จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 116
“จางหลิ่ง บังอาจ!”
ฉินต้าวจื่อโมโห เขาชี้ไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนหินสีเขียวไม่ไกลออกไป แล้วพูดอย่างเย็นชา” ขอโทษท่านโล่เดี๋ยวนี้ ”
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วง กลิ่นอายสูงศักดิ์ แต่ใบหน้ากลับมืดมนอยู่บ้าง ดวงตาเป็นประกาย
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนักพรต อีกทั้งยังมีพลังไม่ด้อยไปกว่าฉินต้าวจื่อ
“ขอโทษ?หึหึ”
จางหลิ่งหัวเราะเบาๆ สีหน้ายังคงเย็นชา เขาเอ่ยด่า “ฉินต้าวจื่อ ฉันต่างหากที่อยากจะถามนาย นายบอกว่าจะมีท่านปรมาจารย์มาเทศนา พวกเราถึงได้ยอมไว้หน้ามาที่นี่ แต่ตอนนี้นายกลับมาล้อพวกเราเล่น สมควรมีโทษยังไง!”
“ใช่ ฉินต้าวจื่อ นายทำเกินไปหน่อยรึเปล่า”
“ถึงชายหนุ่มคนนี้จะหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกเองก็โดดเด่นอย่างยิ่ง สมควรจะเป็นลูกศิษย์ของนายใช่ไหม หรือว่าท่านปรมาจารย์จะมาไม่ได้ ถึงได้เอาลูกศิษย์นายมาสวมรอย!”
เหล่าชายหญิงส่งเสียงเอะอะขึ้นมา
จางหลิ่งแผ่ความกดดันออกมา น้ำเสียงดังสนั่นราวกับอสนีบาต
“กล้าหลอกพวกเรา ไม่มีทางเลิกรากันได้ง่ายๆ แน่ ฉินต้าวจื่อ เอาวิธีการฝึกฝน《คาถาเฉียนหยวน》 ออกมาให้พวกเราดูเดี๋ยวนี้ เรื่องนี้จะถือว่ายุติลง”
เมื่อได้ยินคำนี้ ฉินต้าวจื่อก็โกรธจนควันขึ้น
คาถาเฉียนหยวน ถือเป็นคาถาที่ทรงพลังที่สุดของเขา
ให้นักพรตคนหนึ่งส่งมอบไม้ตายออกไป แบบนี้ถือเป็นการดูถูกกันอย่างยิ่ง ใครจะทนไหว!
“จางหลิ่ง ฉันก็อยากจะเห็นนัก ไม่เจอกันไม่กี่วัน พลังของนายก้าวหน้าขึ้นไปมากแค่ไหน”
น้ำเสียงจมลง
กลิ่นอายหนึ่งก็ระเบิดออกมา เสื้อคลุมสีดำของฉินต้าวจื่อสะบัดขึ้น ผมขาวพลิ้วไหว
จางหลิ่งเองก็ไม่ยอมแพ้และตั้งท่าเตรียมต่อสู้เช่นกัน
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
โล่เฉินตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอ่ยปากอะไร แต่กลับนั่งลงด้วยตัวเอง
ฉินต้าวจื่อและจางหลิ่งทะเลาะกัน เขาไม่สนใจ
“อึก”
น้ำชาไหลลงสู่ท้อง โล่เฉินจิบชาและเอ่ยชม “ชาดี!”
“ไอ้สารเลว ใครให้ความกล้านี้กับนาย ไม่ดูซะบ้างว่านายมีฐานะอะไร มีคุณสมบัติอะไรถึงได้มานั่งดื่มชากับพวกเรา” ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับโล่เฉินด่าอย่างโกรธจัด
เขาเป็นนักบู๊คนหนึ่ง กำลังภายในล้ำลึก และมาถึงแดนขั้นสูงแล้ว
เขาหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งก่อนจะสะบัดมือ
ฟึบ
ก้อนหินกลายเป็นลำแสงและพุ่งออกมาราวกับสายฟ้า
เป้าหมายคือมือขวาของโล่เฉิน
ใบหน้าของโล่เฉินตึงขึ้น
ฉินต้าวจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารู้จักความน่ากลัวของโล่เฉินดี สร้างความรำคาญให้กับท่านเทพแบบนี้ เกรงว่าพวกเขาทุกคนคงต้องไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์แล้ว
“หยุดมือ!”
