จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 449 เดิมพันหมดหน้าตัก
ข่าวเมืองหลินอันแห่งจักรวรรดิซ่งเหนือทรุดลง ถูกแสงมารจากใต้พิภพทะลักออกมาพันวนเอาไว้ ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจวอย่างบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดการให้ความสำคัญจากสามจักรวรรดิใหญ่ เหล่าสำนักใหญ่ และตระกูลขุนนางต่างๆ
ต่อมาไม่กี่วัน ไม่รู้ว่าใครคนไหนปล่อยข่าวออกไป ว่าใต้เมืองหลินอันมีสมบัติลับปรากฏขึ้นบนโลก กลบซ่อนแก่นแท้การทะลวงสวรรค์ เพียงพริบตาก็ได้ดึงดูดเอาขั้วอำนาจต่างๆ ราวกับปลาฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือดทยอยมารวมตัวกัน
กองทหารราชวงศ์ซ่งเหนือที่อยู่ชานเมืองหลินอัน ได้มีท่าทีเปิดกว้าง ไม่ได้ห้ามปรามขัดขวางเหล่าขั้วอำนาจที่จะเข้ามาในพื้นที่ แต่ทว่าได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าด้านในอันตรายเป็นอย่างมาก
ขั้วอำนาจวิถียุทธ์มากมายไม่ได้สนใจคำเตือนของจักรวรรดิซ่งเหนือ เดินทางเข้าสู่เมืองหลินอันที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว และได้พบกับหลุมสวรรค์ที่เป็นทางเข้าสุสานเทพ เหล่าผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์มากมายได้เข้าสู่ด้านในราวกับฝูงเป็ดเดินขบวน
“ศิษย์พี่เต้าหล่าน ท่านแน่ใจว่าในนี้มีโอกาสอยู่?” เต้าเจินสีหน้ากร้านโลก ชุดพรตเต๋าบนร่างขาดวิ่น สะพายกระบี่โบราณลายสนยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าสุสานเทพตรงหลุมสวรรค์หลุมหนึ่งด้วยท่าทีลังเล
เต้าหล่านยังคงอยู่ในท่าทีสันหลังยาวเช่นเดิม ตอบว่า “อืม…ก็น่าจะมีอยู่นั่นล่ะ”
ยอดฝืมือแห่งเขาเมืองมรกตที่อยู่ฝั่งเต้าเจินคนอื่น เมื่อได้ยินก็รู้สึกพูดไม่ออก
รู้สึกว่าตัวท่านเองก็ยังไม่แน่ใจเลย แล้วทำไมต้องลากคนกลุ่มใหญ่มาที่นี่ ถึงแม้ก่อนหน้าจะบุกไปยังเขาเลื่อนลอยหลายต่อหลายครั้ง ตีแตกไม่ได้จนต้องถอยร่น ซ้ำยังเสียหายอย่างสาหัส ทว่าก็ยังมีความหมายมากกว่ามาเสียเวลาอยู่ที่นี่นา
เต้าฉินรีบร้อนอธิบาย “ข้าได้ข่าวมาว่า พวกของเต้าหลิงกับเสวียนฉงจื่อ ได้นำคนเข้ามายังเขาวงกตแห่งนี้แล้ว ถ้าหากพวกเขาพบกับสมบัติ การจะแย่งคืนเขาเลื่อนลอยคงจะยากยิ่งกว่ายากแล้ว ครั้งนี้พวกเขาออกมาจากเขาเลื่อนลอย นี่ถือเป็นโอกาสของพวกเรา”
ก่อนหน้าได้รับข่าวสารที่เชื่อถือได้ เต้าหลิงนำยอดฝีมือจากเขาเลื่อนลอยนับสิบเข้าไปด้านในเขาวงกตใต้เมืองหลินอันแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่หลังจากเต้าหลิงออกด่านมา ไม่ได้จัดสรรทหารเข้ากวาดล้างพวกของเต้าเจินนั่นเอง
“ไปเถอะ” เต้าเจินไม่ลังเลอีก เดินนำหน้าเข้าสู่ทางเข้าสุสานที่มีแสงมารสีดำแผ่ซ่านออกมาไป
