จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 438 ปล้น
ศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าสี่คนนี้ก็ช่างไม่มีอนาคตจริงๆ
ตัวเองก็ดาษดื่นธรรมดาอยู่แล้ว ยังจะไปรับคนพื้นเมืองไม่ได้เรื่องมาเป็นคนรับใช้ ซ้ำยังพามาที่สุสานเทพเพื่อช่วยพวกเขาเก็บอาวุธเต๋าชั้นเยี่ยมตามเมืองต่างๆ อีก...
เป็นเนื้อสุนัขที่ไม่มีวันได้ยกขึ้นโต๊ะดังคาด
ในใจของเหล่ายอดฝีมือต่างรู้สึกเหยียดหยาม
พวกเขามองออกตั้งแต่แรกแล้ว หลี่มู่กับกัวอวี่ชิงเป็นชาวพื้นเมืองของดาวดวงนี้ มองออกได้จากกลิ่นอายวิถียุทธ์ซึ่งโกหกไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลี่มู่ยังเป็นเพียงก้าวที่สามขั้นเหนือมนุษย์เท่านั้น ก็แค่นกที่อ่อนแอไม่ใช่หรือ?
การต่อสู้ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ
เหล่ายอดฝีมือพากันแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา
สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่คนมีกำลังอ่อนแอมากที่สุด ค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถอยร่นอยู่ตลอด ดูท่าจะต้านไม่ไหวแล้ว
ตูม!
เสียงสนั่นดังขึ้นมา
ชายจมูกงุ้มและชายคิ้วติดกันสองคนถูกหญิงชราซัดจนกระอักเลือดลอยถอยออกไป
อีกด้าน วิชาฝ่ามือของพี่สาวรูปร่างเย้ายวนราวกับกวนอิมพันกร รอยประทับฝ่ามือที่ทับซ้อนเป็นชั้นๆ บดขยี้เข้ามาประดุจผีเสื้อหยกไร้ซึ่งขอบเขต ทุกฝ่ามือแฝงไว้ด้วยพลังสะเทือนฟ้า ศิษย์ร่างผอมสูงกับพวกก็ทานไว้ไม่ได้ ถูกโจมตีจนหัวหมุนมึนงง ลอยม้วนออกไปเหมือนตุ๊กตาผ้าขาด…
“เหอะๆ เป็นแค่สำนักระดับสองยังกล้ามาชิง ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’…ตายด้วยน้ำมือแม่เฒ่าคนนี้เสียเถอะ” หญิงชราผมขาวมีจิตสังหารไหลเวียน โบกสะบัดไม้เท้าดำ ต้องการจะช่วงชิงชีวิตของชายคิ้วติดกันกับชายจมูกงุ้มให้ได้
การแย่งชิงสมบัติสุสานเทพเดิมทีต้องเดิมพันด้วยชีวิตอยู่แล้ว เมื่อได้เปรียบต้องสังหารให้สิ้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ลมวสันต์พัดฟื้นกลับมาใหม่ ถึงอย่างไรนอกจากระฆังสะท้านวิญญาณแล้วก็ยังต้องแย่งชิงสมบัติอื่นๆ อีก ใครจะรู้ว่าครั้งต่อไปจะได้เจอกันอีกหรือไม่
ดังนั้นสังหารในครั้งเดียวคือการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
พี่สาวรูปร่างเย้ายวนคนนั้น บนใบหน้าเผยยิ้มพราย แต่พลังฝ่ามือกลับไม่ออมแรงสักนิด อีกทั้งเหยียบซ้ำคนล้มให้จมดิน ประทับเข้าใส่ศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าสองคนที่เหลือราวฟ้าถล่ม จิตสังหารรุนแรงนัก
ตูม!