แต่ว่ามันสายเกินไปแล้ว
ฉินต้าวจื่อไม่ใช่นักบู๊ นักพรตแต่เดิมก็มีร่างกายไม่แข็งแรงมากนัก จึงไม่สามารถหยุดหินนั่นได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อก้อนหินพุ่งเข้ามาห่างจากโล่เฉินไปประมาณครึ่งเมตร เสียง “ปัง”ก็ระเบิดขึ้น
ใคร?
สายตาของผู้คนเคลื่อนที่ไป
“พวกเรามาที่นี่เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยน ไม่ได้มาเพื่อทำร้ายคน ยิ่งไปกว่านั้น เป็นถึงผู้ฝึกตน ได้โปรดทุกท่านรักษาไว้ซึ่งความมีเมตตา ยังไม่ได้ทันรู้อย่างแน่ชัดก็คิดจะตัดมือขวาของชายหนุ่มทิ้งแบบนี้ นายคิดว่าตนเองแข็งแกร่งอย่างมาก เป็นคนเหนือคน ควบคุมชีวิตและความตายได้หรือไง!”
ชายที่เอ่ยมีอายุสามสิบกว่าๆ ยังอายุน้อย
หน้าตาคมคาย คิ้วพาดคม
มีลักษณะของผู้มาจากตระกูลใหญ่
นอกจากนี้ยังมีกำลังภายในชั้นสูงเช่นกัน แต่กำลังภายในของเขามีความล้ำลึกและแน่นหนายิ่งกว่า เมื่อเทียบกับชายที่ลงมือแล้วยังเหนือกว่าชั้นหนึ่ง
“หลี่เซียนจือ อย่าคิดว่าฉันจะกลัวนายจริงๆ ” ชายคนนั้นเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางโกรธจัด
ทุกคนที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกตน ล้วนต้องระมัดระวังตนปกป้องชื่อเสียงของตน
ใครกันจะอยากตกเป็นรองผู้อื่น
ชายที่ชื่อหลี่เซียนจือเงยหน้าขึ้นและหยิบก้อนหินขึ้นมา ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ลองไหม?”
วูบ
ผู้ชายคนนั้นตัวเกร็งขึ้นมา
เขาย่อมรู้ดีว่าหลี่เซียนจือแข็งแกร่งกว่าตน อีกทั้งพวกเขาเองก็อยู่ในสังคมเดียวกัน ได้ยินมาว่าหลี่เซียนจือเคยได้รับการอบรมจากปรมาจารย์ท่านหนึ่งมาเป็นเวลาหนึ่งปี
อายุเพียง 33 ปีก็มีกำลังภายในขั้นสูง และใกล้จะทะลวงไปสู่กำลังภายในขั้นสุดยอด
ถือเป็นอัจฉริยะ
“พอแล้วพอแล้ว”
ท่ามกลางการประชดประชัน หญิงงามคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชายทั้งสองไต้ซือทั้งสอง วันนี้เป็นวันดี พวกเรากว่าจะรวมตัวกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมจะต้องทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตด้วย”
“มามามา ไว้หน้าน้องสาวสักครั้ง ล้วนนั่งลงดื่มชากันเถอะ”
“ในฐานะผู้ฝึกตน พวกเราย่อมรู้ดีว่าการฝึกตนต้องฝึกฝนจิตใจ จิตใจฝึกได้ไม่ดี ความสำเร็จก็ยากจะบังเกิด ดังนั้น ทุกท่านได้โปรดระงับอารมณ์ลง อย่าได้หุนหัน”
พลังแห่งสาวงาม ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนล้วนแข็งแกร่ง
อีกทั้งพวกเขาเองก็ไม่ได้อยากจะสู้เช่นกัน ถ้าชนะก็ดีไป แต่ถ้าแพ้ขึ้นมาก็มีแต่จะเสียหน้า
มีทางลงให้แบบนี้ ถือว่าดีอย่างยิ่ง
“จางหลิ่ง พูดจาระวังหน่อย” ”
ฉินต้าวจื่อสะบัดเสื้อ ก่อนจะเดินมานั่งข้างโล่เฉิน สีหน้าเต็มไปด้วยการขอโทษ “นายท่าน เป็นผมที่เลินเล่อไป หากคุณไม่ชอบ พวกเราสามารถไปได้ทันที”
เอ๋?
