จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 435 ทำไมไม่บอกแต่แรก
ผู้ฝึกตนชุดดำสี่คนที่ถูกหลี่มู่อัดจนน่วมสงบเสงี่ยมในที่สุด สายตาที่มองหลี่มู่เหมือนเด็กประถมบนโลกสอบได้อันดับสุดท้ายมองหน้าพ่อที่อารมณ์ไม่ดี ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำ
หลี่มู่ถามอะไร พวกเขาก็ตอบเรื่องนั้น
“พวกเราเป็นลูกศิษย์ของสำนักกำเนิดฟ้า มาถึงเมื่อสามวันก่อนเพื่อชิงโอกาสวาสนา คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้ามาในสุสานเทพก็ได้พบกับผู้สูงส่งทั้งสอง…” คนจมูกงุ้มทำหน้าตาประจบประแจง ใบหน้าฝืนยิ้ม เหมือนยิ้มให้หลานอย่างไรอย่างนั้น
สำนักกำเนิดฟ้า?
ไม่เคยได้ยิน
มิน่าเล่าเมื่อเห็นหลี่มู่ก็ยังกล้าตรงมาวางท่าใส่ ที่แท้ก็ยังไม่ทันรู้สถานการณ์ ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของหลี่มู่นี่เอง
แต่ว่าครั้งนี้จับผู้ฝึกตนนอกพิภพที่ยังเป็นๆ เอาไว้ได้ หลี่มู่มีคำถามมากมาย ในที่สุดก็ถามได้แล้ว
“พวกเจ้ารู้เรื่องสุสานเทพมากน้อยแค่ไหน?” หลี่มู่ถาม “มีแผนที่สุสานเทพหรือไม่?”
เขาเชื่อว่า สำนักนอกพิภพมาเยือนโดยไม่เสียดายว่าจ่ายสิ่งใดเพื่อชิงสมบัติในสุสานเทพก็จะต้องรู้อะไรแน่นอน มิฉะนั้นหากรู้แค่ผิวเผิน ก็คงไม่แห่กันมาแบบนี้
จะต้องมีอะไรที่ทำให้พวกเขาตาร้อนอยากได้มา
“นี่…” คนจมูกเหยี่ยวลังเลเล็กน้อย
หลี่มู่ก้าวขึ้นไปทันที จากนั้นส่งไปอีกหมัดจนจมูกของคนจมูกงุ้มเบี้ยว ก่อนเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด “มารดาเจ้าสิ หากยังไม่ยอมพูดอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าเยวี่ยกั๋วเซียงแห่งวังประสานฟ้าคนนี้จะอัดเจ้าให้ตายในหมัดเดียว”
สีหน้าของคนจมูกงุ้มค่อนข้างกระอักกระอ่วน เอ่ยว่า “ผู้สูงส่งท่านนี้ ข้ากับสหายเยวี่ยแห่งวังประสานฟ้า พวกเราเคยพบหน้ากันมาก่อน...”
กัวอวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ เกือบหลุดขำออกมา
หลี่มู่หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที จากนั้นก็กดคนจมูกงุ้มเอาไว้แล้วอัดไม่ยั้ง “มารดาเจ้าสิ แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก หา?”
