จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 11 ความอัปยศ
บทที่ 11 ความอัปยศ
“นี่หลินหยุน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่นั่งมันเต็มพอดี หรือไม่นายก็ถูไถไปนั่งที่เก้าอี้เตี้ยตรงประตูนั่นก่อนแล้วกัน” โจวจิ้งพูดพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เก้าอี้เตี้ยตรงประตู นั่นน่ะไม่ใช่ที่นั่งสำหรับคนนั่งหรอก มันใช้สำหรับวางของที่ไม่ได้ใช้แล้วต่างหาก
ว่าไปแล้ว นั่งที่เก้าอี้เตี้ยนั่น จะต้องเตี้ยกว่าคนอื่นมากแน่ๆ
โจวจิ้งตั้งใจทำให้หลินหยุนได้รับความอัปยศ
หลินหยุนมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ชาติที่แล้ว โจวจิ้งแนะนำคู่สมรสให้เซี่ยหยู่เวย แต่เพราะหลินหยุน เขาก็เลยทำไม่สำเร็จ
ว่ากันว่า ในเวลานั้นชายที่แนะนำให้รู้จักกับเซี่ยหยู่เวยนั่น ครอบครัวของเขาร่ำรวยมาก อีกอย่างคือฝ่ายนั้นต้องเอื้อผลประโยชน์ให้โจวจิ้งไม่น้อยแน่
แต่สุดท้ายเซี่ยหยู่เวยกลับไปแต่งงานกับหลินหยุน ทำเอาโจวจิ้งตังตวงผลประโยชน์ไม่ได้ เขาก็เลยเอาความโกรธมาลงกับหลินหยุนแทน
เพราะอย่างนั้น ขอแค่โจวจิ้งมีโอกาส เขาก็จะทำให้หลินหยุนได้รับอัปยศเพื่อระบายความโกรธ
ทันใดนั้นในห้องก็เงียบลง ทุกคนหยุดพูดคุยกัน แล้วหันมองไปที่หลินหยุน
ลุงโจวฝูที่ยังถือว่ามีคุณธรรม ก็เลยทนมองข้ามไปไม่ไหว เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “น้องสาม ทำแบบนี้ไม่ค่อยดีรึเปล่า?”
แต่แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆก็รีบยื่นมือออกหยิกไปที่ต้นขาของโจวฝู สีหน้าของโจวฝูเปลี่ยนไปด้วยความเจ็บปวด
โจวเถียนเถียนมองจ้องมาที่โจวฝู แล้วพูดเบาๆว่า “พ่อจะไปยุ่งเรื่องของคนอื่นทำไมคะ!”
โจวฝูถอนหายใจ แล้วไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีก
เซี่ยเจี้ยนโก๋ทำสีหน้าเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะไม่ยุ่งเรื่องนี้
โจวเถียนเถียนมองหลินหยุน สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยยินดีกับการที่เขาโดนกลั่นแกล้ง
เซี่ยหยู่เวยทำเพียงมองหลินหยุนไปแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงเล่นโทรศัพท์ต่อ ชัดเจนแล้วว่าเธอเองก็ไม่คิดที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งกับความเป็นความตายของสามีราคาถูกคนนี้ด้วยเหมือนกัน
ญาติคนอื่นๆที่เหลือต่างก็รู้ว่าหลินหยุนเป็นเด็กกำพร้าที่เซี่ยเจี้ยนโก๋รับเลี้ยง และตัวเขาเองก็ดูจะไม่ได้มีอนาคตอันสดใสอะไร ในเมื่อโจวจิ้งตั้งใจพุ่งเป้าไปที่หลินหยุนแล้ว พวกเขาก็โอนเอียงไปทางโจวจิ้งมากกว่าโดยปริยาย
เพราะอย่างนั้น พวกเขาทุกคนจึงมีท่าทีเหมือนกำลังตั้งใจดูละครสนุกๆที่รอให้หลินหยุนเป็นตัวตลกอยู่
ปึง!
โจวเฟินเอาตะเกียบตบลงบนโต๊ะ เธอจ้องมองโจวจิ้งที่กำลังทำหน้าลำพองใจ แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “โจวจิ้ง นายยังมีพี่สาวคนนี้อยู่ในสายตารึเปล่าฮะ?”
