จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 120
โล่เฉินไม่ได้รู้สึกอะไร
ก็แค่นักพรตคนหนึ่ง ฆ่าแล้วก็แล้วไป
อันที่จริงเขารู้สึกว่าเฉินชางทำถูกต้องแล้ว หากปล่อยจางหลิ่งไป อาศัยนิสัยของเขา หากสบโอกาสจะต้องแก้แค้นแน่
การเคลื่อนไหวโตนี้ ดึงดูดให้ลู่เฟิงเข้ามา
เขาเองก็เข้าใจเรื่องราวได้ดี เมื่อเห็นศพเปื้อนเลือดอยู่บนพื้น ก็รีบเรียกสมาชิกในครอบครัวไม่กี่คนมาจัดการทันที
ไม่นานนัก สวนก็สะอาดกลับมาดังเดิม
การตายของจางหลิ่ง ไม่มีใครให้ความสนใจ
สังคมนั้นโหดร้าย แต่โลกของการฝึกฝนนั้นโหดร้ายยิ่งกว่า
ดนตรีไพเราะ กำลังสนุกอยู่พอดี
จุดโฟกัสของงานนี้
ก็คือโล่เฉินนั่นเอง
“ไต้ซือการบำเพ็ญและวิถีบู๊อันไหนแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่ากัน?”
“ไม่สามารถแบ่งความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอได้ นี่ล้วนขึ้นอยู่กับว่านายเข้าใจมันอย่างไร อย่างเช่น พิธีชงชา แท้จริงแล้วเป็นแค่การดื่มชาเท่านั้นหรือ?”
“หรือไม่ใช่?”
“มันไม่ใช่แค่นั้น วิถีชาเองก็สามารถทำให้พลังจิตแข็งแกร่งขึ้นได้ และเข้าสู่ขอบเขตการบำเพ็ญ เรื่องพวกนี้พูดมากไปพวกนายก็ไม่เข้าใจ พวกนายรู้แค่เพียงว่า ทุกอย่างสามารถเข้าสู่การบำเพ็ญได้ ”
ผู้คนต่างครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“ถึงแม้ว่าวิถีจะไม่มีการแบ่งแข็งแกร่งอ่อนแอ แต่การฝึกฝนบางอันก็ยากอย่างยิ่ง ขณะที่บางอันก็ค่อนข้างง่าย ยกตัวอย่างเช่นวิถีบู๊ ธรณีประตูนั้นค่อนข้างต่ำ แต่การบำเพ็ญนั้นแตกต่างออกไป พลังจิตนั้นบอบบางอ่อนแอ ดังนั้นจึงยากที่จะพูดให้ชัดเจน ”
“การบำเพ็ญนั้นฝึกฝนได้ยากกว่าและให้ผลก็ช้ากว่ามาก ตัวอย่างเช่นจางหลิ่งเมื่อครู่ วิถีพลังของเขาแข็งแกร่งมาก แต่เขากลับถูก เฉินชางฆ่าลงในหมัดเดียว!”
“นายกล้าพูดว่าการบำเพ็ญนั้นอ่อนแอกว่าวิถีบู๊ไหม?”
ทุกคนถอนหายใจจากนั้นจึงเอ่ยพูดคุยกันไปมา
โล่เฉินกวาดตามอง เขาเอ่ยต่อ “อย่างที่เราทุกคนรู้ ต่อให้ต้องยั่วยุปรมาจารย์ก็อย่าได้ยั่วยุเทียนเซียน เทียนเซียนนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า วิธีการก็มีมากมายอย่างไม่รู้จบ”
“ในเวลานี้ คุณกล้าพูดไหมว่าวิถีบู๊นั้นอ่อนแอกว่าการบำเพ็ญ?”
“ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกัน”
หลี่เซียนจือประสายมือขึ้น จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายท่าน ผมมีคำถามเกี่ยวการฝึกฝนบู๊อยู่หลายคำถาม ได้โปรดคุณช่วยชี้แนะ”
“ลองเอ่ยมา”
“นักบู๊ฝึกฝนจากกำลังภายในไปสู่ปรมาจารย์ กำลังภายในแปรเปลี่ยนไปเป็นชี่แท้ สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสับสนก็คือ กำลังภายในและชี่แท้ที่แต่ละคนฝึกออกมาล้วนมีระดับความแข็งแกร่งเท่ากันหรือ?”
เฉินชางเอ่ยเสริมขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เซียนจือ กำลังภายใน ชี่แท้ ล้วนสามารถขัดเกลาบ่มเพาะได้ ยกตัวอย่างเช่นนักบู๊ที่เพิ่งจะบรรลุสู่ขอบเขตกำลังภายในนั้นสูง และนักบู๊ที่อยู่ในขอบเขตกำลังภายในขั้นสูงมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว กำลังภายในของพวกเขานั้นย่อมแตกต่างกัน รวมถึงพลังที่มีก็แตกต่างกันไปด้วย”
“พี่ชาง ไม่ใช่อย่างนั้น ความหมายของผมก็คือ ขณะเริ่มต้นฝึกฝนกำลังภายในและชี่แท้ ทุกคนล้วนมีระดับความแข็งเกร่งที่แตกต่างกัน นี่เท่ากับว่าเส้นเริ่มต้นของแต่ละคนนั้นมีความสูงต่ำไม่เท่ากัน”
หลี่เซียนจือรู้สึกว่าตนเองพูดได้ไม่ชัดพอ เขาจึงยกตัวอย่างขึ้น
“ตัวอย่างเช่น กำลังภายใน ชี่แท้ ถูกแบ่งคุณภาพออกเป็นสามระดับได้แก่ABC ระดับพวกนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน ไม่สามารถเพิ่มสูงขึ้นได้ด้วยการฝึกฝนขัดเกลา ดังนั้นคุณภาพที่สูงต่ำต่างกันออกไปพวกนี้ก็จะนำไปสู่พลังที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอง”
ในใจของโล่เฉินกระตุก
สมกับที่หลี่เซียนจือเป็นอัจฉริยะ ถึงกับพิจารณาได้ถึงระดับความเข้มข้นของพลังแล้ว
นี่ก็เหมือนกับ
พลังทิพย์นั้นมีระดับความเข้มข้นที่สูงกว่ากำลังภายในและชี่แท้หลายต่อหลายเท่า
“นายพูดไม่ผิด”
“อะไรนะ?”
หลี่เซียนจือตกใจ อีกทั้งยังดีใจอย่างยิ่ง “ไต้ซือ การคาดเดาของผมเป็นความจริงงั้นหรือ ความเข้มข้นของพลังที่ฝึกฝนออกมานั้นมีสูงต่ำ?”
“ใช่ แต่… ”
โล่เฉินอดไม่ได้ แต่ว่า การเปิดเผยมากเกินไปก็ไม่ดี
เขาเอ่ยอย่างรวบรัด “เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของผู้ฝึกฝน มักมีความเข้มข้นของพลังในระดับเดียวกัน หากคิดจะเพิ่มความเข้มข้นของพลังไปสู่ระดับอื่น ยากอย่างยิ่ง นอกเสียจากว่าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือบังเอิญเกิดความอัศจรรย์”
หลี่เซียนจือมีสีหน้าเศร้าหมองและถอนหายใจไม่หยุด
“ยังมีคำถาม?”