“อย่าๆ พอแล้ว ข้าพูด ข้าพูดแล้ว…” คนจมูกงุ้มใกล้จะบ้าเต็มทีแล้ว เจอกับบรรพชนที่ไม่เล่นตามบทคนนี้ ซวยไปเป็นแปดชาติจริงๆ ตอนที่ลงมาเยือนครั้งนี้ ทางสำนักไม่ดูฤกษ์ดูยามหรือไร ทำไมถึงได้อนาถขนาดนี้
“แผนที่อยู่ในหัวของพวกเรา” ชายผอมสูงเอ่ยอย่างขลาดกลัว
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พอเขาพูดจบ สายตาของหลี่มู่จ้องเขม็งไปที่ศีรษะของเขา เหมือนว่าจะแหวกออกดูให้รู้ เขาจึงตกใจฉี่แทบราดในทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “หากข้าตาย แผนที่ก็จะไม่มีแล้ว ข้านำทางท่านเข้าไปในจุดลึกของสุสานเทพได้”
สุดท้าย ลูกศิษย์หัวกะทิของสำนักกำเนิดฟ้าที่ดวงซวยทั้งสี่ก็ถูกหลี่มู่ลงยันต์เต๋าไว้ในกาย กลายเป็นเชลย ใบหน้าประดับรอยยิ้มประจบประแจงพลางนำทางไปแต่โดยดี
“เดี๋ยวก่อน ไม่รีบ ค้นที่นี่ก่อน” หลี่มู่ชี้ไปยังที่รกร้างรอบๆ “ไปรวบรวมค้นหาเกราะ อาวุธ และสมบัติมาให้หมด ห้ามแอบอู้”
ไม่นานเขาก็หาวิธีที่จะใช้ประโยชน์ของเชลยทั้งสี่ได้แล้ว
สมบูรณ์แบบสุดๆ
เร็วกว่าค้นหาตัวคนเดียวเยอะนัก
หลี่มู่มองรอบๆ ในใจเฝ้ารอว่าหากมีลูกศิษย์สำนักนอกพิภพไม่ดูตาม้าตาเรือมาชิงสมบัติอีก เช่นนั้นจะดีเพียงใด จะจับเอามาใช้แรงงานให้หมด
กัวอวี่ชิงหัวเราะอยู่ข้างๆ ไม่หยุด
น้องสามของตนคนนี้เป็นราชาปีศาจระดับตัวตลกจริงๆ
อันที่จริง ตัวกัวอวี่ชิงเองก็ไม่ใช่คนเงียบน่าอึดอัดไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลง
มิฉะนั้นแล้วตอนนั้นเขาจะเกี้ยวพาธิดาเทพแห่งสำนักบัณฑิตถามเต๋าที่งดงามเป็นเลิศสำเร็จได้อย่างไร? นั่นเป็นสาวงามที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าเลยเชียว รูปโฉมความสามารถล้วนยอดเยี่ยม หน้าตาของกัวอวี่ชิงค่อนไปทางกลางๆ ล่างๆ จะไปถูกใจสาวงามได้อย่างไร
เขาเป็นคนตลกหน้าตายเช่นกัน
ดังนั้น เขากับหลี่มู่จึงจัดการเชลยสามสี่คนนี้ด้วยกัน
……
“น้องสาว พวกเราอยู่ที่นี่แบบนี้ไม่เบื่อหรือ?” หวางซืออวี่นั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ หมิงเยวี่ย
“พี่สาว น่าเบื่อสุดๆ ไปเลย” หมิงเยวี่ยพูดอย่างน่าสงสาร
ตอนที่พูดประโยคนี้ เด็กน้อยมองตาปริบๆ ไปทางเมืองหลินอันที่มีแสงดำเดือดพล่าน นางชอบเรื่องครึกครื้นนัก ทั้งที่รู้ว่าในเมืองมีละครฉากใหญ่ แต่กลับทำได้แค่รออยู่ที่นี่ วันเวลาดุจผ่านพ้นไปแรมปี
“อยากเข้าไปดูในสุสานเทพหรือไม่?” หวางซืออวี่ถาม
หมิงเยวี่ยตาวาววับ “อยากสิๆ” แต่ก็ห่อเหี่ยวไปทันที “คุณชายไม่อนุญาตให้ข้าไป อีกทั้งยังต้องดูแลพี่ชิงเฟิงด้วย” นางลั่นวาจาไว้แล้ว
หวางซืออวี่ยิ้มพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร เจ้าก็ให้ผู้แข็งแกร่งพรรคกระยาจกคุ้มกันชิงเฟิงกลับไป พวกเราแอบเข้าไปดู หากมีอันตรายแค่ถอยออกมาก็ได้แล้ว”
ตาของหมิงเยวี่ยลุกวาวอีกครั้ง
แต่สุดท้ายนางก็ส่ายหน้า “ไม่ได้ ข้าต้องคุ้มครองพี่ชิงเฟิงด้วยตัวเอง” นางไม่ไว้ใจคนอื่น
“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” เสียงหนึ่งดังมา เป็นชิงเฟิงที่มาอยู่ข้างหลังพวกนางตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สีหน้าของเขาราบเรียบ นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีหยวนโหว่เป็นคนเข็น
“พี่ชิงเฟิง?” หมิงเยวี่ยอึ้ง
ครั้งนี้ทำไมชิงเฟิงจึงไม่ฟังคำคุณชายเสียแล้ว?
