตามหลักการแล้ว ด้านนอกเพดานโค้งควรจะเป็นดินโคลน แต่นี่ทำไมกลับมีแสงดาวรางๆ ลอดผ่านรูใหญ่บนเพดานลงมาได้?
ชุดเกราะกับอาวุธที่แตกหักบนพื้นมีสนิมขึ้นเป็นด่างดวงแล้ว ราวกับแค่ลมพัดก็ทำให้พวกมันสลายไปได้ ทว่าหลี่มู่สุ่มหยิบดาบโค้งที่สนิมกินไปถึงตัวดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง โบกสะบัดเบาๆ อากาศถูกตัดออกราวเนย จากนั้นเขาหยิบดาบยาวที่หลอมตีขึ้นมาเองออกจากมิติเก็บของ เคาะดูเบาๆ ดาบยาวเล่มนั้นก็แตกหักออกเป็นสองท่อนปานเต้าหู้…
“บ้าเอ๊ย…”
หลี่มู่สะดุ้งโหยง
เขาส่งปราณดาบสายหนึ่งฟันไปบนเกราะหน้าอกขึ้นสนิมชิ้นหนึ่งข้างๆ เสียงเคร้งดังขึ้นมา ไม่มีแม้แต่รอยดาบที่ฟันลงไป
“พวกนี้เป็นอาวุธเต๋าที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ เพียงแค่เสียหายในระหว่างการต่อสู้ พอเวลาผ่านไปนานวันเข้า พลังวิญญาณจึงแตกซ่านกระเซ็นไปหมด ทว่าไม่ต้องสงสัยเลย มันยังแข็งแกร่งอย่างมากอยู่” กัวอวี่ชิงชี้ไปยังโครงกระดูกที่นั่งเอียงอยู่ด้านข้างเสาหินซึ่งล้มลงมา เอ่ยว่า “คนผู้นี้ตอนที่มีชีวิต คงเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ขึ้นไป”
หลี่มู่พยักหน้า
อาวุธเต๋าล้วนขึ้นสนิมเกรอะกรัง เห็นได้ว่าเวลาผ่านไปยาวนานมาก แต่โครงกระดูกร่างนี้กระดูกขาวแวววาว เปล่งแสงประกาย พอจะเห็นได้ว่าช่วงยังมีชีวิตอยู่เขามีพลังฝึกที่แข็งแกร่งมาก
ดูเหมือนว่ากระดูกเช่นนี้ยังมีอีกมากบนพื้น กระจัดกระจายกันอยู่
“อย่างน้อยคงผ่านไปราวสองถึงสามพันปีแล้ว…” หลี่มู่กล่าวอย่างทอดถอนใจ
พื้นที่ของวิหารใหญ่นี้ไม่ได้กว้างใหญ่นัก ผุๆ พังๆ บนเสาหินที่พังถล่มเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ รอยดาบรูกระบี่ และยังมีรอยฝ่ามือรอยหมัดอย่างชัดเจน นอกจากชุดเกราะกับอาวุธพังๆ ที่กระจัดกระจายเต็มพื้นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของพิเศษใดอีก
หลี่มู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเก็บเกราะดาบที่ผุพังเหล่านี้มา
“นี่ก็จะเอาหรือ?” กัวอวี่ชิงพูดติดตลก
หลี่มู่ตอบกลับอย่างหน้าไม่อายมาก “เอาสิ ทำไมจะไม่เอาเล่า ยุงตัวเล็กแค่ไหนก็มีเนื้ออยู่นา”
นำขยะมาใช้ใหม่ มันก็ยังใช้ประโยชน์ได้อยู่
เขาคิดสักครู่ ก่อนจะเก็บกระดูกขาวเหล่านี้ทั้งหมดมาด้วย “รอข้าออกไปแล้วจะฝังพวกเขาให้เรียบร้อย ดีกว่ามาตายอยู่ในที่แบบนี้”