“ไต้ซือ ในเส้นทางแห่งวิถีบู๊ ปรมาจารย์ถือเป็นจุดสูงสุดแล้วหรือไม่?หรือว่ายังมีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าอยู่”
ฝูงชนหันมามองดู ท่าทางมึนงง
อย่างที่ทุกคนรู้กันดี
ปรมาจารย์และเทียนเซียน ถือเป็นจุดสูงสุดของวิถีบู๊และการบำเพ็ญ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
ไหลเลยจะมีที่แข็งแกร่งไปกว่านั้น
นี่มันคำพูดไร้สาระชัดๆ
อย่างไรก็ตาม โล่เฉินกลับมีสีหน้าจริงจัง เขามองไปที่หลี่เซียนจือเพื่อประเมินอย่างลึกซึ้ง คิดอยากรับเขาเป็นศิษย์
คนผู้นี้ มีพรสวรรค์โดดเด่น
“ฉันกำลังไล่ตาม”
แค่ห้าคำนี้ ก็ถือเป็นคำตอบ
หลี่เซียนจือมีสีหน้าเคารพยำเกรง เขาก้มหัวเอ่ย “ไต้ซือ น้อมรับคำสอนแล้ว”
ถัดมา ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการบำเพ็ญอยู่หลายคำถาม
โล่เฉินไล่ตอบทีละคน
ทันใดนั้น เฉินชางก็ร้องเสียงหลงออกมา “เวรเอ๊ย”
“อะไรกัน!”
“นายท่าน คุณไม่ใช้ปรมาจารย์หรือ ทำไมถึงได้เข้าใจวิถีแห่งการบำเพ็ญอย่างปรุโปร่งขนาดนั้น?” เฉินชางตื่นตะลึงตาค้าง บังเกิดการคาดเดาอันน่ากลัวบางอย่างขึ้นมา
และการคาดเดานั้นก็ได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว
ฉินต้าวจื่อหัวเราะร่า เขาเอ่ย “นายท่านมีพลังเวทย์สูงส่งกว่าฉันหลายเท่านัก และมีแนวโน้มว่าจะแตะธรณีประตูของเทียนเซียนแล้ว”
บูม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน ประโยคเดียวคำทุกคนตะลึงไป
นี่คือ การฝึกบู๊และเวทย์พร้อมกัน
สัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครเทียบ
ยังคิดจะอยากให้คนมีชีวิตต่ออีกหรือไม่กัน อายุเพิ่งจะยี่สิบกว่าปีเป็นปรมาจารย์แค่นี้ก็น่าตื่นตะลึงมากพอแล้ว แต่นี่เขากลับเป็นนักพรตที่ทรงพลังด้วย
คนเทียบคน แทบจะทำให้คนโมโหจนกระอักใจตาย
“เอาล่ะ” โล่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “นั่งจนก้นกบเมื่อยไปหมดแล้ว พวกนายไม่จำเป็นต้องมาสนใจฉัน”
เมื่อออกจากสวนมา โล่เฉินก็พบกับลู่เฟิงที่ประตู
“นายรอฉันมาตลอดหรือ?”
“ใช่ครับนายท่าน ถึงแม้ผมจะไม่ใช่ผู้ฝึกฝน แต่ก็ได้ติดต่อกับผู้ฝึกฝนมาหลายปีแล้ว เมื่อครู่ได้ยินคำสอนของคุณ ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
ลู่เฟิงมีท่าทางเคารพ “นายท่าน ได้โปรดตามผมมา คุณพ่อของผมรอท่านมานายแล้ว”
“นำทาง”
ผ่านเส้นทางคดเคี้ยวและวกวน
โรงน้ำชามีขนาดใหญ่อย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีเส้นทางยิบย่อยแตกออกไปอีกมากมาย
ตามคำกล่าวของลู่เฟิง งานอดิเรกของพ่อของเขาคือการศึกษาฉีเหมินตุ้นเจี่ย การออกแบบรวมถึงโครงข่ายถนนของโรงน้ำชาล้วนเป็นพ่อของเขาลงมือทำเอง และซ่อนความลับเอาไว้อยู่บ้าง
โล่เฉินอมยิ้ม
ฉีเหมินตุ้นเจี่ย พูดไปแล้วก็มีความเกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อย ส่วนมากล้วนเป็นเขาที่ถ่ายทอดไปให้
ของเล่นพวกนี้ เขาถือเป็นบรรพบุรุษ
ไม่นานนัก ตรงหน้าก็ปรากฏศาลาสูงใหญ่ขึ้น มันมีสองชั้น ตกแต่งด้วยไม้มะฮอกกานี กลิ่นอายโบราณ เพียงแต่ที่ชั้นสองกลับมีเสียงไออย่างรุนแรงดังขึ้นมา
ลู่เฟิงกังวลเล็กน้อยและก้าวเร็วขึ้น
บนชั้นสอง ม่านถูกเปิดออก และมีชายชราคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง
ใบหน้าเหือดแห้งซีดเหลือง ร่างกายซูบผอม
“พ่อครับ เป็นยังไงบ้าง?”
