จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 106
เมื่อมาถึงไห่ถังหัวฝู่ ก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว
หลิวเซียงหลัน หานเจี้ยนเย่และ หานหยู่เยนยังไม่ได้นอน ทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก บรรยากาศเคร่งเครียดอย่างยิ่ง ในใจถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน
เดิมทีหลิวเซียงหลันคิดจะโทรแจ้งตำรวจ แต่หานหยู่เยนห้ามเอาไว้
เธอเชื่อในโล่เฉิน
นี่คือความคิดของหานหยู่เยน
เอี๊ยด
ประตูเปิดออก
เมื่อเห็นว่าหานหยู่ถิงปลอดภัยดี แถมยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า น้ำตาของพวกหานหยู่เยนก็อดไม่ได้ที่จะไหลลงมา
“หยู่ถิง ลูกรัก”
“แม่”
สองแม่ลูกต่างพากันร่ำไห้
หานหยู่เยนอยู่ข้างๆและสำรวจไปทั่วตัวหานหยู่ถิง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีส่วนใดเสียหายไปแม้แต่น้อยจึงค่อยโล่งใจ
“ลูกรัก ลูกไปไหนมาน่ะ แม่ตกใจแทบแย่แล้ว”หลิวเซียงหลันเช็ดน้ำตาและสะอื้นถาม
“แม่ หนูไปร่วมงานเลี้ยงหนึ่ง แต่กลับถูกพวกคุณชายของตระกูลใหญ่มาตามตอแยไม่ยอมให้หนูจากมา แถมยังแย่งมือถือของหนูไป หากไม่ใช่เพราะพี่เขยมาช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา เกรงว่าหนูคงถูกไปพวกสารเลวพวกนั้นทำมิดีมิร้ายไปแล้ว”
ระหว่างทาง
โล่เฉินและหานหยู่ถิงคุยกันแล้ว และหาข้ออ้างขึ้นมา
เมื่อได้ยินดังนั้น หานเจี้ยนเย่ก็โกรธจัด เขาตะโกน “สารเลว เป็นตระกูลไหนถึงได้กล้าดีขนาดนี้ ยังเห็นกฎหมายอยู่ในสายตาอีกหรือไม่”
“เป็นคุณชายของตระกูลชั้นหนึ่งหลายตระกูลในเมืองเจียง เช่นหลี่ชิงตระกูลหลี่ เจ้านี่เป็นเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมปลายของหนูเขานั่นแหละที่เป็นคนเชิญให้หนูไปร่วมงานเลี้ยง ใครจะรู้ว่านี่เป็นกับดัก”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดี”
หลิวเซียงหลันก็โกรธจัดเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินคำว่าตระกูลชั้นหนึ่งก็ได้แต่ต้องข่มไปในใจลงไปเท่านั้น
ตระกูลชั้นหนึ่ง ตระกูลเล็ก ๆ ของพวกเขาจะไปทำอะไรได้
“หยู่ถิง ทีหลังอย่าไปกับคนหากับตระกูลใหญ่พวกนั้นอีก พวกเราเป็นตระกูลเล็กๆ สู้พวกเขาไม่ไหว”
“หนูรู้แล้วแม่”
ในเวลานี้เอง หานหยู่เยนก็พบว่าโล่เฉินมีท่าทีไม่ถูกต้อง สีหน้าของเขาซีดขาว บนร่างยังคงมีเลือดอยู่บางส่วน เธอถามเสียงพร่า “โล่เฉิน คุณเป็นอะไรไป?”
วาบ
ทันใดนั้น สายตาของพวกหลิวเซียงหลันก็หันมาทันที
หานหยู่ถิงสะอื้น “พ่อแม่ พี่สาว พี่เขยสู้กับพวกบอดี้การ์ดพวกนั้นสุดแรงและพาหนูออกมา พี่เขยเองก็โดยหมัดไปไม่น้อย ต้องขอบคุณพี่เขยมากๆจริงๆ”
“จริงหรือ” หลิวเซียงหลันแสดงสีหน้าซาบซึ้งที่หาได้ยากออกมา
หานเจี้ยนเย่กอดไหล่ของโล่เฉินและถามด้วยความกังวล “เป็นอะไร ไปโรงพยาบาลดูหน่อยไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ ก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย พ่อแม่ ผมขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อน”
“ได้ได้ได้ รีบไปเถอะ”
โล่เฉินง่วงมากจริงๆ
ระหว่างอยู่ห้องน้ำเขาก็แทบจะหลับไป
“ผมปิดไฟแล้ว”
“อืม”
หานหยู่เยนตอบเสียงเบา ๆ “โล่เฉิน ขอบคุณคุณจริงๆ”
“ไม่เป็นไร หยู่ถิงเป็นน้องเมียของผม ผมสมควรทำ โชคดีที่ไปทันเวลา หยู่ถิงเลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร โชคดีอย่างยิ่งจริงๆ”
ถัดมา ก็เป็นเพียงความมืดและเงียบสงัด
หานหยู่เยนต่อสู้กับตัวเองก็นาน เธอกัดริมฝีปากแดงก่ำและเอ่ยพึมพำอย่างรวดเร็ว “หยู่ถิงเด็กคนนั้นก็ช่างจริงๆเลย ใครเชิญอะไรก็ตอบรับไปหมด…ขึ้นมานอนเถอะ….หลี่ชิงคุณชายเจ้าสำราญนั่นจะต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ ใช่ไหม”
ทันทีที่เสียงจบลง ในผ้าห่มก็มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
หานหยู่เยนยิ้มและแอบคิดในใจว่าโล่เฉินฉลาดไม่เลว ได้ยินสี่คำในประโยคนั้นด้วย
เอ๋
ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไรน่ะ?