ในที่สุด สีหน้าของผู้คนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในฐานะผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง พวกเขาล้วนเย่อหยิ่ง ต่อให้เจอกับเศรษฐีใหญ่ รัฐบาลข้าราชการชั้นสูง ก็ไม่มีท่าทีทำตัวต่ำต้อย
ฉินต้าวจื่อในฐานะนักพรตชั้นแนวหน้าของทุกคน ตอนนี้กลับกำลังเอ่ยปากขอโทษเด็กหนุ่ม
มีปัญหาตรงไหนกัน?
จางหลิ่งและคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจ แต่สายตาจองหลี่เซียนจือกลับเคร่งขรึม
“นายท่าน?”
ฉินต้าวจื่อมองโล่เฉินที่ดื่มไปทีละถ้วยๆ ก่อนจะส่งเสียงร้องเล็กน้อย
“ชาดี ชาดีจริงๆ !”
โล่เฉินเอ่ยพึมพำ เขาใช้นำเสียงที่พอให้ทุกคนได้ยินเอ่ยกับตนเอง “เจ้าของโรงน้ำชาอยู่ไหม?”
“คุณผู้ชาย หาคุณพ่อทำไมครับ?”
ในเวลานั้นเอง มีชายหนุ่มอายุราวสามสี่สิบปีถือถาดผลไม้ออกมาพอดี เขาวางถาดลงไว้ข้างโล่เฉินและโน้มตัวเอ่ยถาม
มีมารยาทและได้รับการปลูกฝังมาอย่างดี
โล่เฉินอารมณ์ดีอย่างมาก “หากฉันเดาไม่ผิด นายแซ่ลู่”
“ใช่ครับ กระผมแซ่ลู่”
ไม่ไกลนัก จางหลิ่งเยาะเย้ย “มาทำตัวเสแสร้งอะไรกัน แค่ฟังๆ มาก็รู้แล้วว่าเจ้าของโรงน้ำชาแซ่ลู่ น่าอับอายชะมัด!”
โล่เฉินไม่ได้สนใจ เขาเล่นถ้วยชา
“น้ำชานี้สมควรเป็น——ชาเฉ่ามู่เหอเฟิง ชาเข็มเงินเขาจุนและชาเหยียนซงอูหยี สัดส่วน 211 ผสมเข้าด้วยกันจากนั้นจึงหมักเป็นเวลาสามวันสามคืน ฉันพูดถูกหรือไม่?”
ลู่เฟิงนัยน์ตาหดวูบลง สีหน้าประหลาดใจ
เป็นอย่างที่โล่เฉินพูด ไม่ผิดแม้แต่น้อย
ชาสามชนิดนี้ สองชนิดหลังเป็นชาที่ผู้คนรู้จักกันดี แต่ชาเฉ่ามู่เหอเฟิงนั้นเป็นหนึ่งในชาที่มีชื่อเสียงของตระกูลลู่ ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูล
คนนอกจะรู้ได้อย่างไร
“คุณผู้ชาย คุณรู้ได้อย่างไรครับ?ชาเฉ่ามู่เหอเฟิงเป็นความลับที่ไม่เคยเผยแพร่ออกไปของตระกูลลู่ของผม แค่รู้จักชื่อของชาชนิดนี้ก็นับว่าหายากแล้ว นับประสากับสูตรน้ำชา”
ลู่เฟิงตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ตระกูลลู่ถูกสืบทอดตระกูลชามาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว แต่ก็ทำตัวอ่อนน้อมติดดินมาโดยตลอด ไม่สนใจในเรื่องการหาเงินอะไรมากนัก ดังนั้นถึงได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ในย่านชานเมืองของเมืองเจียงสร้างบ้านพักตากอากาศขึ้น
หากบุคคลภายนอกรู้สูตรของตระกูลเข้า ตระกูลลู่ก็คงจะล่มสลายลง
โล่เฉินไม่ตอบแต่กลับยิ้มและเอ่ย “ชาเฉ่ามู่เหอเฟิงไม่เลวจริงๆ ดีกว่าชาสิบอันดับแรกในวันนี้ แต่ว่าไม้เด็ดของตระกูลลู่ของนายยังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีชาก้อนเมฆสดชื่นอยู่อีก”