ลู่เฟิงคุกเข่าลง ในมือถืออ่าง เข้าไปช่วยชายชราขับเสมหะ
โล่เฉินเดินเข้าไปใกล้ เขาแอบขมวดคิ้ว พบว่าในตัวของชายชรามีสารพิษสะสม อวัยวะภายในถูกติดเชื้อจากสารพิษไปแล้ว เวลาเหลืออีกไม่มาก
“น้องชายคนนี้ คือ…”
“ใช่ ท่านพ่อ เขาคือคนที่ผมบอกกับพ่อ ผู้ปราดเปรื่องในวิถีชา และคุ้นเคยกับชาชั้นดีของตระกูลลู่เรา อีกทั้งยังเป็นไต้ซือผู้ฝึกฝนด้วย”
ลู่เฟิงกล่าวพร้อมหลีกทางให้
โล่เฉินนั่งลงข้างเตียงและจับมือชายชรา ก่อนจะตรวจชีพจรชายชราอย่างเงียบๆ สีหน้าดูสง่าเคร่งขรึมขึ้น
“น้องชาย ฉันขออนุญาตถามสักหน่อย คุณรู้จักไพ่ตายของตระกูลลู่เราได้ยังไงกัน ชาก้อนเมฆสดชื่น ชานี้เป็นชาที่พวกเราตระกูลลู่ไม่เคยเปิดเผยต่อภายนอก ถือเป็นความลับตลอดมา
ชายชราพูดจบ ก็ไออีกครั้ง
ในสมองของโล่เฉินผุดความทรงจำขึ้นมากมาย ท้ายที่สุดก็กลายเป็นถอนหายใจ เขาเอ่ย “คุณเป็นผู้สืบทอดของเทพชาลู่หยู่ใช่ไหม”
วูบ
ดวงตาสีเหลืองหม่นหมองของชายชราปรากฏประกายสว่างขึ้น
“น้องชาย คุณพูดถูก ขอเรียนถามว่าคุณรู้ได้อย่างไร?”
“เทพชาลู่หยู่มีชาชั้นเยี่ยมสามอย่าง ชาที่น่าภาคภูมิใจที่สุดคือชาก้อนเมฆสดชื่น ตามมาด้วยชาเหยียนซงอูหยี ส่วนที่สามคือชาเฉ่ามู่เหอเฟิง พวกนี้ล้วนเป็นความลับที่ไม่แพร่งพรายออกไป ในสวน ฉันดื่มชาเฉ่ามู่เหอเฟิงไปแล้ว ย่อมเดาถูกว่าพวกคุณคือผู้สืบทอดของลู่หยู่”
ชายชราตัวสั่นลุกขึ้นนั่ง เขายิ้มอย่างขมขื่น “ตระกูลลู่ของเราเป็นผู้สืบทอดของลู่หยู่จริงๆ ชาไพ่ตายสามชนิดนั้นคุณก็พูดได้ไม่ผิด เพียงแต่น่าเสียดาย น่าเสียดาย….”
“พวกคุณตระกูลลู่ทำชาก้อนเมฆสดชื่นออกมาไม่ได้แล้ว?”