……
“สหายน้อย พวกเราจะค้นหาของในซากปรักหักพังนี้ไปตลอดหรือไร?” คนจมูกงุ้มยิ้มประจบพลางมองหลี่มู่ เขากลัวจะถูกอัดจนหลอนแล้ว
“ใครเป็นสหายของเจ้า เรียกข้าว่ายอดฝีมือ” หลี่มู่ถลึงตา
คนจมูกงุ้มนิ่งไป
ตอนนี้บนตัวหลี่มู่รวมหมวกและชุดเกราะได้ครบชุดแล้ว ถึงแม้จะรวมกันอย่างจับฉ่าย สีไม่เหมือนกัน รูปแบบต่างกันมาก แต่อย่างน้อยก็ครบถ้วน
กัวอวี่ชิงก็เช่นกัน เกราะหัวมัวกุท้ายมังกร ด้านหลังแบกหอกพู่แดงเล่มหนึ่ง เหมือนคนเล่นงิ้วอย่างไรอย่างนั้น…เขาหลงใหลหอกเป็นพิเศษ
ข้างเอวของหลี่มู่มีดาบยาวห้อยอยู่สองเล่ม
ทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันแล้วเหมือนกับนายทหารหนึ่งนายทหารสองตัวประกอบในละครกำลังภายในโบราณ ไม่มีท่วงท่าอย่างยอดฝีมือแม้แต่น้อย แต่กลับให้คนอื่นเรียกว่ายอดฝีมืออย่างหน้าไม่อาย
“ท่านยอดฝีมือ จากที่พวกเรารู้มา ของวิเศษที่แท้จริงล้วนอยู่บริเวณใจกลางของสุสาน ที่นี่เป็นแค่เมืองรอบนอก เป็นของที่ทหารสวรรค์รบตัวตายทิ้งเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นของชั้นยอดเหมือนกัน แต่เทียบกับสุดยอดของวิเศษของขุนพลเทพพวกนั้นยังห่างชั้นกันอีกไกลนัก…” ชายร่างผอมสูงกล่าวอย่างกังวล “หากพวกเราเสียเวลาต่อไปที่นี่ คนอื่นก็คงได้ไปแล้ว”
หลี่มู่มองไปยังคนจมูกงุ้ม แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม “ทำไมไม่บอกแต่แรก?”
ชายจมูกงุ้มอยากจะร้องไห้
ข้าก็อยากจะพูดให้เร็วกว่านี้ แต่เจ้าให้ข้าพูดไหมเล่า?
