จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 71
บทที่ 71 แม่ยายร้องไห้
“แม่ออกมาเร็ว”
“คนอยู่ไหน!”
หลิวเซียงหลันวิ่งออกมาจากห้องนอนพร้อมกับไม้กวาดในมือและเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “ดีนี่ไอ้คนอกตัญญู มีความสามารถจริงๆ หยู่เยนดีกับนายขนาดนี้ แต่นายกลับกล้าไปมีชู้ด้านนอก”
“คุณแม่ ผมไม่มีจริงๆ”
หานหยู่ถิงเอ่ยคาดคั้น “ไม่มี? อย่างนั้นเมื่อคืนนายไปไหนมา ทำไมไม่กลับมาทั้งคืน”
“ผม…”
“นายไม่ต้องอธิบาย เมื่อคืนนายไปเปิดห้องอยู่กับนางจิ้งจอกเซี่ยซือหานนั่นใช่ไหม ตอนนี้ฉันถึงกับได้กลิ่นยั่วยวนของนางจิ้งจอกนั่นบนตัวนายด้วยซ้ำ”
หานหยู่ถิงจงใจบีบจมูกเล็กๆ ด้วยท่าทางรังเกียจ “นายไม่ต้องมาแก้ตัว ฉันมีหลักฐาน”
“มีหลักฐานอะไร”
โล่เฉินและหลิวเซียงหลันถามพร้อมเพรียงกัน
“จริงหรือ ฉันเองก็ขอดูหน่อย”
หานเจี้ยนเย่พิงไม้ค้ำ ค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างอ่อนแรง
หานหยู่ถิงท่าทางสะใจอย่างยิ่ง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งให้หลิวเซียงหลันและพูดว่า “แม่ นี่คือรูปที่ฉันแอบถ่ายพวกเขาทั้งสองคนเมื่อวาน แม่ลองดู พวกเขาไปเดินซื้อของด้วยกัน ท่าทางสนิทสนมอย่างยิ่ง!
รูปภาพเลื่อนผ่านไปทีละใบ สีหน้าของหลิวเซียงหลันเองก็เริ่มมืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ
“แม่ ผู้ชายคนนี้น่าขยะแขยงจริงๆ แม่ดูเขาซื้อเสื้อผ้าให้กับนางจิ้งจอกนั่นตั้งมากมาย แถมยังมีบางชุดเป็นชุดเครื่องแบบ แล้วก็มีอุปกรณ์ถ่ายวิดีโอด้วย “คิดจะถ่ายวิดีโอเข้าจังหวะหันหรือไงเป็นจุณ
“วิปริต ดูหนังAVมากไปหรือไงกัน”
“ ตอนนี้หลักฐานแน่นหนาขนาดนี้แล้ว นายยังจะพูดอะไรอีกไหม!”
โล่เฉินไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งหมดคำพูดทั้งอ่อนใจ
หลิวเซียงหลันทนไม่ไหว เธอใช้ไม้กวาดตีใส่โล่เฉิน ชี้หน้าเขาและตะโกนว่า “เมื่อกี้ฉันไม่เชื่ออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ฉันได้เห็นโฉมหน้านายชัดเจนแล้ว พูดมาตามตรง เมื่อวานนายไปเปิดโรงแรมที่ไหน? ”
“คุณแม่ บอกให้หยู่เยนกลับมาเถอะ เธอ … ”
“ไม่มีทาง! ”
หานหยู่ถิงขัดจังหวะคำพูดของโล่เฉินทันทีและรีบพูดอย่างลนลาน “แม่ ห้ามบอกพี่นะคะ ไม่รู้ว่าเจ้านี่ไปวางยาเสน่ห์อะไรใส่พี่สาว พี่เชื่อใจเขาอย่างมาก ถ้าพี่กลับมาก็ต้องมาปกป้องเขาแน่ พวกเราก็จะไม่สามารถลงโทษไอ้คนน่ารังเกียจนี่ได้”
“ใช่ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง คบชู้นอกใจ จะต้องหย่ากันเท่านั้น นี่ยุติธรรมและมีเหตุผลที่สุด” หลิวเซียงหลันตัดสินใจ
หานเจี้ยนเย่ไม่เชื่อว่าโล่เฉินจะนอกใจ เขารีบหาจุดบอดและเอ่ย “ภรรยา คุณไม่ได้สัญญากับหานหยู่เยนว่าจะไม่พูดถึงการหย่าร้างภายในหนึ่งปีนี้หรอกหรือ”
“นั่นเป็นในสถานการณ์ปกติ ตอนนี้ไอ้คนเลวนี่มีชู้ ถ้ายังไม่หย่า จะให้บนหัวของหยู่เยนมีเขางอกออกมาก่อนหรือไง”
“แต่…”
หลิวเซียงหลันตบโต๊ะ พลังอำนาจของเจ้าบ้านปรากฏออกมา หานเจี้ยนเย่เองก็ไม่กล้าส่งเสียง
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เอาตามนี้! ”
“คุณแม่ ผมอยากคุยกับคุณแม่สักสองสามคำ ช่วยให้โอกาสผมหน่อยได้ไหมครับ? ” โล่เฉินเปิดปาก สีหน้าจริงจัง
หานหยู่ถิงขมวดคิ้วอย่างระแวดระวัง “นายกำลังมีความคิดชั่วร้ายอะไร หรือนายคิดใจกล้าลงมือกับแม่ฉัน?”
