จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 160
ห้องโถงของตระกูลนิ่งยังคงสืบทอดความเรียบง่ายแบบโบราณมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พื้นไม่ใช่ซีเมนต์แต่เป็นแผนหินบลูสโตน แผนหินบลูสโตนพวกนี้มีความหนาอย่างหาที่เปรียบมิได้ หนาเกือบ 30 ซม.
เพียงเท้าเดียว กลับทำให้แผนหินบลูสโตนทั้งหมดแตกออก
เป็นรอยแตกอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่รอยแตกแค่ที่พื้นผิว
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ โล่เฉินแค่วางปลายเท้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ได้ ราวกับเทพเซียน ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง
“เป็นไปไม่ได้” นิ่งจื่อซวน อุทาน
ในตรงกันข้าม ท่านนิ่งกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาก้าวไปข้างหน้าและโน้มตัวประสานมือทักทาย “ผมแก่แล้วเลอะเลือน ที่แท้เป็นนายท่านนักบู๊ เสียมารยาทแล้ว”
“อืม”
โล่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลง
ในฐานะตระกูลชั้นหนึ่งในฉู่โจว อีกทั้งยังเป็นตระกูลด้านศิลปะการต่อสู้ ทำไมจะไม่รู้จักนักบู๊ แต่เขาแสดงออกมาเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้ถึงตัวตนของเขาแล้ว
ยังไงเสีย ก็ยังต้องให้ตระกูลนิ่งคอยดูแลหานหยู่ถิง
“นักบู๊?!”
นิ่งจื่อซวนอุทานอย่างตกใจอีกครั้ง
ในฐานะคุณชายคนหนึ่งของตระกูลนิ่ง เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้สืบทอดตระกูลเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สืบทอดศิลปะการต่อสู้ของตระกูลซึ่งก็คือมวยงู ดังนั้นเขาย่อมต้องรู้ถึงการมีอยู่ของนักบู๊
นั่นคือผู้ฝึกฝนที่ครอบครองพลังอันเหนือมนุษย์
ว่ากันว่า เมื่อคุณไปถึงจุดสูงสุดของการฝึกฝนแล้ว คุณก็จะสามารถทำลายภูเขาและแม่น้ำ ร้อยก้าวตัดหัวผู้คน นั่นต่างหากถึงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงในสวรรค์และโลก อยู่เหนือผู้ใด
ครั้งหนึ่ง นิ่งจื่อซวนเคยโชคดีได้เจอมาครั้งหนึ่ง
ท่านผู้เฒ่าใช้เงินอย่างหนักเพื่อเชิญนักบู๊มาเป็นแขกที่ตระกูล ตอนนั้นนิ่งจื่อซวนเห็นด้วยตาของเขาเองว่านักบู๊คนนั้นใช้เพียงนิ้วเดียวเจาะทะลุภูเขาหินจำลอง
คล้ายกับเท้าข้างหนึ่งของโล่เฉินในตอนนี้
แข็งแกร่งอย่างมาก
ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเอาชนะหนึ่งต่อร้อยคนได้!
เมื่อเทียบกับนักบู๊แล้ว จะไปชนะได้ยังไงกัน โม่หานเตะแผ่นเหล็กเข้าแล้วจริงๆ
ในใจของนิ่งจื่อซวนตื่นเต้น เขาเองก็กระตือรือร้นในศิลปะการต่อสู้ ตอนนี้เมื่อรู้ถึงตัวตนของโล่เฉิน ก็ยิ่งชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องเกรงใจ”
โล่เฉินแตะจมูก เขาเอ่ยอย่างประดักประเดิด “ห้องโถงนี้สมควรเป็นมรดกที่สืบกันมาใข่ไหม หินชิงสือเองก็มีอายุไม่น้อย แต่เท้าของฉัน…”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร ก็แค่ของนอกกายเท่านั้น”
ท่านนิ่งคนตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกปวดใจอยู่หน่อยๆ แต่เมื่อเทียบกับนักบู๊แล้ว สิ่งนี้ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า เพื่อนตัวน้อยจะเป็นถึงนักบู๊ผู้สูงส่ง อีกทั้งยังดูเหมือนมีพลังแก่กล้าอย่างมาก”
โล่เฉินฟังออกถึงความหมายของคำพูดนี้ เขาเอ่ย “ก็พอไหว แต่ให้ปรมาจารย์คิดจะฆ่าฉัน ก็เป็นไปไม่ได้”
ท่านนิ่งต้องตกใจอีกครั้ง
ปรมาจารย์ จุดสูงสุดของวิถีบู๊
ถ้าพูดแบบนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าสมควรอยู่ในขั้นกำลังภายในขั้นสุดยอด เก่งกาจ!
