จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 119
“ไอ้หนุ่ม มารับความตายแต่โดยดี”
จางหลิ่งสองมือไพล่หลัง ลมพัดเสื้อคลุมของเขาสะบัดปลิว ท่าทางทรงพลังเต็มเปี่ยม
ในขณะที่โล่เฉินกลับกำลังมองไปที่ฉินต้าวจื่อด้วยสีหน้าราบเรียบ
นายท่านหมายความว่ายังไง?
หัวสมองของฉินต้าวจื่อไม่เคยแล่นทำงานเร็วขนาดนี้มาก่อน เขาไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าโล่เฉินจะลงมือไม่ได้
“หรือว่า…”
ทันใดนั้น ฉินต้าวจื่อก็ตกอยู่ในความตื่นเต้น
“นายท่านต้องการให้ฉันสู้ต่อ แล้วแอบช่วยฉันเอาชนะจางหลิ่งลับๆ ล้างความอับอายก่อนหน้านี้?”
“ไม่ผิด จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่”
ในขณะนี้ ฉินต้าวจื่อแทบจะน้ำตาไหล
เขาไม่คาดฝันเลยว่าโล่เฉินจะคิดถึงเขาในเวลาแบบนี้ จะไม่ให้เขาตื้นตันได้ยังไง
“นายท่าน ผมเข้าใจแล้ว”
ฉินต้าวจื่อเช็ดหางตา ก่อนจะยืดตัวตรง
เขามองไปที่จางหลิ่ง ก่อนจะก้าวไปอย่างมั่นคง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เซืยนจือ ฉันมาสาย ขอโทษทีขอโทษที”
ในขณะที่ฉินต้าวจื่อเตรียมพร้อมจะต่อสู้ ทุกคนกลับได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงดังขึ้นมาในหู จากนั้นจึงเห็นเป็นชายท่าทางแข็งแกร่งสาวเท้าเข้ามาก้าวใหญ่
ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าดุดัน ท่าเดินกระฉับกระเฉงอย่างยิ่ง
แค่แวบเดียว ก็มองออกว่าเป็นนักบู๊ยอดฝีมือ
“พี่ชาง”
เมื่อได้ยินเสียงทักทาย หลี่เซียนจือก็เปลี่ยนภาพลักษณ์เย็นชาไปเป็นสีหน้ายิ้มแย้มต้อนรับเต็มเปี่ยว ก่อนจะเดินเข้าไปกอดทักทายกับชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว
“พี่ชาง ไม่สายไม่สาย”
“เอ๋ นี่กำลังทำอะไรกัน มีการต่อสู้หรือ?การต่อสู้ระหว่างนักพรต ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันไม่ได้เห็นนักพรตสู้กันมาตั้งนานแล้ว วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
หลี่เซียนจือยิ้ม “พี่ชาง นั่งที่นี่เถอะ”
“ทุกท่าน กระผมเฉินชาง มาโดยไม่ได้รับเชิญหวังว่าทุกท่านจะไม่รังเกียจ ฉันจะทำตัวลีบๆ เอาไว้ มามามา ฉันขอดื่มเคารพให้กับทุกท่าน
เฉินชางมีท่าทางกันเองอย่างยิ่ง
เมื่อถูกเขารวมตัวเข้าไปแบบนี้ จางหลิ่งเองก็ยังต้องมาเก็บสีหน้าอารมณ์ขึ้นมาชั่วคราว นั่นเพราะทุกคนล้วนดูออกว่าเฉินชาง แข็งแกร่งเกินไป
ต่อให้เป็นหลี่เซียนจือก็ยังอยู่ไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินชาง แถมเขายังเอ่ยปากเรียกว่า “พี่ชาง” นี่เห็นได้ชัดว่าน่ากลัวขนาดไหน
“น้ำชาหอมดี มีบุญปากแล้ว”
เฉินชางเดินไปที่ริมลำธารอย่างวางมาด จากนั้นจึงหยิบน้ำชาขึ้นมาถ้วยหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้ส่งเข้าปาก เขากลับพบว่าโล่เฉินกำลังมองเขาอยู่อย่างยิ้มแย้ม
เขาตะลึงไปสามวินาที
“ไอ้หย่า เวรแล้ว”
ถ้วยชาของเฉินชางตกลงบนพื้น ท่าทางเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว กลายเป็นตาลีตาเหลือกขึ้นมาแทน
“พี่ชาง”
หลี่เซียนจือประหลาดใจอย่างมาก เขารีบเข้าไปช่วยพยุง
ไต้ซือคนอื่นๆ ก็ยืนขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เฉินชางกลับปัดมือของหลี่เซียนจือออก สีหน้าของเขาซีดขาว และรีบปีนป่ายเข้าไปหาโล่เฉินอย่างลนลาน น้ำหูน้ำตาไหลออกมา
“นายท่าน พบคุณเป็นครั้งที่สามแล้ว พวกเรามีพรหมลิขิตต่อกัน ได้โปรดเห็นแก่พรหมลิขิตนี้ไว้ชีวิตผมสักครั้งเถอะ”
“นายท่านบุญาธิการใหญ่ไพ่ศาล อายุยืนดุจขุนเขา ผมขอคำนับให้คุณ”
“คำนับนายท่าน”
……
ทุกคนตกตะลึงตัวแข็งทื่อ งงเป็นไก่ตาแตก
นี่เกิดอะไรขึ้น?