เสียงดังกระหึ่ม แสงเลือดสาดกระเซ็น
ครั้งนี้เป็นชายชราสวมรัดเกล้าทองซัดหนึ่งหมัดใส่ชายเผ่าผู้วิเศษที่ร่างกายขยายใหญ่จนระเบิด ราวกับหนึ่งหมัดซัดแตงโมแตกกระจุย ของเหลวสีขาวสีแดงกระเซ็นไปสี่ทิศ…
แสงขาวสายหนึ่งบินออกจากร่างที่แหลกเละ กลับมายังถาดหยกในมือของเด็กชายเผ่าผู้วิเศษ
“สมควรตาย ร่างของนักรบเผ่าผู้วิเศษบนโลกนี้ช่างอ่อนแอเสียจริง ไม่อาจรองรับพลัง ‘ถาดหยกนำโชค’ นี้ได้….” ในดวงตาของเด็กชายมีความชั่วร้ายและเดือดดาลที่ไม่สมกับอายุสักนิด
ระหว่างที่พูด ถาดหยกขาวในมือเขาบินออกมาครั้ง และตกลงไปในร่างนักรบหญิงเผ่าผู้วิเศษสองคน หญิงสาววัยแรกแย้มสองคนนี้สายตาแข็งทื่อในฉับพลัน จากนั้นความรู้สึกคล่องแคล่วอย่างคนมีชีวิตหายไป ร่างกายขยายออกจนเสื้อผ้าอาภรณ์ขาดวิ่น ร่างกายบนล่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่เหลือความงามอ่อนช้อยของสตรีอยู่เลย ราวกับเป็นลิงยักษ์ตัวสีขาวอย่างไรอย่างนั้น
“สังหารเจ้าลิงยักษ์สวมรัดเกล้าทองนั่นเสีย” เด็กน้อยคำรามอย่างดุร้าย
นักรบหญิงสองคนตรงเข้าล้อมสังหารชายชราผมขาวสวมรัดเกล้าทองโดยไม่รีรอ
ทว่าชายชรากลับคำรามครั้งหนึ่ง หนึ่งหมัดหนึ่งคน ดังสนั่นสองที ก็จัดการนักรบหญิงทั้งสองจนระเบิดกลายเป็นละอองเลือดทันใด
“อะไรกัน?” เด็กชายตกตะลึง ดวงตามีแต่ความพยาบาท
เขาร้องเสียงแหลม เผยเขี้ยวแหลมคมเต็มปากราวสัตว์ป่าออกมาให้เห็น ดวงตาดำสนิท จากนั้นคำรามเดือดดาล “เจ้าลิงเฒ่า เจ้าถูกคนสวมรัดเกล้าทองให้ โดนตัดพลังบำเพ็ญไปจนหมดเหมือนกับบรรพบุรุษเจ้า กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกเลี้ยงไว้ในคอก ยังจะกล้ามาแยกเขี้ยวเช่นนี้อีก วันนี้ข้าจะสังหารเจ้าเสีย”
เสียงแหลมนี้ราวกับจะแทงทะลุแก้วหู
“หุบปาก หนวกหูจริง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
จากนั้นจึงเป็นเสียงระฆังสั้นๆ เสียงหนึ่ง
ทุกคนในตำหนักเซียนเหินรู้สึกคล้ายถูกตีจนดาวขึ้นในพริบตา เวียนหัวตาลายจนแทบจะยืนไม่อยู่ ตื่นตระหนกอย่างฉับพลัน ไม่สนใจการต่อสู้อีกและรีบดึงตัวถอยฉากออกมา ต่างฝ่ายต่างรวมพลังระมัดระวังตัว พลางจ้องมองไปยังใจกลางตำหนัก
เห็นร่างคนผู้หนึ่งที่สวมเกราะระเกะระกะยืนอยู่บนแท่นบูชาหยก มือข้างหนึ่งถือ ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ ใบหน้ามีรอยยิ้มได้ใจที่ยากจะสะกดเอาไว้ เกือบจะแหงนหน้าหัวเราะร่าแล้ว
หลี่มู่นั่นเอง
ทุกคนมึนงงไปหมด
เกิดอะไรขึ้น?
เจ้าคนรับใช้ของสำนักกำเนิดฟ้าไปหยิบตั้งแต่เมื่อไร?
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้สึกตัวเลยหรือ?