“เฮ้อ พูดไปแล้วฉันก็ละอายใจ ฉันหมกมุ่นอยู่กับการฝึกศิลปะการต่อสู้มาตลอดชีวิต แม้แต่ในฝันก็ยังอยากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกฝนบู๊ แต่กลับไร้หนทาง”
สีหน้าของท่านผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเสียดาย เขาพึมพำกับตัวเอง “เมื่อห้าปีที่แล้ว ฉันได้เชิญนักบู๊กำลังภายในขั้นสูงมาคนหนึ่ง และสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ทุกประเภท โดยหวังว่าเขาจะสอนวิธีฝึกฝนจิตใจให้ฉัน แต่ว่าก็ล้มเหลว”
“มวยงู ก็ถือว่าไม่เลว” โล่เฉินเอ่ย
“แต่ถึงยังไงก็เป็นแค่หมวดหมู่ของศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ศิลปะการต่อสู้กับวิถีบู๊นั้นแตกต่างกัน หนึ่งเป็นเพียงการเคลื่อนไหว อีกหนึ่งคือเส้นทางสู่สวรรค์และโลก อยู่เกินขอบเขตของมนุษย์ สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตไปได้” ดวงตาของท่านผู้เฒ่าเป็นประกาย ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งตื่นเต้น
โล่เฉินรู้สึกไปกับเขาด้วย ท่านผู้เฒ่าคนนี้เป็นพวกหมกมุ่นจริงๆ
เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ท่านผู้เฒ่าเอ่ยเรื่องพวกนี้แต่ไม่ได้หวังว่าจะให้โล่เฉินสอนวิธีฝึกฝนหรือถ่ายทอดวิธีฝึกจิตให้แต่อย่างใด
มันก็เป็นแค่คำเอ่ยอธิบายเท่านั้น
“มันไม่ใช่แค่การมีวิธีฝึกจิตก็สามารถฝึกฝนได้ แต่ยังต้องมีพรสวรรค์ด้วย และสิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์ก็คือ รากฐานวิญญาณ”
“รากฐานวิญญาณ?”
โล่เฉินอธิบาย “รากฐานวิญญาณพูดไปแล้วก็ลึกลับอย่างมาก มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ มีเพียงผู้ฝึกฝนที่มีพลังจิตอันแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสัมผัสได้ รากฐานวิญญาณ สามารถแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ระดับสุดยอด ระดับบน ระดับกลาง และระดับล่างสุด”
“แม้ว่าจะมีรากฐานวิญญาณ แต่ถ้าอยู่ในระดับล่างฝึกฝนไปก็ไม่มีชื่อเสียงใด ๆ อย่างน้อยๆควรอยู่ในระดับกลาง ถึงค่อยมีความสำเร็จขึ้นมาหน่อย หากคิดจะฝึกฝนไปจนถึงจุดสูงสุดของวิถีบู๊ อยู่ในขอบเขตของปรมาจารย์ อย่างนั้นก็ต้องมีรากฐานวิญญาณในระดับบน”
“ท่านผู้เฒ่า เรียนตามตรง คุณมีรากฐานวิญญาณอยู่จริง แต่กลับอยู่ในระดับล่าง บวกกับตอนนี้คุณอายุมากแล้ว ต่อให้มอบวิธีฝึกฝนจิตให้คุณไป อย่างมากก็ไปได้ถึงขั้นฝึกร่างเท่านั้น หากคิดจะอยู่ในขอบเขตกำลังภายใน ถือเป็นเรื่องยากอย่างมาก!”
ท่านนิ่งมีสีหน้าทรุดโทรม ก่อนจะถอนหายใจไม่หยุด
จากนั้น เขาก็ดึงนิ่งจื่อซวนเข้ามาและถามอย่างมีความหวัง “นายท่าน นิ่งจื่อซวนเป็นหลานชายที่ภาคภูมิใจของฉัน อายุ 23 ปีก็ฝึกมวยงูจนปรุโปร่งแล้ว คุณลองดูสักหน่อย เจ้าเด็กคนนี้มีรากฐานวิญญาณหรือไม่ เป็นระดับใด?”