โจวเฟินมีนิสัยตรงไปตรงมา ประพฤติตนอยู่ในความยุติธรรม ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ในตระกูลโจวตำแหน่งของเธอก็ยังสูงทีเดียว และก็มีเพียงเธอเท่านั้นที่สามารถข่มโจวจิ้งเอาไว้ได้
“พี่ครับ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน? ทำไมผมถึงไม่มีพี่สาวคนนี้อยู่ในสายตากันครับ?” โจวจิ้งแกล้งทำเป็นถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“หลินหยุนเป็นลูกเขยของฉัน ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นคนที่ฉันเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก เขาเป็นเหมือนลูกแท้ๆของฉัน แล้วแกปฏิบัติกับเขาแบบนี้ยังงั้นเหรอ!?” โจวเฟินตะโกนด้วยความโกรธ
โจวจิ้งไม่มีทางยอมรับว่าเขาพุ่งเป้ารังแกหลินหยุนแน่ เขายิ้มอย่างเล่นแง่แล้วพูดว่า “พี่ครับ นี่ไม่ใช่ว่าที่นั่งเต็มพอดีหรอกเหรอ? ผมก็ไม่ได้ตั้งใจนี่”
โจวเฟินทำสีหน้าเย็นชา จู่ๆเธอก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปหยุดยืนข้างหลินหยุน เธอดึงหลินหยุนไปนั่งที่ตำแหน่งของเธอ “เสียวหยุน นายนั่งที่นี่ ฉันจะไปนั่งเก้าอี้เตี้ยตรงประตูเอง!”
เซี่ยเจี้ยนโก๋ขมวดคิ้ว การที่โจวเฟินไปนั่งเก้าอี้เตี้ย นี่มันไม่เท่ากับการทำให้เขาเสียหน้าเหรอ?
เซี่ยเจี้ยนโก๋พูดขึ้นว่า “เธอเกิดเป็นบ้าอะไรอีก? โจวจิ้งพามาเลี้ยงอาหารแต่เธอไปนั่งที่ประตู ทำตัวไม่เข้าท่า!”
“นั่นสิ น้องรอง เธอก็เลิกก่อเรื่องวุ่นวายได้แล้วน่า อายุขนาดนี้แล้วไม่กลัวคนมองเป็นเรื่องตลกหรือไง” ป้าสะใภ้ใหญ่ช่วยกันพูดจาพูดเกลี้ยกล่อม
“ฮึ ฉันรู้นะว่าพวกคุณดูถูกเสียวหยุน แต่ฉันจะบอกพวกคุณให้นะ ฉันเห็นเขาเป็นเหมือนลูกแท้ๆ ถ้าใครรังแกเขา ฉันก็จะแตกหักกับคนนั้น!” เพื่อหลินหยุนแล้วโจวเฟินไม่เสียดายเลยที่จะแตกหักกับญาติและเพื่อนพวกนี้
ในใจของหลินหยุนเหมือนเกิดกระแสของไออุ่น เขารู้เพียงว่าชาติที่แล้วโจวเฟินดีกับเขามาก แต่เขากลับไม่เคยเข้าใจเลยว่าแท้ที่จริงแล้วเธอดีกับเขาถึงขนาดไหน
ตอนนี้หลินหยุนก็ได้รับรู้แล้ว!
เพื่อเขาแล้ว โจวเฟินไม่เสียดายที่จะแตกหักกับครอบครัว เธอมองว่าเขาสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเธอซะอีก!
โจวจิ้งเห็นท่าทีของพี่สาว เขาก็ไม่กล้าทำให้หลินหยุนลำบากใจต่อไป อีกอย่างวันนี้เป็นวันมงคลของเขา เขาเองก็ไม่อยากก่อปัญหาจนเกิดความไม่พอใจ
“พี่ครับ พี่อย่าเพิ่งโกรธสิครับ ผมจะไปให้พนักงานเอาเก้าอี้มาเพิ่มให้เอง!”
โจวเฟินมองเขาอย่างเย็นชา เธอหยุดยืนนิ่งไม่ไหวติง เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเขาเท่าไร
โจวจิ้งรีบเปิดประตูพร้อมกับตะโกนว่า “พนักงาน เอาเก้าอี้มาเพิ่มตัวหนึ่ง!”