จากคำแนะนำของหลี่มู่ และผ่านศึกใหญ่มาอีกหลายครั้ง เต้าเจินในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ละทิ้งความฝันไร้เดียงสาที่ไม่เหมาะกับกาลเวลาไป เปลี่ยนเป็นตัดสินใจได้เด็ดขาดและมั่นคงมากขึ้น
คนทั้งหมดเดินตามเข้าไป
เวลาเดียวกัน วังจักรพรรดิชั่วคราวที่สร้างขึ้นติดกับภูเขาของราชวงศ์ซ่งเหนือ ได้มีการต้อนรับแขกที่พิเศษคนหนึ่ง จนทำให้จักรพรรดิซ่งเหนือต้องออกมาเผชิญหน้าอย่างจำใจ
“ท่านเสี่ยวเยา” จักรพรรดิหนุ่มแห่งซ่งเหนือรู้สึกใจไม่เป็นส่ำ
ทั่วทั้งราชวงศ์ล้วนไม่รู้ว่าหนึ่งในเก้ายอดที่ลึกลับที่สุดคนนี้ เจ้าสำนักจวนปีศาจสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นยังวังจักรพรรดิซ่งเหนือชั่วคราวด้วยเรื่องใด ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เผ่าปีศาจเป็นเผ่าที่มีพลังเพียงพอที่จะต่อกรกับเผ่ามนุษย์ เพียงแต่ว่ากระจัดกระจายกันมากเกินไป พวกเผ่าปีศาจใหญ่ๆ ส่วนมากหลบลี้เข้าไปอยู่ในเขาลึกใต้บาดาลกันหมด ถึงแม้จะไม่ได้สร้างอำนาจการปกครองและประเทศของเผ่าปีศาจขึ้น ทว่าพลังที่แฝงเอาไว้ หากสำแดงเดชขึ้นมา ก็แทบจะไม่ได้แตกต่างจากกำลังของเผ่ามนุษย์เลย
และจวนปีศาจสวรรค์ หลายปีมานี้คอยปกป้องเผ่าปีศาจ ถ่ายทอดวิชา สั่งสอนปีศาจเรือนหมื่น เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดในใจของเผ่าปีศาจ ฐานะการเลื่อมใสศรัทธาห่างชั้นจากฐานะของราชวงศ์แห่งสามจักรวรรดิที่อยู่ในใจของเผ่ามนุษย์เป็นอย่างมาก
“ข้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อมารับตัวเพื่อนเก่าคนหนึ่งกลับไป รบกวนราชวงศ์ซ่งให้ความสะดวกด้วย” เสี่ยวเยาจากจวนปีศาจสวรรค์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพราย
บุคคลในตำนานแห่งเผ่าปีศาจคนนี้ ไม่ทราบอายุอานาม พันปีก่อนหน้าได้เข้ามาควบคุมเผ่ามารแล้ว เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเผ่ามาร ลึกลับอย่างที่สุด เวลานี้ดูแล้วกลับเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่อบอุ่น ชุดคลุมยาวผ้าหยาบ เหมือนอาจารย์ในโรงเรียนคนหนึ่งจากหมู่บ้านเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น ไม่มีพลังคุกคามพลังบีบคั้นใดๆ แม้แต่น้อย ทำให้คนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่กลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เพื่อนเก่า?
พวกของจักรพรรดิซ่ง ล้วนมองหน้ากันเอง
ในราชวงศ์ มีเพื่อนเก่าของบุคคลในตำนานแห่งเผ่าปีศาจคนนี้ด้วยหรือ?
เสี่ยวเยาชี้ไปที่จิ้งจอกน้อยต๋าจี่ที่นั่งน่าเอ็นดูอยู่ในอ้อมกอดของปาเสียนอ๋อง เอ่ยขึ้นว่า “ก็คือเด็กสาวคนนี้”
……
“เจ้าเลือกที่จะหนีออกมาหรือ?”