เมื่อผ่านวิหารใหญ่ออกมา ก็พบกับระเบียงทางเดินทอดยาว
สองด้านของของระเบียงทางเดินเป็นเสาหินกลมต้นใหญ่ขนาดสองคนโอบ ค้ำยันเพดานระเบียงไว้ ระหว่างเสาหินมีรั้วหินล้อมรอบ ด้านนอกเป็นเปลวไฟสีดำซึ่งกำลังเดือดพล่านราวหินหลอมเหลว ช่างน่ากลัวยิ่งนัก หลี่มู่มีลางสังหรณ์ว่าหากตนตกลงไป เกรงว่าจะกลายเป็นเถ้าไปในทันที
บนระเบียงทางเดินยังคงมีร่องรอยการต่อสู้
มีชุดเกราะผุพังกับอาวุธแตกหักมากมาย รวมไปถึงโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่
หลี่มู่ยังคงทำเช่นเดิม เก็บมันมาทั้งหมด
เดินไปด้านหน้าเช่นนี้ต่อไปราวครึ่งชั่วยาม พบกับร่องรอยสนามรบเก่าไม่น้อย และยิ่งเข้าไปด้านใน ร่องรอยการต่อสู้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น นอกจากโครงกระดูกคนแล้ว ยังมีซากศพของสัตว์ประหลาดบางส่วน น่ากลัวอย่างมาก กระดูกแห้งแวววาวมีแรงกดดันและพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่รางๆ ขณะยังไม่ตายจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่เหนือกว่าขั้นทะลวงสวรรค์แน่นอน
“ในสุสานเทพนี้ ทำไมถึงมีสนามรบเก่าตั้งมากมาย? หรือว่าเคยมีคนบุกเข้ามาโจมตีในนี้?” หลี่มู่สงสัยมาก
กัวอวี่ชิงเอ่ย “ก่อนที่ข้าจะมาได้อ่านบันทึกบางส่วนจากวิหารเทพหมาป่า สุสานเทพนี้น่าจะเป็นสุสานราชาเซียนที่เล่าลือกัน เคยเปิดมาแล้ว และก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่บนโลกมนุษย์ เลือดหลั่งรินเป็นแม่น้ำ ผู้แข็งแกร่งดับสูญดุจเม็ดฝน น่าจะเป็นตอนเปิดครั้งที่แล้ว ผู้แข็งแกร่งจากด้านนอกบุกเข้ามาทำศึกใหญ่กับผู้คุ้มครองสุสาน จึงเหลือร่องรอยเหล่านี้ทิ้งเอาไว้”
“ผู้คุ้มครองสุสาน?” หลี่มู่สะดุ้งโหยง กล่าวต่อว่า “ในสุสานเทพยังมีผู้คุ้มครองสุสานด้วยหรือ?”
ก่อนหน้านี้ จ้าววิหารเทพหมาป่าเจียงชิวไป๋เคยพูดถึงสุสานราชาเซียน และใช้ข้ออ้างนี้ชิงตัวซ่างกวนอวี่ถิง บีบให้หลี่มู่กับกัวอวี่ชิงกลับไปยังวิหารเทพหมาป่า ที่แท้สุสานราชาเซียนก็คือที่เดียวกันกับสุสานเทพนี้
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้คุ้มครองสุสานอยู่ด้วย ทำเอาคนปวดจิตจริงๆ
ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงกว่าทะลวงสวรรค์ถูกผู้คุ้มครองสุสานสังหารในนี้ เช่นนั้นพวกตนสองคนเข้าไป จะไม่ใช่การส่งอาหารถึงที่หรอกหรือ?