โล่เฉินเห็นถึงศักยภาพของนิ่งจื่อซวนมาตั้งนานแล้ว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลย ดีกว่าระดับกลาง แต่ว่ายังห่างจากระดับบนอยู่หน่อย หากได้ฝึกฝนวิถีบู๊มาตั้งแต่เด็ก ก็อาจทะลุไปถึงขอบเขตปรมาจารย์ได้ แต่ตอนนี้ พูดยาก”
“แค่นี้ก็เพียงพอแล้วเพียงพอแล้ว!”
ท่านนิ่งปากไวใจเร็ว
สีหน้าเขาแดงก่ำ จากนั้นจึงลุกขึ้นและโค้งคำนับ
“นายท่าน ช่วยรับจื่อซวนเป็นศิษย์ได้หรือไม่?”
หัวใจของนิ่งจื่อซวนหดเกร็ง จากนั้นก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและประหม่า
หากมีนักบู๊เป็นอาจารย์ อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งมากขนาดนี้ อย่างนั้นเขาก็เท่ากับมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอย่างมาก
อาจถึงขั้นที่อีกไม่นาน ตระกูลนิ่งก็จะสามารถเทียบกับตระกูลซูได้
“นายท่าน ได้โปรดเถอะครับ ไม่ว่าคุณจะเสนอเงื่อนไขอะไร ตระกูลนิ่งของเราก็ยินดีจะตอบรับ” ท่านผู้เฒ่าเห็นว่าโล่เฉินไม่เคลื่อนไหวใดๆ เขาก็กัดฟันและพูดว่า “ผมมีหลานสาวอีกคนหนึ่ง อายุสิบเก้าปี หน้าตางดงามอย่างยิ่ง”
“ขอแค่นายท่านชอบ ก็สามารถจัดการหมั้นกับนายท่านได้ รอให้ถึงวัยแล้วค่อยจัดการแต่งงาน”
โล่เฉินเบ่ปากเอ่ย “นี่คุณกำลังขายหลานสาวของคุณ”
ท่านผู้เฒ่าสั่นหัวของตนและเอ่ย “ไม่ นายท่านมีสถานะสูงส่ง เป็นยอดคน หลานสาวของผมย่อมต้องชื่นชมแน่ การได้ติดตามคุณถือเป็นโชคดีของเธอ”
“ท่านปู่…” นิ่งจื่อซวยเอ่ยปากขึ้น
“แกไม่ต้องพูด”
หานหยู่ถิงสอดปากขึ้น “ท่านผู้เฒ่า นี่คือพี่เขยของฉัน”
“แค่ก”
ท่านผู้เฒ่าสำลัก นิ่งจื่อซวนรีบอธิบาย “คุณปู่ นี่ปู่กำลังพูดอะไรกัน นายท่านโล่มีภรรยาแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ?”