“พี่ชายท่านนี้ อันที่จริงพวกเราลองไปยังเขตใจกลางของสุสานได้” ลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าอีกคนหนึ่งที่คิ้วยาวติดกันจนเกือบจะเป็นเส้นเดียวรู้สึกว่ากัวอวี่ชิงดูแล้วน่าจะพูดง่ายกว่า ดังนั้นจึงลองเอ่ยแนะนำ
กัวอวี่ชิงตอบกลับว่า “ใครเป็นพี่ชายเจ้า? เรียกข้าว่าผู้แข็งแกร่ง”
ชายคิ้วติดกันพูดไม่ออก
น่ากลัวว่าพวกเราจะเจอคนบ้าสองคนเข้าแล้ว
ลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าสี่คนเกิดความคิดว่าอยากจะตายขึ้นมาแล้ว พูดจาด้วยเหตุผลไม่ได้เลย
พวกเขาค้นหาของในที่รกร้างแห่งนี้เหมือนสุนัขเต็มๆ สองชั่วยาม ของที่หาได้เป็นอาวุธเต๋าชั้นยอดประมาณร้อยกว่าชิ้นได้ แต่กลับถูกคนบ้าสองคนนี้ยึดเอาไปหมด พวกเขาไม่ได้ไว้แม้แต่ชิ้นเดียว ในใจมีเลือดไหลซิบๆ แล้ว
หลี่มู่ยิ้มหน้าบานแฉ่งอยู่ข้างๆ
ได้อยู่นี่ พี่ใหญ่ตั้งชื่อได้ตามบท คนหนึ่งยอดฝีมือ คนหนึ่งผู้แข็งแกร่ง ชื่อนี้ไม่ใช่แค่สุดจะเท่ระเบิด แต่ยังถ่อมตนหรูหรามีความหมายแฝงอีกด้วย
ทั้งสองปรึกษากันครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจทำตามที่ลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าว่า มุ่งหน้าไปยังใจกลางสุสาน จะเสียเวลาเก็บเม็ดงาทิ้งแตงโมอยู่ข้างนอกไปตลอดไม่ได้
ผ่านซากปรักหักพังแต่ละที่มา ข้างหน้าก็มีกลุ่มตำหนักใหญ่สีดำเรียงรายปรากฏขึ้น
“ยอดฝีมือ ผู้แข็งแกร่ง ข้างหน้าก็คือใจกลางสุสานแล้ว เป็นที่ที่ขุนพลสวรรค์สู้รบจนตาย มีของล้ำค่าระดับอาวุธเต๋าไปจนถึงของวิเศษเต๋า…” ดวงตาของลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่เปล่งประกายร้อนแรง
หลี่มู่และกัวอวี่ชิงมองไปอย่างละเอียด
เห็นตำหนักใหญ่สีดำพวกนี้ราวกับเมืองผี มีหมอกสีดำลอยอวลเป็นกลุ่มเป็นสาย เสียงคำรามของผีร้ายค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เงาผีสีดำแต่ละลูกลอยโฉบไปมาในหมู่ตำหนักใหญ่ เหมือนจะเลือกคนมากัดกินอย่างไรอย่างนั้น
ครั้นก้าวเข้าไปในบริเวณใจกลางสุสาน สีหน้าของหลี่มู่เปลี่ยนไปทันควัน
ในอากาศมีพลังค่ายกลแปลกประหลาดแผ่กระจาย ปกคุลมทั่วทั้งผืนดินแห่งนี้ และควบคุมปราณแท้ของจอมยุทธ์เป็นที่สุด หลี่มู่สัมผัสได้ว่าพลังจักรพรรดิไฟแดนใต้ จักรพรรดิเขียวแดนตะวันออก และจักรพรรดิเหลืองแดนกลางในกายเขาล้วนถูกสะกดไว้ ไม่อาจกระตุ้นออกมานอกกายได้ ทำได้แค่ไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณข้างในกาย
เขามองไปยังกัวอวี่ชิง
กัวอวี่ชิงพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้สึกถึงพลังค่ายกลชนิดนี้เช่นกัน
