จอมเวทย์แห่งการเลียนแบบ (The copy mage) - ตอนที่ 13
เดเมียนและแม่ พักอยู่ที่โรงแรมในช่วงกลางคืนและและรู้ว่าทางโรงแรมจะเก็บเงินสำหรับพักคืนต่อไปในเวลาหลังเที่ยงวัน
เมื่อเห็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสง ก่อนที่จะผ่านเที่ยงวันพวกเขาจึงคว้ากระเป๋าและจากไป
ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากโรงแรม พวกเขาได้จ่ายทริปให้กับผู้ดูแลโรงแรมอีก 3 เหรียญวิญญาณ
“ แม่ครับ สาขาของสถาบันอเคเกรียที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนหรอครับ”
เดเมียนกระซิบกับเธอเพราะรู้ว่าห้ามไม่ให้ขุนนางคบหากับสถาบันที่พวกเขาเห็นว่าเป็นศัตรู
“ พวกเขามีหนึ่งสาขาในแต่ละเมืองและในแต่ละเมืองก็มีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับตระกูลผู้ให้กำเนิดขุนนาง 4 ตระกูลซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการปราบปราม แต่พวกเขามีพลังมากเกินไปและดึงดูดผู้ที่มีสถานะต่ำ”
ซาราห์ตอบกระซิบกลับ ในหูของเขา
เมื่อเห็นดังนั้นเขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เธอสังเกตเห็นว่านับตั้งแต่ที่เขาถูกทำร้ายอย่างรุนแรงจนถึงขั้นใกล้เสียชีวิต ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เมื่อรู้เรื่องนี้แล้วเธอรู้สึกว่าเธอควรบอกสถานะปัจจุบันของประเทศที่เธอได้รู้มาเมื่อตอนที่ยังอยู่ในตระกูลให้เดเมียนได้รับรู้ และเธอก็หาที่ว่างและเงียบ ๆ ซาราห์บอกเขาทุกอย่างที่เธอรู้เกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของประเทศ
“สถาบันของราชวงศ์ดึงดูดผู้ที่มีสถานะสูงกว่าในขณะที่ สถาบันอเคเกรีย ยอมรับทุกคนและมีเป้าหมายเพื่อความเท่าเทียมกันดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าจะมีนักเรียนจำนวนมากขึ้นที่ภักดีและเติบโตอย่างรวดเร็ว”
เธอเล่า
“ ครอบครัวตระกูลโกเบกำลังรู้สึกกดดันจากสถาบัน อเคเกรียและจากสายลับของพวกเขาภายในสถาบันพวกเขารู้ว่าสถาบันมีแผนจะโค่นราชวงศ์ที่ไม่เป็นธรรมและสงครามกลางเมืองอาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า”
เธอแจ้งเขาด้วยสีหน้ากังวล ซึ่งเดเมียนเข้าใจแล้ว.
แม่เป็นคนใจดีและยุติธรรมดังนั้นจึงต้องการความเท่าเทียมกันและไม่เห็นด้วยกับวิธีการปกครองของประเทศ แต่ถึงแม้ครอบครัวของเธอจะทำอะไรกับเธอและลูกชายของเธอ เธอก็ยังไม่ต้องการให้พวกเขาถูกฆ่าในสงครามเพราะว่าพวกเขาจะยังคงเป็นครอบครัวของเธอ
เดเมียนรู้สึกว่าเขามีความรับผิดชอบที่จะต้องอยู่ในฝ่ายที่ถูกต้องของสงครามและช่วยเหลือประเทศ แต่เขาก็ไม่อยากเห็นแม่ของเขาเสียใจ
ทั้งคู่ต้องตัดสินใจอย่างหนักในตอนนี้ ซาราห์ได้เช็ดน้ำตาและลุกขึ้นพร้อมกับกำหมัดแน่น
“ พวกเขาปฏิบัติกับแม่และลูกเหมือนขยะและแม่ได้ทำลายความสัมพันธ์ ๆ กับพวกเขาไปแล้วและครอบครัวเดียวของแม่ก็คือเดเมียน นะลูก ”
เธอตัดสินใจ
เดเมียนกอดแม่ของเขาอย่างอารมณ์ดี ซึ่งถึงแม้ภายนอกของเธอจะดูแข็งแกร่ง แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ด้านใน
“แม่ ผมจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง แต่ครอบครัวทำให้เราผิดหวังดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องดำเนินการต่อไป”
เขากระซิบกับเธออย่างเป็นผู้ใหญ่
การได้ฟังลูกชายวัย 10 ขวบของเธอเล่าเรื่องนี้ทำให้เธอตระหนักได้ว่าลูกชายของเธอพัฒนาขึ้นแค่ไหนและทำให้ความรู้สึกรักใคร่จากเขาทำให้เธอรู้สึกผิดโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ ลูก แม่ขอโทษ”