แต่เดิมคิดว่าเรื่องจะจบแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านผู้เฒ่าจะเอ่ยคำพูดทำเอาคนตกตะลึงออกมาได้อีก เขาโบกมือและเอ่ย “มีภรรยาแล้วก็ไม่เป็นไร ขอแค่นายท่านยินดี ให้นังหนูจื่อโหรวเป็นสนม หรือว่าเป็นสาวใช้แบบนี้ก็ดีแล้ว”
“พรูด”
โล่เฉินที่กำลังจิบชาถึงกับพ่นชาออกมา หานหยู่ถิงมีสีหน้าไม่พอใจ เธอถลึงตามอง “ท่านผู้เฒ่า คุณ คุณพอได้แล้ว ถ้าหลานสาวคุณได้ยินคงต้องโกรธคุณแน่”
“ไม่ ฉันยินดี”
ทันใดนั้น ที่ประตูห้องโถงใหญ่ก็มีเสียงอ่อนนุ่มดังขึ้นมาเบาๆ
ท่านผู้เฒ่าหันกลับไปและหัวเราะเสียงดัง “โหรวโหรว มาเจอโล่ไต้ซือสักหน่อย”
นิ่งจื่อโหรวเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
สมกับที่เป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ เธอมีท่าทางที่สง่างาม ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีกฎเกณฑ์ หน้าตาสวยสดงดงามจริงๆ ผิวขาวละเอียดราวกับครีม จมูกบาง ริมฝีปากเชอร์รี่ รูปร่างเพรียวบาง เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์
โดยเฉพาะดวงตาคู่งามคู่นั้นที่คล้ายกับระลอกคลื่น อ่อนโยนอย่างมาก
เมื่อครู่นิ่งจื่อโหรวเห็นท่านผู้เฒ่าขณะมาที่ห้องโถงใหญ่ ดังนั้นจึงตามมาดูด้วยแต่ไม่ได้เดินเข้าไป และแอบฟังอยู่ที่ด้านนอกมาตลอด
เธอเห็นทุกอย่างในสายตา
โล่เฉินหล่อเหลา ไม่ธรรมดา และทรงพลัง สำหรับเด็กหญิงอายุ 19 ปี นี่ถือเป็นอันตรายถึงชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิ่งจื่อโหรวที่เห็นลูกเศรษฐีมามากจนเอียน โล่เฉินนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง บุคลิกท่าทางที่เป็นอิสระไม่แยแส ทำให้หัวใจของเธอเต้นกระโดดขึ้นมา
“สวัสดีนายท่าน”
นิ่งจื่อโหรวโค้งคำนับ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
หญิงสาวสวยโล่เฉินเห็นมามากแล้ว แต่ที่ทั้งสวยและมีบุคลิกโดดเด่นกลับเห็นได้น้อยนัก
นิ่งจื่อโหรวถือว่ามีครบทั้งคู่
บุคลิกอ่อนโยน คำพูดก็อ่อนโยน
มีเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้ชายให้รักใคร่ทะนุถนอมปกป้อง
“พี่เขย มองอะไรน่ะ”
หานหยู่ถิงแอบหยิกเอวของโล่เฉิน ก่อนจะแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “ระวังฉันจะบอกพี่สาว ว่าคุณทำตัวนอกลู่นอกทางข้างนอก”
“แค่กแค่ก”
โล่เฉินไอขึ้นมาและพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ผมมีภรรยาแล้วและรักภรรยามาก”
“นายท่าน โหรวโหรวสามารถติดตามคุณได้ เธอไม่ได้ต้องการเป็นภรรยาคุณ เมื่อครู่นี้เธอก็ตอบตกลงแล้ว คุณจะปฏิเสธเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ได้อย่างไร”
ท่านผู้เฒ่ายังคงดื้อรั้นอย่างยิ่ง
นิ่งจื่อโหรวก้มศีรษะลงเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามดาวประจำมหาวิทยาลัยฉู่โจว เธอมีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ตราบใดที่เธอสามารถติดตามโล่เฉินได้ เวลาผ่านไปเธอก็จะสามารถจับหัวใจของโล่เฉินได้แน่นอน
นิ่งจื่อซวนเงียบไม่พูดจา แต่ก็มีท่าทีต่อต้านอยู่บ้าง
แม้ว่าโล่เฉินจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าต้องให้น้องสาวที่รักของตนติดตามเขาไป แถมยังไม่ใช่ภรรยา แบบนั้นก็เท่ากับไปเป็นของเล่นของเขาไม่ใช่หรือ
นิ่งจื่อซวนทนไม่ได้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของท่านผู้เฒ่า เขาก็ได้แต่แอบถอนหายใจ รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไร
“พอแล้ว!”
จู่ๆ โล่เฉินเพิ่มระดับเสียง
ในใจของท่านผู้เฒ่าสั่นสะท้าน
“น้องสาวจื่อโหรวดีอย่างยิ่ง แต่ว่าผมเจอสาวงามมามากแล้ว ไม่สนใจจริงๆ นายท่านผู้เฒ่าก็แต่ต้องการวิธีฝึกฝนจิต ขอแค่คุณยอมรับปากผมเรื่องหนึ่ง ผมสามารถให้คุณได้”
“จริงหรือ?” ท่านผู้เฒ่าที่แต่เดิมคิดว่าตนเองหมดหวังแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคครึ่งหลังก็ดีใจอย่างมาก “นายท่านพูดมาอย่างเกรงใจ”
“ง่ายมาก แค่ช่วยดูแลหยู่ถิงให้ฉัน”