“ท่านยอดฝีมือ ที่นี่มี ‘ยอดค่ายกลสยบมารสูงสุด’ ที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในยุคบรรพกาลวางไว้สยบและทำลายวิญญาณของขุนพลสวรรค์ที่ตายไป เพื่อไม่ให้พวกเขาตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาก่อความวุ่นวาย ส่วนผู้มีชีวิต หากก้าวเข้ามาในค่ายกลก็จะถูกสะกดพลังฝึก ไม่อาจปล่อยปราณแท้พลังเต๋าออกมาข้างนอกได้ ทำได้เพียงกระตุ้นอยู่ภายในกาย…” คนจมูกงุ้มอธิบายให้หลี่มู่ฟังอย่างพินอบพิเทา
เขาถูกทุบตีจนกลัวแล้ว กลัวว่าหากพูดช้าไปบรรพชนน้อยผู้นี้จะพูดขึ้นมาอีกว่า ‘ทำไมไม่บอกแต่แรก’ จากนั้นก็จะอัดเขาจนน่วมอีก
เป็นแบบนี้นี่เอง
เช่นนี้ไม่ต้องกังวลอะไร อย่างไรเสียค่ายกลนี้ก็ไม่เลือกปฏิบัติ ใครเข้ามาก็โดนสะกดพลังฝึกทั้งสิ้น
เมื่อก้าวเข้ามาในเขตใจกลางสุสาน สิ่งที่อยู่ใกล้กับทุกคนที่สุดคือตำหนักใหญ่สีดำชื่อว่าวังเมฆา
“พวกเจ้าไปเดินข้างหน้า” หลี่มู่ให้ลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าเป็นหน่วยกล้าตายโดยไม่ลังเล
พวกคนจมูกงุ้มกับชายคิ้วติดกันรวมสี่คนต่างอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน นำทางไปอย่างระมัดระวัง
ดีที่ไม่มีค่ายกลหรือกลไกอะไร
คนทั้งหลายเข้าไปข้างในได้อย่างราบรื่น แต่พอก้าวเข้าไปในตำหนักก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังออกมา
มีคนกำลังต่อสู้กัน
หลี่มู่กระปรี้กระเปร่าทันที
“นังหนู ตะบองเทพเป็นของสำนักแสงเงาแล้ว ไสหัวไปเดี๋ยวนี้” เสียงแหบเหมือนเป็ดดังมาก่อน น้ำเสียงกำเริบเสิบสานยิ่ง
“ถุย แมลงไร้ค่าสำนักแสงเงา เจ้ารู้หรือว่าตะบองนี่ชื่อว่าอะไร? รู้ที่มาที่ไปของมันหรือ? ไม่รู้อะไรสักอย่างแล้วยังจะกล้ามาวิจารณ์ปั้นเรื่องที่นี่?” เสียงผู้หญิงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารดังมา
ตูม ตูม ตูม!
คลื่นพลังเต๋าที่แข็งแกร่งแผ่ระลอกไปทั่ววังเมฆาดุจคลื่น
พวกหลี่มู่เข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นคนตัวเตี้ยสวมเกราะดำทั่วทั้งตัว ท่าทางดูน่าขบขัน กำลังประจันหน้ากับสตรีชุดผ้าโปร่งบางสีดำซึ่งควงดาบคู่อยู่คนหนึ่ง
และนอกวงต่อสู้ บนถาดสมบัติตรงส่วนลึกในวังมีตะบองหินยาวสิบห้าชุ่นตั้งอยู่ ดูเหมือนทำมาจากหยกขาว โปร่งแสงทั้งอัน หัวท้ายกลมมน กำลังส่องประกายแสงเป็นชั้นๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของธรรมดา
“ของวิเศษเต๋า!”
ชายคิ้วติดกันร้องตกใจอย่างอดไม่ได้
ตะบองหินอันนั้นส่องแสงแวววาว เป็นของวิเศษระดับของวิเศษเต๋าอย่างแน่นอน
หลี่มู่ก็จ้องเขม็งไปทันที
ของดี
ของข้า
ร่างของเขาแปลงเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปคว้าตะบองหินมาทันที