คราวนี้แย่แล้ว ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ ดันไปตกอยู่ในมือคนรับใช้นี่เสียได้
“เจ้าหลอกกันหรือ?” เด็กชายเผ่าผู้วิเศษหายใจติดขัดด้วยความโกรธ
พี่สาวรูปร่างเย้ายวนก็มีสีหน้าตกตะลึง ดึงตัวน้องสาวที่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่มาไว้ข้างกาย ทำท่าทางไม่สนว่าฝ่ายหลังจะควงดาบยาวพุ่งเข้าไปสังหารคนหรือไม่ แต่ใช้สายตาทำความรู้จักเสียใหม่สำรวจตัวหลี่มู่ ตอนนี้เองถึงรู้ว่าเมื่อครู่ถูกการแสดงหลอกเอาเสียแล้ว
“ว้า พี่ชาย ท่านนี่หน้าเนื้อใจเสือจริงๆ” เด็กน้อยที่ใส่ตู้โตวสีแดงกลับไปนั่งบนบ่าของชายชราสวมรัดเกล้าทองหัวเราะคิกคักพลางมองไปที่หลี่มู่ ไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือคำประชด
สองตาของหญิงชราไม้เท้าดำมีไฟลุกโชน “เจ้าเศษสวะ เจ้ากล้าวางแผนหลอกแม่เฒ่าอย่างข้ารึ?”
เหตุใดยังมาด่าคนอื่นเสียๆ หายๆ อีก?
หลี่มู่ตอนนี้ก็ไม่ยินดีด้วยแล้ว “หลอกเจ้านั่นแหละยายแก่”
“รนหาที่ตาย” หญิงชราไม้เท้าดำอึ้งงัน ถูกยั่วโมโหจนแทบบ้าทันที ร่างไหววูบราวสายฟ้าพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เงาไม้เท้าสีดำเข้มกระจายอยู่ทั่ว หมายจะเข้าไปทุบศีรษะของหลี่มู่
หลี่มู่ยกมือชกไปหนึ่งหมัด
หมัดพุ่งผ่านเงาไม้เท้า ไม่เฉไม่เอียง ซัดเข้าไปตรงๆ ที่กลางไม้เท้าดำ
ตูม!
หญิงชราไม้เท้าดำรู้สึกเหมือนมีพลังขนาดยักษ์โถมเข้ามา ควบคุมตนเองไม่ได้เสมือนลอยวนอยู่กลางพายุ ถูกกระแทกจนกระอักเลือดลอยออกไป
เงาไม้เท้าจำนวนมากเลือนหาย
ไม้เท้าสีดำถูกกระแทกจนหลุดมือ พุ่งลอยออกไปดุจสายฟ้าดำ และไปเสียบเข้ากับเสาหินต้นหนึ่งนอกตำหนักใหญ่ ส่วนปลายสั่นไปมาไม่หยุดจนเกิดเป็นเงารางๆ
คนอื่นที่เดิมทีตั้งใจจะฉวยโอกาสล้อมเข้าโจมตีเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ก็ล้วนสูดลมหายใจอย่างพร้อมเพรียง
เกิดอะไรขึ้น?
หญิงชราไม้เท้าดำถึงจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในนี้ แต่ไม่ได้อ่อนแอแน่นอน แต่กลับถูกเจ้าคนที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยชุดเกราะผุพังซัดกระเด็นด้วยหมัดเดียว…พลังนี้ ไม่ว่าจะไปต่อกรกับฝ่ายไหนในศึกนี้ก็ล้วนได้เปรียบกว่าทั้งสิ้น เป็นพลังที่ช่างน่ากลัวนัก
ปลอมเป็นหมูมากินเสือชัดๆ
สถานการณ์พลิกกลับเช่นนี้ อืม ทุกคนรู้สึกว่าคำประเมินของเด็กน้อยชุดตู้โตวแดงเมื่อครู่จี้ใจดำจริงๆ เด็กหนุ่มคนนี้หน้าเนื้อใจเสือจริงๆ
ศิษย์ทั้งสี่ของสำนักกำเนิดฟ้ากลับมายืนอยู่ด้านหลังหลี่มู่เหมือนเด็กว่าง่ายทันที
“ฮ่าๆๆ…” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ใบหน้าของศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่มีรอยยิ้มได้ใจที่หลอกคนอื่นได้สำเร็จเผยออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ด้วย
พวกเขาดึงดูดความสนใจได้สำเร็จ ช่วยหลี่มู่คว้า ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ มาได้