กลางป่าต้นไม้หิน ชายชราในชุดดำจอนสูง ใบหน้ามีลายเส้นหนาวเหน็บเข้ากระดูกราวกับมีดสลักน้ำแข็งคนหนึ่ง สีหน้าบนใบหน้าเหมือนกับได้เห็นผีตอนกลางวันอย่างไรอย่างนั้น
“สู้ไม่ไหว” ชายหนุ่มชุดดำสะพายดาบตอบกลับสามคำ
“จอมบ้าคลั่งอย่างเจ้า แต่ก่อนไม่ใช่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ได้ ก็ต้องสู้จนเจียนตายก่อนไม่ใช่หรือ? ดาราจักรเทพวีรชนมีศิษย์สำนักใหญ่มากมายจุติลงมา มีคนที่เจ้าต้องกลัวด้วยหรือไร?” ชายชราชุดดำจอนสูงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจอีกครั้ง ถามขึ้นอย่างมีอารมณ์ขัน
ใบหน้าของชายหนุ่มชุดดำสะพายดาบ ปรากฏสีหน้าความอับอาย แต่ยังตอบมาว่า “คนพื้นเมือง แสนร้ายกาจ หน้าไม่อาย และปลิ้นปล้อน….นางตายแล้ว”
พูดออกมาอย่างมั่วซั่ว แต่ชายชราชุดดำจอนสูงเมื่อฟังก็เข้าใจ ชายหนุ่มถูกคนพื้นเมืองคนหนึ่งจากดาวโลกทำให้ต้องร่นถอยมา หนำซ้ำหญิงชราไม้เท้าดำก็ถูกสังหารไปแล้ว
“ไป ไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ว่าคนแบบไหน ทำให้ ‘ชายคลั่งชุดดำ’ อย่างเจ้าต้องถอยหนีมา” ในใจของชายชรารู้สึกอยากรู้อยากเห็น
…
“ซี๊ด เจ็บจะตายอยู่แล้ว…ในที่สุดข้าก็ฟื้นฟูความสามารถกลับมาได้ครึ่งหนึ่งเสียที หลี่มู่ เจ้าเตรียมตัวตายได้เลย” กลางป่าหิน เด็กชายเผ่าผู้วิเศษสูดลมหายใจร้องเสียงต่ำออกมา
เขาเหมือนกับตัวไหมลอกคราบ ถอดเอาผิวหนังเลือดเนื้อด้านนอกออกจนหมด หมอกเลือดพันล้อมครู่หนึ่ง ได้กลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีอายุสิบกว่า ร่างกายสมบูรณ์พร้อม มีเพียงแค่ขาทั้งสองตั้งแต่หัวเข่าลงมาที่พิกลพิการอยู่บ้าง
นี่เป็นเพราะเขาใช้วิชา ‘กู่ไสยเวทไร้มโนธรรม’ ไปก่อนหน้า ยังไม่ทันจะเสร็จสมบูรณ์ ก็ถูกหลี่มู่บีบจนต้องแยกออกมาจากร่างมารดาให้กำเนิด จนเกิดอาการตกค้างภายหลัง
“เพิ่มอายุมาสิบห้าปี พลังของข้า ฟื้นคืนกลับมาครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าเจอหลี่มู่อีก ข้าจะกำเจ้าจนขี้แตกเลย”
เขาตัดสินใจเด็ดขาด เดินกลับเข้าไปในวัดห้าแผ่นดินอีกครั้ง
…
ลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่ง บินราบพื้นดินราวสามจั้งด้วยความเร็วสูง วนเวียนอยู่รอบพื้นที่รัศมีสองร้อยลี้ของวัดห้าแผ่นดิน
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป
“เจอแล้ว”
แสงดำกลุ่มนี้พุ่งตัวลงมาถึงด้านหน้าปากถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง แปลงเป็นชายวัยกลางคนสวมเกราะเทพแดงดำทั่วร่าง สะพายดาบโลหิตเล่มหนึ่ง เดินมุ่งตรงเข้าไปด้านในถ้ำภูเขา
ลดเลี้ยวเคี้ยวคดราวสามสิบจั้งเข้าไปด้านใน ก็ได้พบกับแสงมารสีดำกลุ่มหนึ่ง ไหลเวียนอยู่ที่เดิม วาดเป็นโครงร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งอย่างไม่หยุด