“นังหนู ในหัวมีอะไรอยู่น่ะ อย่าพูดมั่วซั่ว ฉันแค่อยากต่อสู้เพื่อตัวเองสักหน่อย คุณแม่ เชิญครับ”
โล่เฉินเดินนำเข้าไปในห้องนอน
“ฮ่าฮ่า ฉันอยากจะดูนัก ว่านายจะต่อสู้อย่างไร” หลิวเซียงหลันพูดเยาะเย้ย และบอกให้หานเจี้ยนเย่และลูกสาวรออยู่ข้างนอก
เมื่อมาถึงในห้อง หลิวเซียงหลันสองมือกอดอก ใบหน้าเย็นชา “ต้องหย่าเท่านั้น ไม่มีการเจรจาใดๆ นายเองสมควรรู้ ฉันแทบจะทนไม่ไหวรอให้นายกับหยู่เยนหย่ากัน ตอนนี้โอกาสอันหายากมาถึงแล้ว ฉันจะปล่อยไปง่ายๆ ได้ยังไง”
“คุณแม่ ผมคิดว่าคุณยอมแพ้เรื่องนี้ไปแล้วซะอีก”
“ไม่มีทาง”
โล่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่ ผมก่อตั้งบริษัทสื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์ … ”
“หุบปาก!”
หลิวเซียงหลันจ้องอย่างโกรธจัด ก่อนจะคว้าหมอนขึ้นมาเขวี้ยงใส่หน้าของโล่เฉินและด่าว่า “นายไม่พูดฉันก็เกือบจะลืมไป ฉันให้เงินนายไปผลาญเล่นหรือไง ไม่รู้จักดูสภาพตัวเองซะบ้าง กล้าตั้งบริษัทสื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์ นายไปกินขี้มาหรือไง”
“คุณแม่ ช่วยฟังผมให้จบก่อนครับ นางจิ้งจอกที่หยู่ถิงเอ่ยถึง อันที่จริงก็คือศิลปินที่ผมคัดเลือกมา เป็นต้นไม้เงินของพวกเรานะครับ”
“ศิลปิน? ต้นไม้เงิน?”
หลิวเซียงหลันโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ “นายนี่มันนับวันยิ่งโง่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวานฉันไปเชื่อหยู่เยนได้ยังไงกัน ฉันไม่น่าให้เงินทุนนายไปเลย ตอนนี้ไม่ต่างจากเอาตะกร้าหวายไปตักน้ำชัดๆ”
สี่แสนเชียวนะ
สำหรับครอบครัวนี้แล้วนี่ถือเป็นเงินก้อนใหญ่ ตอนนี้นอกจากโรงรถแล้ว ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ในครอบครัวยังมีไม่ถึงสองแสนด้วยซ้ำ
“คุณแม่ เมื่อครู่คุณเห็นรูปถ่าย เซี่ยซือหานหน้าตาสวยไม่เลวใช่ไหม?”