เฉินชางผู้ซึ่งอยู่ในขอบเขตกำลังภายในขั้นสุดยอด ถึงกับคุกเข่าลงบนพื้นขอความเมตตาจากชายหนุ่มคนนั้น
นี่เป็นความฝันหรือเปล่า?
ทุกคนขยี้ตา ราวกับกำลังมองเห็นผี
แต่ผู้ที่ตกใจมากที่สุดก็คือหลี่เซียนจือ
นั่นเพราะ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเฉินชางมีความแข็งแกร่งอยู่ระดับสิบกว่าอันดับแรกของตารางจัดอันดับดิน
ตารางจัดอันดับดิน
อันดับของผู้มีกำลังภายในขั้นสุดยอดที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมีแค่เพียงยี่สิบรายชื่อเท่านั้น สามารถขึ้นไปอยู่ในตารางจัดอันดับดินได้ เจ็ดแปดส่วนอาจเป็นปรมาจารย์บู๊ไปแล้ว
เฉินชางเพิ่งจะอายุเพียงสามสิบเก้าปี ยังไม่ถึงสี่สิบ
นี่ถือเป็นอัจฉริยะอย่างยิ่ง
แต่ว่าผู้ที่แข็งแกร่งติดตารางจัดอันดับดินกลับกำลังร้องไห้น้ำมูกไหลร้องขอความเมตตา
ทำไมกัน?
หลี่เซียนจือตะลึงจนขาแข็งไป เขานึกไปถึงคำพูดของฉินต้าวจื่อเมื่อก่อนหน้า ก่อนจะค่อยๆ รู้สึกขนหัวลุก
หรือว่า ชายหนุ่มคนนี้ จะเป็นปรมาจารย์จริงๆ !
ในเวลานั้นเอง
โล่เฉินกลับหัวเราะอยู่ในใจ ช่างถือว่ามีพรหมลิขิตจริงๆ
ก่อนหน้านี้เขาไปที่บ่อนการพนันใต้ดินของต้ายเหรินจงเพื่อนช่วยฉู่เฟิง และขับไล่เฉินชางไป อีกทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้เขากลับเข้ามาในเมืองเจียงอีก
ต่อมา ในงานเลี้ยงของคุณท่านเสี้ยงตนก็พบกับเขาเข้าอีกครั้ง เขาออกหน้ามาสู้แทนตระกูลโล่
นี่ถือเป็นครั้งที่สาม
“ที่ชิงเฟิงซานจวน ฉันเห็นแก่ที่กว่าจะฝึกฝนมาได้ไม่ง่ายดายถึงได้ยอมละเว้นนายไปครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดของฉัน กล้าหมกตัวอยู่ในเมืองเจียงอีก!”
สีหน้าของโล่เฉินเย็นชา เขาแค่นเสียง “ฉันรู้สึกเหมือนหยามฉัน!”