ชายกลางคนย่นคิ้ว กลางฝ่ามือปล่อยพลังมารฟ้ากลุ่มหนึ่งกรอกเข้าไปในแสงมารสีดำ
แสงมารสีดำที่ได้รับการสนับสนุน ได้ไหลเวียนเต้นระบำ วาดเค้าโครงร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว และเป็นจอมมารฟ้าจักรพรรดิฉินหมิงนั่นเอง
“ท่านอาจารย์” จักรพรรดิฉินหมิงใบหน้าเคารพยำเกรง เมื่อเห็นชายวัยกลางคน ได้รีบร้อนทำการคารวะ
“ข้ามอบพลังให้เจ้า จนทำให้เจ้าไม่แก่ไม่เฒ่าไปพันปี กลายเป็นจักรพรรดิฉินตะวันตก บริหารมาก็หลายปี แต่เรื่องเท่านี้เจ้าก็ทำไม่ได้หรือ?” ชายกลางคนมีสีหน้าผิดหวัง น้ำเสียงเฉียบขาด
“ท่านอาจารย์โปรดให้อภัย คนผู้นี้ชื่อว่าหลี่มู่ ศิษย์พ่ายแก่น้ำมือเขาหลายครั้ง เหมือนจะเป็นผู้สืบทอดจากสำนักทางช้างเผือกนอกพิภพ ใช้วิชาเทพจุติลงมาบนโลกใบนี้ เอาชนะวิชาสำนักมารฟ้าของข้าไปได้” จักรพรรดิฉินหมิงรีบร้อนสาธยายตัวหลี่มู่ออกมารอบหนึ่ง
“หือ? วิชาดาบ? วิชาดาบเหินหาว? ไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่าจะเป็นผู้สืบทอดจากสำนักด้านนอกดาราจักรเทพวีรชน? ถึงได้สามารถจุติลงมาก่อนกำหนด จากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นการแย่งชิงร่าง” ชายกลางคนเลิกคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดขึ้นมา ไม่กล่าวโทษจักรพรรดิฉินหมิงอีก
จักรพรรดิฉินหมิงรีบร้อนเอ่ยต่อ “ท่านอาจารย์ ถ้าหากคนผู้นี้เป็นผู้สืบทอดสำนักใหญ่จากนอกดาราจักรเทพวีรชนจริงๆ แล้วพวกเราจะรับมืออย่างไร?”
ชายกลางคนเงยหน้า ดวงตาแสงเลือดไหลเวียน ยิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นใคร หากขวางทางข้า ล้วนต้องตายทั้งสิ้น…เจ้าตามข้ามาก็แล้วกัน หากพบหลี่มู่อีก สังหารไปในดาบเดียวก็พอ”
ทั้งสองคนเดินออกจากถ้ำ ตรงไปยังวัดห้าดินแดน
……
หลี่มู่เดินเข้าไปหาพวกชายจมูกเหยี่ยวงุ้มศิษย์ทั้งสี่ด้วยใบหน้าไม่เป็นมิตร
ตุบ!
ทั้งสี่คนคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“เจ้านาย พวกข้าไม่ได้โกหก ไม่มีแผนที่จริงๆ ที่บอกได้พวกเข้าก็พูดไปจนหมดแล้ว” ทั้งสี่คนลนลานหน้าซีด
ครั้งที่แล้วที่หลี่มู่มีสีหน้าเช่นนี้ ก็ได้ซัดพวกเขาจนน่วมแล้วถามเรื่องของมารเซียนไป พอเห็นจอมมารหลี่หน้าดำคร่ำเครียดเดินมา ก็หมายถึงว่าพวกเขากำลังจะถูกซัดอีกแล้ว
“พวกเราสี่คน รวมกับศิษย์น้องสวี่ที่ถูกท่านซัดจนระเบิดไป เป็นเพียงทัพหน้าเท่านั้น แผนที่ที่แท้จริงอยู่ในมือของผู้อาวุโสสำนักข้า รอจนเขาจุติลงมาพวกเราจึงค่อยออกตามหาเซียนผู้นั้น ” ชายคิ้วตรงรีบร้อนอธิบาย
นับตั้งแต่ที่พวกหลี่มู่เดินทางออกจากวัดห้าดินแดน ก็ผ่านไปกว่าสิบชั่วยามแล้ว โชคไม่ค่อยดีนัก เพราะจนถึงตอนนี้ เซียนในตำนานที่จะต้องหาให้เจอคนนั้นแม้ขนสักเส้นก็ยังหาไม่เจอ ไม่มีเบาะแสต้นสายปลายเหตุใดๆ เลย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวลาที่เหลือให้พวกของหลี่มู่ก็ไม่มากแล้ว