ทันใดนั้น ต่อให้เห็นคนที่เหลือนับว่าเป็นคนโง่ก็ยังแจ่มแจ้งแล้ว ความสัมพันธ์เจ้านายกับคนใช้ก่อนหน้านี้ผิดไปถนัด ศิษย์สี่คนจากสำนักกำเนิดฟ้านี้ถึงจะเป็นคนใช้ที่แท้จริง เจ้านายตัวจริงคือคนพื้นเมืองสวมเกราะผุพังเอาไว้เต็มตัวสองคนนั้นต่างหาก
หมดหนทางแล้ว
ไปถึงก่อนก็ได้ก่อน
ใครจะไปคิดว่าศิษย์สำนักนอกพิภพที่สูงส่งจะถูกคนพื้นเมืองสองคนกำราบจนว่านอนสอนง่าย
“เจ้า…” หญิงชราไม้เท้าดำทั้งตกตะลึงและเดือดดาล “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หลี่มู่นึกสนุกขึ้นมาแล้ว
คำถามนี้อีกแล้ว
รอบนี้ไม่ต้องให้หลี่มู่ชี้แจง ชายจมูกงุ้มก็ชิงตอบอย่างยินดี “เขาคือยอดฝีมือ”
หญิงชราไม้เท้าดำนิ่งไป
นางรู้สึกว่าที่ตัวเองไม่สังหารชายจมูกงุ้มด้วยไม้เท้าไปเมื่อครู่นับเป็นความผิดมหันต์
“คนพื้นเมือง ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ นี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะมาขอส่วนแบ่งไปได้ ส่งมาเถอะ” เด็กน้อยเผ่าผู้วิเศษมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา กัดฟันพูดว่า “ต่อให้เจ้ามีชีวิตออกไป ก็ไม่สามารถปกป้องสมบัติชิ้นนี้ได้หรอก คนย่อมไร้ความผิดแต่ผิดที่ถือครองหยก เจ้าจะถูกคนไล่สังหารจนตาย ญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าก็จะตกระกำลำบากไปด้วยเพราะเหตุนี้”
“พี่ชาย ท่านมอบระฆังนั่นให้ข้าดีกว่า ข้าขอแลกกับแพรแดงนี่เลย” เด็กหญิงชุดตู้โตวแดงกล่าวด้วยรอยยิ้มซื่อบริสุทธิ์พลางสะบัดแพรแดงในมือไปมา
“น้องชาย…ข้าดูแล้วเจ้าอายุอานามไม่เยอะมาก ขอเรียกว่าน้องชายก็แล้วกัน พี่สาวนำสมบัติอื่นๆ มาแลกกับ ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ นี้ได้ ระฆังนี้สำคัญอย่างมากกับตัวข้า…” พี่สาวรูปร่างเย้ายวนใจเผยรอยยิ้มอบอุ่น ทดลองเจรจากับหลี่มู่
ส่วนน้องสาวของนางกลับโบกดาบยาวในมือ ห้าวหาญเกินปกติ ร้องคำรามว่า “ท่านพี่ ไม่ต้องเสวนาอะไรกับเขา ปล่อยข้า ข้าจะไปสังหารเขาแล้วแย่งระฆังสะท้านวิญญาณกลับมาเอง ให้ข้าไปสังหารเขา…” นับเป็นเด็กน้อยโลลิที่แสนป่าเถื่อน
“พี่สาว ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว” หลี่มู่มองสาวงามเรือนร่างร้อนแรง ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราสองคนจะมาแบ่งคนนั้นคนนี้ทำไม สมบัติบนตัวท่านมันก็เป็นของข้าอยู่แล้ว ทำไมจะต้องแลกเปลี่ยนด้วย”
พี่สาวนิ่งไป
ส่วนน้องสาว “เอ๋? ท่านพี่ ของของพี่ทำไมก็เป็นของเจ้านั่นด้วย พวกท่านรู้จักกัน? หรือเป็นชู้ของท่าน?”
เพียะ
พี่สาวฟาดฝ่ามือลงบนศีรษะน้องสาว จากนั้นสายตาที่มองไปยังหลี่มู่ก็เริ่มไม่เป็นมิตร “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
แม่เฒ่าไม้เท้าดำที่อยู่อีกด้านหัวเราะเย็นชา “เจ้าเด็กน้อย บนหน้าผากเขียนคำว่าตายเอาไว้เต็มแล้ว กระทั่งเทพธิดาปู้เฟยเหยียนที่ชื่อเสียงโด่งดังก็ยังกล้ามาก้อร่อก้อติก...”