เธอคร่ำครวญขณะน้ำตาไหลอาบใบหน้า
เดเมียนรู้สึกสับสน
“ แม่ขอโทษเรื่องอะไรหรอ !? ”
เขาอุทานอย่างตกใจที่เห็นแม่ของเขาเสียใจ
“เดเมียนไม่ได้เป็นลูกของแม่จริงๆ แม่ได้พาเดเมียนเข้าไปในขณะที่ถูกจับให้แต่งงาน แต่แม่พาเดเมียนเข้าไปเพื่อทำให้งานแต่งถูกยกเลิก”
เธอยอมรับกับเขา
“แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็เลี้ยงดูลูกตั้งแต่ยังเป็นทารก ดังนั้นอย่าโกรธแม่เลยได้ไหม ยกโทษให้แม่ด้วย”
เธอคร่ำครวญ แต่มองไปที่เด็กตรงหน้าเธอซึ่งสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“ ผมรู้อยู่แล้วว่าผมไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่แม่ก็ยังเป็นแม่ของผมและผมก็ไม่มีครอบครัวอื่น”
เดเมียนพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม
ในชีวิตที่ผ่านมาพ่อแม่แท้ๆ ของเขาได้ทิ้งเขาไปและครอบครัวของเขา ทุกๆคนมองว่าเขาเป็นสิ่งที่น่าขายหน้าของครอบครัวและถึงแม้ว่าเขาจะลืมอดีตของตัวเองไปแล้ว แต่ลึก ๆ ในจิตวิญญาณของเขาก็รู้สึกตื้นตันใจที่เธอปฏิบัติต่อเขาด้วยความเอาใจใส่ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเธอ
ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงแบ่งปันช่วงเวลาอันแสนวิเศษที่ทั้งสองได้เคลียร์ความคิดและจิตใจซึ่งกันและกัน
ซาร่าห์ไม่เห็นเดเมียนตอนเด็กอีกต่อไป แต่เป็นลูกชายของเธอที่เธอภาคภูมิใจและสามารถพึ่งพาได้
หลังจากนั่งพักสักครู่และสงบอารมณ์ลงอย่างสมบูรณ์ เดเมียนเป็นคนที่ลุกขึ้นก่อน
“ แม่ เราควรไปที่สถาบัน ให้ได้ภายในวันนี้”
เขาพูดกับเธอโดยตระหนักว่ามันเลยเวลาเที่ยงวันไปแล้วและเขาไม่ต้องการเสียเวลาหรือติดอยู่ข้างถนนโดยไม่มีที่พัก
“เราสามารถไปที่สถาบัน ได้ในตอนกลางคืนและที่นั้นมีโรงแรม ซึ่งเราสามารถพักได้ในคืนนี้ ซึ่งแม่ได้ตรวจสอบแผนที่ก่อนออกเดินทางแล้วจ้ะ “
เธอกล่าวกับเขา
ทั้งสองคนมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าและเดินออกจากพื้นที่เงียบสงบที่พวกเขาอยู่และภายในไม่กี่นาทีก็กลับไปยังย่านธุรกิจที่คึกคัก
“ แม่เราจะไปที่นั่นได้อย่างไร”
เขาถามเมื่อรู้ว่าเมืองอาเรียใหญ่แค่ไหน
“ขี่สัตว์อสูรไงจ้ะ”
เธอตอบด้วยรอยยิ้มทะเล้นเพราะรู้ว่าเดเมียนไม่รู้ว่านั่นคืออะไร
เธอจับมือเขาลากเขาผ่านฝูงชนและภายในไม่กี่นาทีพวกเขาก็มาถึงประตูใหญ่
“มีกี่คน”
ชายคนนั้นถามที่หน้าประตูเมือง
“2 คน และขอสัตว์อสูร 1 ตัว ”
ซาราห์ตอบ
“ ระยะทาง”
เขาถาม
“100 ไมล์”
เธอตอบ
“500 เหรียญวิญญาณ”
ชายคนดังกล่าวยื่นมือออกมา
เดเมียนรู้สึกตกใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ราคาหรืออะไรเกี่ยวกับโลกนี้มากนักเพราะเขามักจะอยู่ในครอบครัวที่เรียนหรือเล่นด้วยตัวเอง แต่เขาก็ยังรู้ว่ามันเป็นเงินจำนวนมากเพราะที่เขารู้ว่า 3 เหรียญวิญญาณเป็นราคาสำหรับคืนหนึ่งในโรงแรม
ซาร่าห์วางถุงกระเป๋าใบเล็กที่เต็มไปด้วยเหรียญวิญญาณบนฝ่ามือของชายดังกล่าว และจากน้ำหนักชายคนนั้นสามารถบอกได้ว่ามันเป็นจำนวนที่เหมาะสม
“ตามฉันมา”
เขากล่าวด้วยความเคารพในขณะที่เขาเดินนำพวกเขาเข้าไปข้างใน
ซาร่าห์ยังคงยิ้มทะเล้นรอดูปฏิกิริยาของเดเมียนต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เดเมียนเดินตามชายคนนั้นไปกับแม่ของเขาอย่างประหม่าและทั้งสงสัยและกังวล
เขาเดินนำเดเมียนและแม่ไปตามทางเดินยาว ในขณะที่เดเมียนได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังจนกระทั่งเขาไปถึงมุมห้องและเขาก็หยุดมอง