เซียนคนนั้นมอบแผนที่สุสานเทพเอาไว้ เป็นความลับของสำนักใหญ่หลายสำนักในดาราจักรเทพวีรชน มีเพียงสำนักใหญ่ยี่สิบอันดับแรก จึงจะได้กุมเอาสำเนาบุกเบิกนี้ไว้ เมื่อไม่มีแผนที่ หลี่มู่ที่ใช้เนตรสวรรค์คอยกวาดส่องอยู่ตลอดก็ไม่พบสิ่งใดเลย
“ผู้อาวุโสสำนักเจ้าเป็นใครกัน แล้วจะจุติลงมาตอนไหน? เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้า?” หลี่มู่เก็บกำปั้น ถามขึ้นหน้าดำคร่ำเครียด
ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มตอบ “ก่อนหน้านี้สำนักข้าได้เลือกผู้อาวุโสที่จะจุติลงมา คือ ‘กำเนิดฟ้าไร้ยอด’ ผู้อาวุโสจ้าวจิ้ง หลังจากที่เขาจุติลงมาบนโลกนี้แล้ว จะใช้อุปกรณ์ส่งข่าวของสำนักกำเนิดฟ้าติดต่อพวกเรา…”
เสียงยังไม่ทันขาด
หยกทรงกลมชิ้นหนึ่งที่ห้อยอยู่ตรงเอวของชายจมูกเหยี่ยวงุ้ม ได้เปล่งประกายแสงทองจางๆ ขึ้น
“ท่านผู้อาวุโสจ้าวจิ้งติดต่อมา” ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าปรากฏสีหน้าลนลาน จ้องไปทางหลี่มู่
หยกทรงกลมก็คืออุปกรณ์ส่งข่าวของสำนักกำเนิดฟ้า
มันส่องแสงสีแดง หมายถึงว่า ‘กำเนิดฟ้าไร้ยอด’ จ้าวจิ้งได้จุติลงมายังโลกนี้แล้ว
“พลังของจ้าวจิ้งคนนี้เป็นอย่างไร?” หลี่มู่ถามขึ้น
ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มรีบตอบกลับ “ผู้อาวุโสจ้าวบำเพ็ญอยู่ในขั้นนักรบ พลังถูกจัดอยู่ในอันดับที่หกของสำนักกำเนิดฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังเทพกำเนิดแข็งแกร่งที่สุด จัดเป็นอันดับหนึ่งในสำนัก ดังนั้นจึงถูกเลือกให้เป็นผู้ลงมาจุติ”
“ขั้นนักรบ?” หลี่มู่ย่นคิ้ว
ชายคิ้วตรงเอ่ยขึ้น “เจ้านาย มันเป็นเช่นนี้ ขั้นบำเพ็ญในดาราสมุทรแตกต่างจากโลกใบนี้อยู่บ้าง มีจำนวนขั้นมากมาย ขั้นต่ำสุดสามขั้นในนั้นแบ่งเป็นทะลวง สะพานเป็นตายและขั้นนักรบ และเรียกอีกชื่อว่า ขั้นแมลง ขั้นสามัญกับขั้นนักรบ”
หลี่มู่เมื่อฟัง ก็เข้าใจทันที
ขั้นนักรบนี้เป็นการแบ่งขั้นบำเพ็ญของดาราสมุทร อยู่สูงกว่าขั้นผ่านสะพานเป็นตาย
“ขั้นนักรบเมื่อมายังสุสานเทพ จะได้รับผลกดดันของ ‘ค่ายกลสูงสุดสยบมาร’ หรือไม่?” ชิงเฟิงเข้าใจความคิดของหลี่มู่แล้ว ถามเสริมขึ้นมาอีกประโยค
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มตอบ
ชิงเฟิงได้ถามต่ออีกหลายคำถาม หลักๆ แล้วเกี่ยวข้องกับพลัง ความสามารถ พลังการรบของระดับต้นขั้นนักรบ จนเมื่อได้นิยามชั่งน้ำหนักที่ชัดเจนแล้ว เขาก้มลงครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ และได้หันไปพยักหน้ากับหลี่มู่
หลี่มู่สูดลมหายใจลึก เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารับการส่งข่าวนี้เสีย บอกตำแหน่งของพวกเรากับจ้าวจิ้ง ให้เขาเข้ามา”
ต้องสู้แล้ว
กัวอวี่ชิงที่อยู่อีกด้าน ก็เข้าใจความหมายของหลี่มู่ขึ้นเช่นกัน