หลี่มู่ตระหนักขึ้นมาได้ สถานการณ์อันตรายยิ่งกว่าที่ตนเองคาดการณ์ไว้เล็กน้อย
ทั้งสองคนเดินไปด้วยกัน กัวอวี่ชิงเอ่ยขึ้นว่า “ดูท่าทาง ผู้คุ้มครองสุสานในสุสานเทพเองก็เสียหายหนักเช่นกัน น่าจะตายกันไปหมดแล้ว พวกเราใช่ว่าจะไม่มีโอกาส”
เมื่อผ่านระเบียงยาวมา ทางด้านหน้าถูกตัดขาด ระเบียงขาดลงกลางคัน หินหลอมเหลวสีดำกีดขวางทางเดินไว้ ทว่ามีเสาดำยักษ์ขนาดสองคนโอบต้นหนึ่งล้มพัง พาดอยู่ระหว่างสองวิหารใหญ่ดุจสะพานไม้อย่างไรอย่างนั้น
พวกหลี่มู่สองคนเดินไปบนเสาหิน
เดินไปข้างหน้าเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่กว่าสองชั่วยาม อย่างน้อยก็เป็นระยะทางหลายลี้ ทางเดินด้านหน้าถึงค่อยๆ กว้างขึ้น เหนือศีรษะมีท้องฟ้าดวงดาวเวิ้งว้าง ทำให้คนเกิดความเข้าใจผิดว่าราวกับเดินจากพื้นดินเข้าสู่จักรวาลดวงดาว
หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์กวาดดูก็สามารถแยกแยะออก นี่คือค่ายกลลวงตาชั้นสูงชนิดหนึ่ง แท้จริงแล้วด้านบนเป็นแผ่นหิน เป็นเพดานบนสุดของสุสานเทพ
“ผ่านรอบนอกสุสานเทพมาแล้ว ตรงไปข้างหน้าอีกก็จะเข้าสู่พื้นที่ใจกลาง ระมัดระวังให้ดี” กัวอวี่ชิงพูดเตือน สีหน้าก็ปรากฏแววเคร่งขรึม
หลี่มู่พยักหน้า
เขาเองก็รู้สึกได้ ในอากาศเริ่มมีพลังกดดันอย่างหนึ่งแผ่กระจาย ทำให้ปราณแท้ในร่างกายถูกกดไว้ กฎเกณฑ์ถูกพลิกกลับ ไม่สามารถเดินเหินบนอากาศได้แล้ว
ด้านหน้าปรากฏแม่น้ำสีดำกว้างหลายลี้สายหนึ่ง ของเหลวแปลกประหลาดสีดำไหลอยู่เหมือนน้ำ มีระลอกคลื่นเล็กน้อย ด้านล่างคล้ายมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างซ่อนตัวอยู่ ชวนให้หวาดกลัวสั่นผวา
“กระโดดข้ามไป” หลี่มู่มองทางผิวน้ำนี้
กัวอวี่ชิงส่ายศีรษะ โบกมือซัดหินสูงเท่าคนก้อนหนึ่งด้านข้างพุ่งลอยออกไปทางฝั่งตรงข้าม
ซูม
หินลอยออกไปได้ครึ่งเดียว บนผิวน้ำก็พลันมีคลื่นสีดำสายหนึ่งสาดขึ้นมาประหนึ่งมีชีวิต ดุจดั่งฉลามยักษ์สีดำม้วนกลืนเอาก้อนหินไป แล้วกัดกร่อนจนสลายกลายเป็นอากาศ ควันลอยกรุ่นเสียงดัง…
“ให้ตายเถอะ” หลี่มู่อ้าปากค้าง
ตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าสายน้ำดำในแม่น้ำสายนี้น่ากลัวขนาดไหน
หินก้อนเมื่อครู่ ตอนที่วางอยู่รอบนอกสุสานเทพแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถูกฝ่ามือกัวอวี่ชิงซัดเข้าไปก็ยังไม่แตก ระดับความทนทานเทียบได้กับอาวุธเต๋าเลยทีเดียว ทว่าในพริบตาเดียวกลับถูกน้ำสีดำกัดกร่อนหมด หากเป็นกายเนื้อคงจะถูกกัดกร่อนทิ้งเสียครึ่งทันที และทิ้งชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ทั้งสองเดินเลียบฝั่งต่อมาอีกสองลี้ จึงมองเห็นสะพานยักษ์สีดำแห่งหนึ่งวางพาดอยู่ด้านบนแม่น้ำ ด้านตรงข้ามเป็นรูปสลักสัตว์ประหลาดวัวขาเดียวสูงกว่าสิบจั้งสองตัว ซ้ายหนึ่งขวาหนึ่ง เฝ้าสะพานอยู่ทั้งสองด้าน
เมื่อผ่านสะพานหินไปจะเป็นพื้นที่ทางเรียบ
พื้นดินสีดำเหมือนทะเลทราย ไม่มีหญ้าแม้สักต้น
ไปต่ออีกราวยี่สิบลี้ ตรงเส้นขอบฟ้าถึงปรากฏแนวกำแพงสูงแถวหนึ่ง