เฉินชางราวกับถูกฟ้าผ่า สั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว
“นายท่าน ผมไหนเลยจะกล้าหยามคุณ ต่อให้มีอีกพันอีกหมื่นน้ำดีก็ไม่กล้า ผมไม่ได้รั้งอยู่ต่อในเมืองเจียงจริงๆ ผมได้ยินจากเซียนจือว่ามีงานเลี้ยงน้ำชา ผมที่อยู่เมืองข้างๆ ถึงได้มาเข้าร่วมสักหน่อย ไหนเลยจะคิดว่าจะมาเจอกับนายท่าน”
เฉินชางร้องไห้คร่ำครวญ หมดสภาพของผู้แข็งแกร่งบนตารางจัดอันดับดินไปอย่างสิ้นเชิง
ผู้คนต่างตกตะลึง
“นายท่าน คุณเป็นผู้มีเมตตา กระผมกว่าจะฝึกฝนได้ไม่ง่าย คุณตัดใจทำลายมันทิ้งอย่างโหดเหี้ยมได้หรือ”
ทำลายทิ้ง?
มุมปากของโล่เฉินผุดขึ้น
“เอาอย่างนี้หรือไม่นายท่าน ให้ผมเป็นผู้ติดตามของท่านดีไหม”
“ฉันไม่ขาดผู้ติดตาม”
“แต่คุณยังไม่มีผู้ติดตามที่เป็นปรมาจารย์นี่”
เฉินชางลูบจมูกของตนและเอ่ย “นายท่านได้โปรดฟังผม ตอนนี้ผมอยู่ในขอบเขตกำลังภายในขั้นสุดยอดแล้ว ผมมีความมั่นใจ ว่าในห้าปีนี้จะเป็นปรมาจารย์ได้ ถึงตอนนั้นคุณก็จะมีผู้ติดตามเป็นปรมาจารย์ ใต้หล้าเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ส่งเสริมบารมีสร้างความแกร่งกร้าวน่ายำเกรง”
โล่เฉินหัวเราะ
เขารู้สึกว่าเฉินชางคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ
“เป็นไง นายท่านคิดเห็นอย่างไรครับ?” เฉินชางมีสีหน้าตั้งตารอ
หลี่เซียนจือเองก็ก้าวขึ้นไป เขาประสานมือโค้งคำนับ “นายท่าน ผมรู้จักพี่ชางมานานหลายปี เขามีนิสัยใจคอไม่เลว ได้โปรดคุณยั้งมือด้วยเถอะ”
ฉินต้าวจื่อแม้ว่าจะยังไม่รู้ที่มาที่ไป แต่เขาเองก็เอ่ยกล่อม “นายท่าน ในอนาคตมีปรมาจารย์คอยติดตามรับใช้ นี่เป็นเรื่องไม่เลวแน่นอน”
“เอาเถอะ”
โล่เฉินแต่เดิมก็ไม่ได้คิดจะลงโทษอะไรเฉินชาง นอกจากนี้ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่สามารถทำได้
มีทางให้ลง ย่อมถือเป็นเรื่องที่ดี
“ฉันยกโทษให้นาย ต่อไปทำเรื่องดีๆ ให้มากหน่อย”
เฉินชางราวกับยกภูเขาออกจากอก เขาซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก “นายท่านวางใจ จากนี้ไปเรียกตอนไหนกระผมไปตอนนั้น ผมเฉิงชางพูดคำไหนคำนั้น จากนี้ไปเมื่อเป็นปรมาจารย์แล้ว จะคอยอยู่รับใช้นายท่าน”
เมื่อเขากลายเป็นปรมาจารย์แล้ว โล่เฉินก็คงจะไม่รู้ว่าไปถึงระดับใดแล้ว
ปรมาจารย์ขั้นเริ่มต้นติดตามปรมาจารย์ขั้นสุดยอด ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอายแต่อย่างใด แต่กลับอาจจะยังได้รับการชี้แนะ ก้าวหน้าได้รวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ เฉินชางยังมั่นใจ
โล่เฉินอายุเพียงเท่านี้ก็เป็นปรมาจารย์แล้ว หากจะบอกว่าเบื้องหลังไม่มีกองกำลังที่น่ากลัวอยู่เบื้องหลังเขา ตีให้ตายก็คงไม่เชื่อ
ดังนั้น การติดตามจึงไม่เป็นเรื่องละอาย แต่ถือเป็นโชคดีอย่างดี
“ลุกขึ้นเถอะ” โล่เฉินเอ่ย
“ขอรับนายท่าน” เฉินชางดีใจราวกับเด็กๆ
ในตอนนี้ ไม่มีใครกล้าดูหมิ่นโล่เฉินอีกต่อไป
ถ้าจะบอกว่าฉินต้าวจื่อเสแสร้งแกล้งทำ แต่เฉินชางที่เป็นผู้มีกำลังภายในขั้นสุดยอดจะกำลังเล่นละครได้เลย?