เก้าอี้ถูกย้ายมาแล้ว หลินหยุนถูกโจวเฟินดึงไปนั่งลงข้างๆเธอ
ถึงโจวจิ้งจะไม่ได้พุ่งเป้ารังแกหลินหยุนแล้ว แต่สายตารังเกียจที่มีต่อหลินหยุนกลับล้ำลึกมากขึ้น
พวกญาติคนอื่นๆ ต่างก็เริ่มเมินสายตาใส่หลินหยุน นอกจากโจวเฟินแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีใครพูดคุยกับหลินหยุนอีก
โจวเฟินปลอบใจหลินหยุนไม่หยุดและพูดคุยกับเขาตลอดเวลา เพื่อผ่อนคลายความอึดอัดของเขาให้น้อยลง
ที่จริงแล้วหลินหยุนไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ การรังแกเขาแบบนี้ยังไม่มากพอจะให้เขาโมโหได้ ไม่อย่างนั้นการฝึกเซียนตลอดแปดร้อยปีมานี้ก็ถือว่าเปล่าประโยชน์น่ะสิ อีกอย่างหนึ่งทุกคนก็เป็นญาติกัน ถ้าหากเขาโมโห มันก็จะไม่ดีกับโจวเฟินด้วยเหมือนกัน
“มาครับทุกคน มาดื่มกันสักแก้ว แล้วผมจะประกาศข่าวดีเรื่องหนึ่งให้ฟังกัน!” โจวจิ้งลุกขึ้นยืนพูดพร้อมกับชูแก้วเหล้า
“มีข่าวดีอะไรกันแน่ ถึงทำให้นายต้องมาสิ้นเปลืองขนาดนี้?” เพื่อนของโจวจิ้งคนหนึ่งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว
“เรามาดื่มแก้วนี้กันก่อน!” โจวจิ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย
ทุกคนดื่มกันไปคนละแก้ว โจวจิ้งวางแก้วเหล้าในมือของเขาลง ก่อนจะกวาดตามองทุกคนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“ตอนนี้ผมได้เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทชิรงกรุ๊ปแล้ว!”
หลังจากโจวจิ้งพูดจบทั้งห้องก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ผู้จัดการฝ่ายบุคคล! ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ต่อไปถ้ามีใครต้องการเข้าบริษัทชิรงกรุ๊ปล่ะก็ จะต้องผ่านความเห็นชอบจากน้องโจวก่อนใช่ไหม?” เพื่อนของโจวจิ้งคนหนึ่งถามด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
“มันก็แน่อยู่แล้ว ผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็เป็นบุคคลที่มีหน้าที่จัดการดูแลไปโดยปริยายนั่นล่ะ” โจวจิ้งพยักหน้าอย่างลำพอง
โจวฝูเอ่ยถามขึ้นว่า “แบบนี้ก็แปลว่าต่อไปนายสามารถจัดคนเข้าทำงานในบริษัทชิรงกรุ๊ปได้ใช่หรือเปล่า?”
โจวจิ้งพยักหน้า “ตำแหน่งที่สำคัญยังต้องได้รับการอนุมัติจากระดับบน แต่ตำแหน่งเล็กๆทำได้แน่อยู่แล้ว!”
ในตอนนั้นเองเพื่อนและญาติทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันที
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหนของบริษัทชิรงกรุ๊ปต่างก็เป็นที่ใฝ่ฝันของคนเมืองหลินโจวทั้งนั้น แม้เพียงเงินเดือนของพนักงานทำความสะอาดก็ยังสูงกว่าพนักงานในบริษัทเอกชนที่อื่นๆ
โจวจิ้งทำงานได้เพียงสองปี ก็สามารถซื้อรถซื้อบ้านได้ ทุกวันปีใหม่และวันเทศกาลเขาก็จะโอ้อวดตนต่อหน้าญาติและเพื่อนเสมอ จนหลายคนที่เห็นต่างก็ต้องอิจฉาเขาจนตาร้อนกันไปหมด
คนพวกนี้ต้องการเข้าบริษัทชิรงกรุ๊ปกันทั้งนั้น เมื่อก่อนเคยขอร้องให้โจวจิ้งช่วยแต่ก็ยังเข้าไปไม่ได้ ตอนนี้โจวจิ้งเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลแล้ว นั่นหมายความว่าในที่สุดพวกเขาก็จะสามารถเข้าสู่บริษัทชิรงกรุ๊ปได้
“พี่โจวจิ้ง เหล้าแก้วนี้เพื่อแสดงความนับถือพี่ครับ! ต่อไปตอนบริษัทชิรงกรุ๊ปรับสมัครพนักงาน ก็อย่าลืมพวกเรานะครับ!” เพื่อนของโจวจิ้งคนหนึ่งลุกขึ้นพูด
“โจวจิ้ง ตอนนายอยู่มหาลัยมีเรื่องชกต่อยกับใคร ฉันก็ช่วยนายไว้ไม่น้อย ถ้าวันนี้หน้าที่การงานของนายรุ่งเรืองแล้ว ก็อย่าลืมฉันซะล่ะ!” เขาคนนี้คือเพื่อนสมัยมหาลัยของโจวจิ้ง โตมาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ แต่ความขี้ระแวงใจกลับมีอยู่ไม่น้อย
“ผมก็ด้วย ผมก็ด้วย!”