ใครจะรู้ หลี่มู่ไม่แม้แต่จะสนใจนาง เพียงแค่ส่งยิ้มบางไปให้พี่สาวคนนั้น และกล่าวว่า “พี่สาว ขอโทษด้วยนะ…เอ่อ ข้าก็แค่มาปล้น”
พูดจบ ยังไม่ทันที่คนอื่นๆ จะตั้งตัว ประโยคต่อมากลับเปลี่ยนท่าทีทันใด เขาตะโกนว่า “ไม่ต้องพูดนั่นนี่ไร้สาระแล้ว สมบัติ เงินทอง และอาวุธบนตัว จงนำออกมาให้ข้าอย่างว่าง่ายเสีย ข้าอู๋โหย่วเหรินแห่งสำนักมารฟ้า หลักการมีเพียงชิงสมบัติไม่ชิงชีวิต แต่หากพวกเจ้ายังดื้อรั้นโง่เขลา เช่นนั้นข้าก็ต้องชิงทั้งชีวิตและทรัพย์สินแล้ว”
อะไรนะ
ปล้น?
ทุกคนในตำหนักเซียนเหินยังคิดว่าตนเองฟังผิดไป
นี่กล้าปล้นพวกเขาหรือ?
“พี่ชาย ท่านนี่มันตัวร้ายของแท้เลย” เด็กน้อยชุดตู้โตวแดงที่นั่งอยู่บนบ่าชายชราสวมรัดเกล้าทองหัวเราะจนตัวงอไปข้างหลัง “ตัวร้ายที่แสนจะน่ารัก”
ชายชราศีรษะสวมรัดเกล้าทองมองพินิจหลี่มู่ แววตาเคร่งขรึม
“ข้าจะสับคนระยำอย่างเจ้าทิ้งเสีย…” คนน้องในกลุ่มสองสาวถูกพี่สาวดึงคอเสื้อไว้จนพุ่งออกมาไม่ได้ ได้แต่แกว่งดาบยาวไปมาปานจะสับหลี่มู่ออกเป็นแปดส่วน
“ฮ่าๆๆ ดูท่าเจ้าจะไม่เคยตาย” เด็กน้อยเผ่าผู้วิเศษหัวเราะอย่างชั่วร้าย “จะปล้นข้าหรือ? เจ้าบ้าไปแล้ว…”
หง่างเหง่ง!
หลี่มู่ตบฝ่ามือลงบน ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’
เสียงระฆังดังขึ้น คลื่นเสียงประหลาดแผ่ซ่านออกมา คนทั้งหมดรู้สึกตาลาย หน้ามืดวิงเวียนศีรษะ มีดาวลอยไปมาตรงหน้า คลับคล้ายวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง ยืนก็ยืนไม่มั่น….
เมื่อระฆังสะท้านวิญญาณดังขึ้น เหล่ามนุษย์วิญญาณสั่นสะท้าน
เมื่อครู่ที่หลี่มู่จับ ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ ไว้และเคาะมันเป็นครั้งแรก ก็สัมผัสพลานุภาพของระฆังนี้ได้แล้ว ครั้นเสียงดังขึ้น คนที่ได้ยินก็รู้สึกเหมือนวิญญาณแตกกระเซ็น นี่ไม่แตกต่างจากการโจมตีเลย เป็นอาวุธประเภทโจมตีหมู่เลยนี่
“ฮ่าๆๆ ดูซิว่าพวกเจ้าจะทนได้สักกี่น้ำ…” หลี่มู่หัวเราะร่า ใช้ฝ่ามือตีระฆังสะท้านวิญญาณหนักๆ หลายต่อหลายทีเหมือนของไม่ต้องเสียเงิน
หง่างเหง่ง หง่างเหง่ง!
เสียงระฆังประหลาดดังก้องยาวอยู่ในตำหนักเซียนเหิน
คนทั้งหลายร่างโงนเงนราวดื่มสุราจนเมา รู้สึกเพียงร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ล้มพับลงไปทั้งหมด ลุกไม่ไหว ไม่มีแรงต่อต้านใดๆ อีก