“นั่นต่างหากถึงเป็นชาตัวแรกของโลก”
“ ถ้วยที่1 ลื่นคล่องคอ ถ้วยที่2 ซึมเศร้ามลาย ถ้วยที่3 ตื้นตันใจ ถ้วยที่4 ขับถ่ายเหงื่อถ้วยที่5 ชำระกาย ถ้วยที่6 ความเป็นเซียน ถ้วยที่7 กินไม่ได้ กลัวสายลมพัดกลับสู่แดนสวรรค์
กึกกึกกึก
ลู่เฟิงราวกับมองเห็นผี เขาก้าวถอยหลังติดๆ ปากสั่นระริก เอาแต่ชี้ไปที่โล่เฉินแต่กลับพูดไม่ได้
“หาโอกาสมา ฉันยินดีที่จะคุยกับพ่อของนาย”
โล่เฉินเอ่ยเรียบๆ
ลู่เฟิงกลืนน้ำลาย สองมือประสานโค้งคำนับ จากนั้นจึงรีบออกจากสวนไปทันทีเห็นชัดว่าไปหาพ่อของเขา
“ฉินต้าวจื่อ ฉันค่อยเข้าใจขึ้นมาแล้ว”
จางหลิ่งเหล่ตา สีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ปรมาจารย์ที่นายพูดถึง ที่แท้ก็คือปรมาจารย์น้ำชา ต้องยอมรับจริงว่า อายุแค่นี้กลับมีความรู้เรื่องชาลึกซึ้ง ถือว่าไม่เลว แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา ก็ถือเป็นแค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น จะมาเทศนาให้กับพวกเรา น่าหัวเราะเยาะไปหน่อย นี่ไร้ความเกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง!”
ฉินต้าวจื่อเลื่อมใสอยู่ในใจ
ตระกูลลู่เป็นตระกูลชาเรื่องนี้เขาเองก็รู้ จนถึงขั้นที่เขาเองก็คิดว่าทั้งแผ่นดินจีนจะหาใครที่สามารถเทียบได้กับตระกูลลู่ในด้านพิธีชงชานั้นก็คงหาได้ยาก
แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำของโล่เฉินก็สามารถทำให้ลู่เฟิงหน้าเปลี่ยนสีได้ เห็นชัดว่าในนั้นมีความลับซ่อนอยู่
นักบู๊แข็งแกร่ง วิชาคาถารู้แจ้ง แม้กระทั่งด้านพิธีชงชาก็ยังอยู่ในจุดสูงสุด
นี่ช่างเป็นปีศาจตัวจริง!
เมื่อได้สติกลับมา ฉินต้าวจื่อก็มองไปที่จางหลิ่งและเอ่ยเยาะเย้ย “เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ผู้ที่ถูกเรียกว่าบำเพ็ญล้วนก้าวข้ามไปสู่จุดสูงส่ง แม้ว่านายท่านจะแค่เอ่ยถึงพิธีชงชาเท่านั้น แต่แค่นี้ก็มากพอที่จะชี้ให้นายเห็นได้”
“หึหึ”
จางหลิ่งมีสีหน้าดูถูกเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขายกคางขึ้นและมองไปที่โล่เฉิน “พูดแบบนี้ บอกจากพิธีชงชาแล้วนานยังเป็นเรื่องอื่นอีกหรือไง มามามา แสดงให้ทุกคนได้เห็นหน่อย”
“ไม่ได้เรื่อง”
ทันใดนั้น สามคำก็ดังก้องอยู่ในสวน
ทั้งโลกคือความเงียบ
จางหลิ่งตะลึงไปสองวินาที จากนั้นดวงตาของเขาก็ระเบิดความโกรธ กลิ่นอายรุนแรงปรากฏขึ้นเขาตะคอก “แกพูดอะไร!”
“ฉันบอกว่านายไม่ได้เรื่อง”
โล่เฉินส่ายหัวก่อนจะจิบชาแล้วถอนหายใจ “ก็แค่ไม้เน่าๆ ยากจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ชั่วทั้งชีวิตนี้ได้แต่หยุดอยู่ตรงนี้”