ดวงตาของชายชราหดวูบ น้ำเสียงแหบพร่า “น้องชายสมกับที่เป็นปรมาจารย์บู๊ ช่างเป็นยอดคน ไม่ผิด ชาก้อนเมฆสดชื่นสูญหายไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความฝันของชายชราอย่างฉันก็คือการได้ชงชาชั้นดีของบรรพบุรุษ แม้ตายก็ไม่เสียดาย”
ลู่เฟิงปาดน้ำตา และเอ่ยอธิบาย “คุณพ่อเพื่อที่จะศึกษาเกี่ยวกับชาก้อนเมฆสดชื่น เขาได้ทำการลิ้มรสหญ้าไปนับร้อยพัน อีกทั้งยังสมุนไพรและใบชามากมาย นานวันเข้า สารพิษก็ยิ่งสะสมในร่างกาย สุขภาพยิ่งนานวันยิ่งย่ำแย่”
โล่เฉินแอบชื่นชมเงียบๆ
กว่าพันปีมาแล้ว สมัยราชวงศ์ถัง
มีคนผู้หนึ่งพรสวรรค์ล้ำเลิศ มีความสามารถและศึกษาเรื่องชาอย่างลึกซึ้ง ต่อมาเขาได้เขียน 《คัมภีร์ชา》ขึ้นมา ซึ่งเขาคนนั้นก็คือลู่หยู่ที่ต่อมาถูกเรียกว่าเทพชา
ในปีนั้น โล่เฉินบังเอิญพบกับลู่หยูเข้า หลังจากได้ชิมชาชั้นยอดสามอย่างนี้ก็มิอาจลืมรสชาติลงได้ วันๆ เอาแต่เกาะติดลู่หยู่ให้เขาชงชาให้ตนดื่ม
ลู่หยูที่ถูกความคลั่งไคล้ของโล่เฉินบีบบังคับจึงได้แต่ต้องทำตาม
ไปๆ มาๆ หูตาก็ได้เรียนรู้
โล่เฉินมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการและส่วนผสมของชาทั้งสามวิธี เทียบกับคนในตระกูลลู่แล้วยังเข้าใจลึกซึ้งเสียยิ่งกว่า
ในเมื่อเป็นทายาทของเพื่อนเก่าแก่อีกทั้งตอนนั้นเขาได้ลิ้มรสความหอมหวานจากลู่หยูไปตั้งมากมาย โล่เฉินจึงตัดสินใจช่วย
สำหรับเขา เรื่องนี้ง่ายเพียงหยิบมือ
“ผู้เฒ่าไม่ต้องเสียใจไป วิธีการทำชาก้อนเมฆสดชื่นรวมถึงส่วนผสม ผมจะเขียนให้คุณในเร็วๆ นี้”
“คุณว่าอะไรนะ!”
ลู่เฟิงพ่อลูกตกใจอย่างยิ่ง ท่านผู้เฒ่าถึงกับแทบพลัดตกลงจากเตียง
“เป็นไปไม่ได้!”
ท่านผู้เฒ่าเอ่ยร้อง “ชาชั้นยอดสามชนิดนี้นอกจากพวกเราตระกูลลู่แล้วไม่มีใครทำเป็นทั้งนั้น นี่เป็นความลับที่ไม่เคยแพร่งพรายออกไป เป็นคำสอนของตระกูล แม้กระทั่งบรรพบุรุษถึงกับกำชับว่าไม่สามารถผลิตในปริมาณมากได้ ด้วยเหตุนี้ ลูกหลานของตระกูลลู่ถึงได้หลบซ่อนตัวลงอยู่ในมุมหนึ่ง เพียงเพื่อสืบทอดจิตวิญญาณของพิธีชงชาเท่านั้น”
ก็ฉันสนิทกับบรรพบุรุษของนายไง
โล่เฉินแอบยิ้มในใจ แต่ปากกลับไม่สามารถพูดไปได้