ทำไมถึงได้มาเกาะติดเธอแน่นขนาดนี้!
ทำไมขาถึงได้เกี่ยวอยู่บนตัวเธอ!
อา เจ้าคนชั่วนี่กำลังจับหน้าอกเธออยู่!
“โล่ …… ”
“พี่สาว อย่าพูด พี่เขยหลับไปแล้ว ฉันอยู่คนเดียวกลัวจะแย่เลยมานอนกับพี่”
หานหยู่เยนถึงค่อยตระหนักได้ว่า ที่แท้เป็นหานหยู่ถิง
ในใจมีความเสียดายวาบผ่าน
“มา มาให้พี่กอดนอน”
หานหยู่เยนกอดน้องสาวของตน ในใจรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมานิดๆน้ำตาแทบเอ่อ
หลับไปเร็วขนาดนี้เลยหรือเนี่ย เห็นทีเขาคงเหนื่อยมากจริงๆ หรือว่าเขาจะไม่สบาย เขาเองก็คงต้องการอ้อมกอดอย่างยิ่งด้วยเหมือนกัน
……
โล่เฉินตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
ความอ่อนแรงยังไม่ได้หายไปไหน ร่างกายของเขาปวดเมื่อย สมองเองก็มึนงง สภาพย่ำแย่อย่างยิ่ง
“คุณตื่นแล้ว”
หานหยู่เยนเข้าไปประคองโล่เฉินขึ้นมา ยิ่งรู้สึกปวดใจมากขึ้น “คุณไม่สบายรึเปล่า สีหน้าขาวซีดขนาดนี้ พวกเราไปโรงพยาบาลดูสักหน่อยเถอะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าผมป่วยจริงๆผมจะไปโรงพยาบาลแน่ ไม่ฝืนร่างกาย”
โล่เฉินสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความห่วงใยของหานหยู่เยนจึงมีความสุขอย่างมาก เขาเอ่ยถาม “ทำไมยังไม่ไปบริษัท?”
อยู่ดูแลคุณไง
หานหยู่เยนไม่ได้เอ่ยประโยคนี้ออกมา เธอหาข้ออ้างส่งๆ “ช่วงนี้ยุ่งจนเหนื่อยมากก็เลยลาหนึ่งวัน พักผ่อนสักหน่อย”
“คุณล้างหน้าล้างตาไหวรึเปล่า?”
“ผมยังไม่ได้แขนขาขาดแน่นอนว่าทำได้”
หานหยู่เยนเอ่ย “อย่างนั้นก็ดี คุณไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาทานโจ๊กรองท้องสักหน่อย อาหารเที่ยงฉันเริ่มทำแล้ว อีกเดี๋ยวคุณทานให้มากหน่อย”
“อืม”
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ โล่เฉินก็นั่งปรับลมหายใจอยู่ที่ระเบียง ขณะที่หานหยู่เยนสองพี่น้องอยู่ในครัว
พวกเขาไม่รู้เลยว่า
ทั่วทั้งซีหนัน กำลังเกิดพายุอันบ้าคลั่ง
หลิงสุ่ยตระกูลป๋าย เพียงชั่วข้ามคืน
ถูกฆ่าล้างตระกูล
ต้องรู้มาก่อนว่า หลิงสุ่ยเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของมณฑลซีหนัน ดังนั้นในฐานะผู้กุมบังเหียนเมืองหลิงสุ่ย อำนาจของตระกูลป๋ายนั้นไม่อาจมองข้ามได้ แม้กระทั่งตระกูลใหญ่ในจีนหลิงยังต้องไว้หน้าตระกูลป๋ายถึงสามส่วน
แต่ตอนนี้ ตระกูลที่ถูกถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในมณฑล
กลับถูกทำลายล้างลงอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย
แน่นอนว่า สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปรู้ก็คือตระกูลป๋ายย้ายถิ่นไปชั่วข้ามคืน ส่วนคนที่รู้ชัดเจนว่าการตระกูลป๋ายถูกฆ่าล้างล้วนเป็นพวกคนในแวดวงชนชั้นสูง
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า
ไม่มีข่าว ไม่มีรายงาน
ทั่วทั้งมณฑลปิดข่าวเรื่องนี้ลงอย่างเงียบกริบ แม้กระทั่งตระกูลชั้นหนึ่งและสองของแต่ละเมืองยังได้รับเอกสารคำเตือนจากคณะกรรมการพรรคประจำมณฑล
ห้ามมิให้เปิดเผยความลับ มิฉะนั้นจะต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา
จากนั้นข่าวลือก็ค่อยๆเริ่มขึ้น
บ้างก็ว่าตระกูลป๋ายไปทำให้ผู้มีอำนาจใหญ่โตในเมืองหลวงขุ่นเคือง
บ้างก็ว่าไปทำให้ปรมาจารย์นักบู๊หรือเทียนเซียนไม่พอใจ
บ้างก็ว่าตระกูลป๋ายกระทำการกดข่มรัฐบาลอย่างอุกอาจ ครั้งนี้รัฐบาลจึงร่วมกับกองกำลังทหารของซีหนันลงมือจัดการกวาดล้างตระกูลป๋าย
……
ข่าวลือทุกประเภทกำลังแพร่กระจายออกไปแต่ก็อยู่แค่ในแวดวงสังคมเท่านั้น
ไม่มีใครกล้าเปิดเผยข้อมูล
ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือแบบไหน ผู้มีอำนาจในเมืองหลวงก็ดี นักบู๊เทียนเซียนก็ใช่ หรือกองกำลังทหาร ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจแบบไหนล้วนสามารถทำลาย 90% ของตระกูลในซีหนันได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น แต่ละตระกูลใหญ่จึงทำตัวว่าง่ายอย่างมาก
หลิงสุ่ย
ตระกูลป๋ายถูกทำลายล้าง กลุ่มบริษัทและอุตสาหกรรมใหญ่ๆล้วนถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่ไม่นานนัก ส่วนหนึ่งก็ถูกฟ่านหงชางยึดครอง และอีกส่วนถูกถังหมิงกวงเข้ายึดครองไป
พริบตา เวลาก็ผ่านไปสามวัน
ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
สังคมนี้ช่างโหดร้าย ก็แค่ตระกูลหนึ่งล่มสลายไป คนตายไปหลายคนก็เท่านั้น ไม่มีใครมาคอยติดตามใส่ใจอยู่ได้ตลอดเวลา
สำหรับคนธรรมดาทั่วไป นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี นั่นเพราะตระกูลป๋ายที่ชั่วช้าน่ารังเกียจจากไปแล้ว
สำหรับชนชั้นสูงก็เป็นแค่เรื่องพูดคุยหลังอาหารเย็น สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญก็คือบริษัทและอุตสาหกรรมของตระกูลป๋ายต่างหาก
ตัวแทนตระกูลหลายตระกูลไปที่หลิงสุ่ยหาถังหมิงกวงและฟ่านหงชางเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือต่อกัน
สามวันมานี้ โล่เฉินไม่ได้ออกไปข้างนอก
เมื่อฟ่านหงชางโทรมาและบอกว่าเรื่องจัดการได้จบแทบจะเรียบร้อยแล้ว เขาถึงค่อยโล่งใจ
โชคดี ที่ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น
“ตระกูลเสี้ยง ครั้งนี้จะต้องขอบคุณจริงๆแล้ว หากไม่ใช่เพราะนายท่านเสี้ยงออกหน้าเองและไปหาผู้นำสูงสุดของคณะกรรมการพรรคประจำมณฑล เกรงว่าเรื่องนี้คงปิดเอาไว้ไม่อยู่”
โล่เฉินหาหนังสือ 《วิชาตระกูลเสี้ยง》จนเจอและใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการแก้ไขอย่างจริงจังและเปลี่ยนให้มันสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ จากนั้นเขาก็นัดกับเสี้ยงฉ่ายเอ่อไปพบที่ตึกซิงหยุน
“พี่เขย คุณจะออกไปข้างนอกหรือ?””
หานหยู่ถิงถาม
“ทำไมหรือ?”
“ให้ฉันไปส่งคุณไหม ฉันเห็นท่าทางของคุณไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สามวันนี้คุณไม่ได้ออกไปไหนเลย”
โล่เฉินหัวเราะ “ไม่เป็นไร ฉันออกไปเองสักหน่อย อ้อใช่ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อส้งเชี่ยง เป็นนักไลฟ์สตรีมคนใหม่ที่ฉันรับมา อายุพอๆกับเธอ วันนี้เธอจะไปดูที่บริษัทสักหน่อย นี่เป็นเบอร์ของเธอ ไปรับเธอพาเธอไปที่บริษัทเดินดูสักหน่อย”
“รับคำสั่งพี่เขย”
หานหยู่ถิงทำท่ารับคำสั่ง น่ารักอย่างยิ่ง