เพื่อนและญาติคนแล้วคนเล่าลุกขึ้นยืนเพื่อประจบสอพลอโจวจิ้ง
พี่ใหญ่ทั้งสองของตระกูลโจวชอบใจจนฉีกยิ้มกว้างถึงใบหู แล้วพากันชื่นชมอนาคตอันสดใสของโจวจิ้งไม่หยุด
ในใจของพี่ใหญ่ตระกูลโจวอย่างโจวฝูเต็มไปด้วยความอิจฉา ตัวเขาสิถึงจะเป็นพี่ใหญ่ของตระกูลโจว แต่มาวันนี้โจวจิ้งกลับเป็นเสาหลักของตระกูลโจวเสียอย่างนั้น
โจวฝูเองก็อยากเข้าทำงานกับบริษัทชิรงกรุ๊ป แต่เขาไม่ยอมลดตัวไปขอร้องโจวจิ้งแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกี้เขาพึ่งจะห้ามไม่ให้โจวจิ้งรังแกหลินหยุน ถึงแม้โจวจิ้งจะไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่แน่ว่าใจกำลังโกรธเคืองเขาอยู่
เห็นว่าโจวฝูไม่มีท่าทีแบบนี้ ป้าสะใภ้ใหญ่เริ่มหยิกต้นขาของโจวฝูที่ใต้โต๊ะอีกครั้ง จนโจวฝูต้องกดฝันอดกลั้นความเจ็บปวด
“น้องสาม ถ้ามีตำแหน่งที่เหมาะสมล่ะก็ อย่าลืมเอาไว้ให้พี่ใหญ่คนนี้สักตำแหน่งล่ะ!” ท้ายที่สุดโจวฝูก็ยังคงยอมตกอยู่ใต้กรงเล็บของป้าสะใภ้ใหญ่
โจวจิ้งยิ้มอย่างได้ใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “คราวก่อนผมได้ยินพี่ใหญ่บอกว่า ระยะนี้ที่บริษัทกำลังชอบใจพี่อยู่ ทำไมอยากจะโยกย้ายซะล่ะครับ?”
โจวฝูสีหน้าไม่สู้ดี คำพูดพวกนั้นไม่ใช่ว่าผู้ชายที่รักศักดิ์ศรีคนไหนก็พูดกันทั้งนั้นเหรอ จริงจังได้ด้วยหรือไง?
โจวจิ้งทำแบบนี้เป็นการจงใจเปิดเผยข้อบกพร่องของเขา
“บ่อของผมน่ะเล็กเกินไป ผมเกรงว่าคงจะเลี้ยงปลาตัวใหญ่อย่างพี่ใหญ่ไม่ได้หรอก!” โจวจิ้งปฏิเสธอย่างไม่ปิดบัง
โจวฝูคาดเดาผลลัพธ์แบบนี้เอาไว้แต่แรก แต่ป้าสะใภ้ใหญ่กลับรับไม่ได้ เธอก็เลยเริ่มดุด่าว่าโจวฝูเป็นคนไร้ประโยชน์สารพัด
ในตอนนั้นเอง พนักงานหญิงคนหนึ่งเคาะประตู แล้ววิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก
“คุณชายโจว ฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะ ฉันจำผิดเองค่ะ ที่จริงห้องหลงเฟิ่งถูกจองล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ท่านเปลี่ยนห้องได้ไหมคะ?” พนักงานหญิงพูดด้วยสีหน้าวิงวอน