“ไอ้บัดซบนี่ นี่นายกล้ามาอวดดีอีกหรือ คิดว่าตัวเองจัดการสาวสวยได้หน่อยคนหนึ่งแล้วเจ๋งนักหรือไง นายเชื่อไหมว่าฉันจะหักไอ้นั่นของนายทิ้ง”
โล่เฉินยื่นแก้วน้ำให้หลิวเซียงหลันและพูดว่า “คุณแม่ ผมไม่ใช่คนโง่ ได้โปรดคุณแม่ฟังผมอธิบายก่อน เซี่ยซือหานคนนี้เป็นต้นไม้เงินของพวกเราจริงๆ ”
“ได้ ฉันอยากเห็นนักว่านายจะพูดลูกไม้ไหนออกมา”
หลิวเซียงหลันด่าจนกระหายแล้วเช่นกัน เธอรับถ้วยน้ำมาและนั่งบนโซฟา
“คุณแม่ ก่อนอื่นผมขอพูดให้ชัดเจน ผมไม่เคยทำอะไรผิดต่อหานหยู่เยนทั้งสิ้น อีกทั้งเซี่ยซือหานเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อวานผมกับเหล่าพี่น้องดื่มเหล้าด้วยกันจนเมามายไป วันนี้ถึงค่อยได้สติกลับมา เรื่องนี้หยู่เยนเองก็รู้ ดังนั้นผมจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้”
“ต่อไปก็คือเรื่องของเซี่ยซือหาน ผู้หญิงคนนี้เป็นศิลปินที่ผมคัดเลือกมา เมื่อวานผมไปซื้อของกับเธอเพื่อเตรียมพร้อมในการเป็นสตรีมเมอร์ของเธอ”
“อะไรนะ สตรีมเมอร์?” หลิวเซียงหลันประหลาดใจ
โล่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่ สตรีมเมอร์ชื่อดังทำเงินได้มากแค่ไหน คุณแม่ก็น่าจะรู้ รูปร่างหน้าตาของเซี่ยซือหานนั้นไร้ที่ติคุณแม่ว่าจริงหรือไม่?”
“เรื่องนี้….ก็ใช่”
“เธอยังมีพรสวรรค์อีกด้วย เต้นรำ ร้องเพลง เธอยังทำได้ดีกว่ามืออาชีพเสียอีก จุดนี้ทั้งหยู่เยนและหยู่ถิงเองก็รู้ เมื่อวานเซี่ยซือหานได้แสดงให้เห็นที่บริษัท ”
หลิวเซียงหลันจมอยู่ในความคิด
โล่เฉินกล่าวต่อ “อาศัยคุณสมบัตินี้ของเธอ การดังขึ้นมาก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น แต่ถ้าดังขึ้นมาแล้ว คุณแม่ คุณรู้ไหมว่าเธอจะทำเงินให้กับบ้านเราได้เท่าไหร่?”
“ฟืด”
หลิวเซียงหลันสูดลมหายใจเย็นๆ เนื้อตัวสั่นระริก
เธอกำลังตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
“ผมเองก็ถือว่าโชคดี ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตของเซี่ยซือหานไว้บนถนนให้เธอหลบพ้นอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพื่อที่จะตอบแทนผมเธอถึงได้ยอมมาเป็นสตรีมเมอร์ให้กับบริษัท คุณแม่รู้ไหม มีบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ระดับนานาชาติหลายที่เข้ามาทาบทามเธอให้ไปเป็นดาราอยู่หลายๆ ครั้ง แต่เธอกลับไม่แยแสเลยสักนิด”
“เสี่ยวเฉิน ฉันคิดว่าความคิดของนายเชื่อถือได้อย่างยิ่ง” หลิวเซียงหลันยกนิ้วให้
โล่เฉินตบหน้าอกของตน ใบหน้าสว่างสดใส “คุณแม่ ผมไม่ใช่คนโง่ การเปิดบริษัทสื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์ผมย่อมต้องมีความคิดเอาไว้แล้ว”
“คุณแม่ผมรู้ว่าสามปีที่ผ่านมาได้นำความอัปยศอดสูมาสู่ครอบครัว ผมทั้งรู้สึกผิดและเศร้าใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะด่าว่าผมยังไง ผมก็จะไม่โทษคุณ ผมเป็นเด็กกำพร้า โชคดีที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นับตั้งแต่วันที่ผมแต่งงานกับหยู่เยน ผมก็เห็นคุณแม่เป็นเสมือนแม่ของผม”
ดวงตาของหลิวเซียงหลันเปล่งประกายวาบผ่าน เธอแอบกัดฟัน ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากยังไง
“คุณแม่ เรื่องก่อนหน้านี้ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ผมไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย คุณแม่เองก็อย่าได้คิดมาก ผมแค่หวังว่าวันเวลาจากนี้ไป แม่จะดีกับผมขึ้นมาสักหน่อย”