นี่เป็นไปไม่ได้
หากพูดให้ถึงที่สุด ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคุณชายจากสุดยอดตระกูลใหญ่ ที่อาจจะมาจากเมืองหลวง
เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลใหญ่ ปรมาจารย์เองก็ยังต้องเกรงใจ นับประสาอะไรกับพวกเขา
“กราบคำนับนายท่านโล่”
ทุกคนเอ่ยขึ้น
ชายที่เมื่อครู่ตั้งท่าเป็นศัตรูกับโล่เฉิน อีกทั้งคนที่ไม่เห็นหัวเขา กำลังตื่นตระหนกในใจ เกรงว่าจะถูกลงโทษ
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
โล่เฉินโบกมือ เขาลืมตาขึ้นแล้วพูดเสียงดังฟังชัด “พวกนายหลบหน่อย…..เอ่อ ไต้ซือจาง นายกำลังจะไปไหน?ถ้าจะฆ่าฉัน รีบลงมือเถอะ”
จางหลิ่งตัวแข็งทื่อ
เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาราวสายฝน
เมื่อครู่นี้ที่เฉินชางร้องไห้ขอความเมตตา เขาก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วจนแทบจะเป็นลมไปด้วยซ้ำ
เขาเตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้วจริงๆ
ทำอย่างไรดี?
จางหลิ่งถึงกับเกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริงๆ
“บัดซบ!”
น้ำเสียงหนึ่งระเบิดขึ้น เฉินชางกระโดดออกมา จากนั้นจึงชี้ไปที่จางหลิ่งและด่าลั่น “รีบไสหัวไปซะ นายกล้าพูดว่าจะฆ่านายท่าน ใครให้ความกล้านี้กับนายกัน!”
“ฉัน ฉัน…”
จางหลิ่งตกใจจนคำพูดขาดหาย ราวกับไก่ตัวผู้กำลังแตกตื่น
ทุกคนแทบจะไม่กล้าหายใจแล้วด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เรื่องเอ่ยขอความเมตตาเลย
เฉินชางโกรธจัด บวกกับคิดอยากจะแสดงตัวตนออกมาสักหน่อย ดังนั้นจึงเอ่ยตะคอกขึ้นอีกครั้ง “ปรมาจารย์ไม่อาจหยามได้ นับประสาอะไรกับนายที่ขู่ว่าจะฆ่านายท่าน”
“ฉันให้เวลานายโทรศัพท์สามนาที ให้คนในครอบครัวเตรียมมารับศพนายไปซะ!”
“บูม!”
สีหน้าของจางหลิ่งซีดขาวราวกับกระดาษ
เฉินชางทรงพลังเกินไป กดดันจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
สิบวินาทีต่อมา จางหลิ่งก็ทรุดตัวลงอย่างราบคาบ เขาไม่สามารถฝืนทนได้อีกต่อไป “ตุ๊บ” เสียงคุกเข่าลงกับพื้นดังขึ้น
ไม่
ถ้าจะให้พูดตรงๆ คือเขากลายเป็นอัมพาตไปแล้ว
“ปร.. ปรมาจารย์ผู้สูงส่ง ข้าน้อย….”
พรู้ด
ในเวลานี้เอง เลือดก็กระจายออกไปทั่ว
เหล่าคนที่อยู่ใกล้กับจางหลิ่งถูกเลือดสาดกระเซ็นอาบไปทั่วตัว อีกทั้งยังมีลิ่มเลือดบางส่วนปะปนกันอยู่ จนตกใจล้มไปบนพื้นด้วยความกลัว
เฉินชางเก็บหมัดกลับคืนมา สายตาเยียบเย็นกวาดตามองศพที่อยู่บนพื้น เขาหันกลับมาแล้วพูดว่า “นายท่าน ได้โปรดอภัยที่ผมตัดสินใจหุนหันเอาเอง แต่ไอ้สวะนี่กล้าหยามคุณ จะต้องตาย!