“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีโอกาสแสดงตัวตนของผมให้แม่เห็น แต่ตอนนี้มีแล้ว อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่มาพร้อมลาภครั้งใหญ่ คุณแม่ ผมจะทำให้คุณแม่มีชีวิตที่ดีขึ้นและทำให้ครอบครัวนี้ร่ำรวย”
น้ำเสียงของโล่เฉินจริงใจ ไม่ได้เสแสร้ง นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของเขา
ความรู้สึกที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ทำให้คนซาบซึ้งได้มากที่สุด
สิ่งนี้ไม่ว่าจะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
หลิวเซียงหลันสูดลมหายใจเข้าลึก ความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อโล่เฉินหายไปเกือบครึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นถอนหายใจและเอ่ย
“สามปีนี้ ลำบากนายแล้ว”
“ไม่ลำบาก สามารถทำอะไรเพื่อครอบครัว ผมมีความสุขมาก อันที่จริง แต่ผมสามารถได้อยู่ร่วมกับหยู่เยนก็ถือเป็นโชคดีของผม ผมไม่กล้าขออะไรมากเกินไป”
หลิวเซียงหลันแทบจะร้องไห้แต่ก็ยังคงหยิ่งยโสอย่างยิ่ง เธอลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู
“เอาเถอะ ตามนี้แล้วกัน นายตั้งใจทำงาน”
“คุณแม่ ไม่ต้องห่วง”
โล่เฉินเอ่ยเสริมความมั่นใจ หรือไม่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการทิ้งระเบิดลูกหนักเอาไว้
“ผมมั่นใจมากแต่ก็ไม่ได้โอ้อวด หนึ่งปี ในหนึ่งปี เซี่ยซือหานจะต้องดังเป็นพลุแตก ตอนนั้นเงินทองจะไหลมาราวกับสายน้ำพวกเราจะสามารถพลิกฟ้าพลิกดินได้ หรือแม้กระทั่งแซงหน้าอยู่เหนือกว่าตระกูลหาน”
ตูม!
ในหัวของหลิวเซียงหลันคำราม
เหนือกว่าตระกูลหาน?
เรื่องนี้แม้กระทั่งคิดเธอยังไม่กล้า แต่ตอนนี้มันกลับถูกหยิบยกขึ้นมา
“คุณแม่ พวกเราจะเป็นคนเหนือคน คนที่เคยทำให้พวกเราต้องอับอายพวกนั้น พวกเราจะกลับไปเหยียบย่ำทีละคนคนหนึ่งปีหลังจากนี้ ต่อให้เป็นคุณย่าก็ยังต้องไว้หน้าคุณ คุณจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลหาน! ”
ทุกคำที่โล่เฉินเอ่ยออกมา ล้วนทำให้ในใจของหลิวเซียงหลันต้องสั่นสะเทือน
จนสุดท้ายเธอแทบจะเป็นลม
เป็นเจ้าบ้านตระกูลหาน ฉัน เป็นได้หรือ?
หยาดน้ำตาของหลิวเซียงหลันไหลลงมา ราวกับว่าตนเองได้เห็นความหวังใหม่ของชีวิต ความเสียใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมากำลังจะระเบิดออกมา
เนื่องจากหันหลังให้กับโล่เฉิน น้ำตาจึงไม่ถูกค้นพบออกไป
“แม่รู้แล้ว ขยันนะ ฉันคาดหวังกับนายมาก”
เอี๊ยด
ในขณะเปิดประตู หลิวเซียงหลันก็เช็ดตาของเธอ
โล่เฉินรีบตามออกมาทันที
หานหยู่ถิงรีบลุกขึ้นและปรี่เข้าไปมองหลิวเซียงหลัน เธอทั้งประหลาดใจและโกรธ “แม่ ตาแม่ทำไมถึงแดงขนาดนั้น? โล่เฉิน ไอ้สารเลว นายรังแกแม่จริงๆ ด้วย!”
“อะไรนะ!”
หานเจี้ยนเย่รีบพยุงตัวเองขึ้นมา แต่เป็นเพราะขาที่ไม่อำนวยจึงล้มลงไปบนโซฟาอีกครั้ง
หลิวเซียงหลันรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไร ฉันแค่ซาบซึ้งกับคำพูดของโล่เฉิน หยู่ถิงออกไปซื้ออาหารมาหน่อย ไก่เป็ดเนื้อปลาซื้อมาให้แม่ วันนี้ แม่จะฉันทำอาหารเอง! ”
“หา? ”
“อย่ามามัวแต่หา รีบไปเร็วเข้า”
หานหยู่ถิงไม่เข้าใจ แต่เธอรู้ดีว่าครั้งนี้โล่เฉินกลบเกลื่อนเรื่องได้อีกแล้ว เธอโกรธจนหนังศีรษะแทบชา
ตรงกันข้าม โล่เฉินกลับกำลังหัวเราะเหมือนเด็ก
สามปีแล้ว
ในที่สุด ทัศนคติของแม่ยายก็เปลี่ยนไป วันเวลาจากนี้ไปคงเป็นเรื่องง่ายขึ้น