จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 1204 รวมพลังต่อสู้
ยอดฝีมืออีกคนหนึ่งก็ได้จบชีวิตลง
ในเวลานี้เอง เงาร่างแต่ละร่างแต่ละร่าง ก็ได้ยกเลิกการแอบซ่อนและหลบหนี ทั้งหมดเหาะขึ้นไปอยู่บนอากาศ
คนแรกก็คือผางเห้อ และผู้อาวุโสรองสำนักสุริยัน รวมไปถึงทูตวิญญาณที่สองแห่งวิหารผนึกวิญญาณ
จากนั้นก็มีอีกหลายเงาร่างที่เหาะเหินขึ้นไป
วูแสหยุน รวมถึงโจงหมิง และยังมีฉู่จิงเผิงและคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ในนั้นทั้งหมด
เวลานี้ หลินหยุนกับซิงเฟยต่างก็รีบกระโดดลอยขึ้นไปในอากาศ มาอยู่ที่ด้านข้างของทุกคน
ความแข็งแกร่งของศพเทพ น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก หากคิดที่จะหลบหนี คงจะไม่สามารถทำได้แน่
หลินหยุนเองก็ทราบดีถึงความร้ายกาจ ดังนั้นเมื่อเห็นยอดฝีมือที่เหลืออยู่ได้ทยอยขึ้นไปอยู่บนอากาศ เขาก็เลยตัดสินใจพาซิงเฟยขึ้นไปอยู่ร่วมกับทุกคนด้วย
ไม่นาน ศพเทพนั้นก็เหาะเหินมาอีกครั้ง โดยยืนเว้นระยะห่างกับทุกคน
เห็นศพเทพตนนี้แล้ว ทุกคนต่างก็พากันสูดหายใจลึก
สีหน้าของแต่ละคนก็หนักอึ้งกันอย่างที่สุด
ผางเห้อพูดขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า ที่นี่ทำไมถึงได้มีศพเทพแบบนี้อยู่ด้วย?
ทูตวิญญาณที่สองแห่งวิหารผนึกวิญญาณพูดขึ้นว่า ตำนานเล่าว่า โลกคุนชางเคยมีสำนักยิ่งใหญ่ที่เคยคุ้มกันปราบปรามบนโลกนี้ ที่เรียกกันว่าสำนักศพเทพ หรือจะบอกว่าที่นี่ ก็คือที่ตั้งของสำนักศพเทพตามตำนานที่ร่ำลือกัน?
ด้านข้าง ผู้อาวุโสรองสำนักสุริยันก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป โดยพูดขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูง!
สำนักศพเทพ ตามตำนานเล่าว่า คือสำนักแห่งหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ
เคยทำหน้าที่คุ้มกันปราบปรามบนโลกนี้ ซึ่งมีความแข็งแกร่งทรงพลังอย่างมาก!
แต่สำนักแห่งนี้สาบสูญไปได้อย่างไรนั้น กลับไม่มีการบันทึกเอาไว้ และไม่มีผู้ใดทราบ
นับพันปีมานี้ โลกคุนชางก็ไม่เคยปรากฏการสืบทอดของสำนักศพเทพเลย
จากที่ได้ยินมา ผู้ฝึกฝนแห่งสำนักศพเทพ วิชาบำเพ็ญทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการแปรศพ พวกเขาสามารถแปรศพของยอดฝีมือ และทำการควบคุม เพื่อไปต่อสู้กับศัตรูแทนตัวเองได้
ศพที่ก่อนตายนั้นยิ่งมีวิชาบำเพ็ญสูงมากเท่าไร ศพเทพที่หล่อหลอมออกมานั้น ก็ยิ่งจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่า ตรงกันข้าม การหล่อหลอมให้สำเร็จนั้นก็จะยากยิ่งขึ้นไปอีก
สำหรับศพเทพที่อยู่ตรงข้ามนี้ คงจะบรรลุยาทองชั้นสูงอย่างแน่นอน หรือก็คือยาทองระดับเก้า
สามระดับแรก ถือว่าเป็นขั้นต้น สามระดับกลาง ถือว่าเป็นขั้นกลาง สามระดับหลัง ก็คือขั้นสูง
กล่าวได้ว่า ศพเทพที่อยู่เบื้องหน้านี้ คงจะเป็นขั้นยาทองระดับหกอย่างแน่นอน
อย่างน้อยจากเมื่อครู่ที่ระเบิดพลังอันรุนแรงออกมานั้น คงน่าจะเป็นขั้นยาทองระดับหก
ผางเห้อพูดขึ้นอย่างเย็นชา ตอนนี้พวกเรามีอยู่สองวิธี! วิธีแรก พวกเราแยกย้ายกันหลบหนี คาดว่าน่าจะหลบหนีปลอดภัยได้หลายคน! ส่วนอีกวิธีการหนึ่ง นั่นก็คือรวมพลังกันสังหารศพเทพตนนี้!
ผู้อาวุโสรองสำนักสุริยันพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า ต่อสู้เถอะ! ศพเทพนี้แข็งแกร่งอย่างมาก โอกาสที่พวกเราจะหนีรอดไปได้นั้นมีน้อยมาก!
ที่จริงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ในใจของทุกคนต่างก็เข้าใจกันดีอยู่แล้ว
ทูตวิญญาณที่สองแห่งวิหารผนึกวิญญาณสูดหายใจลึก และก็พูดขึ้นว่า ต่อสู้บางทีอาจจะมีโอกาสรอดชีวิตอยู่บ้างก็ได้!
ทุกคนต่างก็พากันพยักหน้าทั้งหมด
สายตาล้วนจริงจังเป็นอย่างมาก
ถ้าจะหลบหนี บางทีผางเห้อ ผู้อาวุโสรองสำนักสุริยัน ทูตวิญญาณที่สองแห่งวิหารผนึกวิญญาณ พวกยอดฝีมือเหล่านี้มีความหวังที่จะเอาชีวิตรอดไปได้ สำหรับคนอื่นแล้ว เกรงว่าโอกาสรอดชีวิตคงจะน้อยมาก
ผางเห้อพูดว่า ในเมื่อตัดสินใจที่จะต่อสู้แล้ว อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นอีก ลุยอย่างเต็มที่ไปเลย!
อีกสักครู่ฉันจะใช้ค่ายกล เพื่อพยายามปิดล้อมเขาเอาไว้!
ทุกท่านก็ไม่ต้องออมมืออะไรอีกแล้ว!
แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา!
ลงมือสังหารอย่างสุดกำลังเลย!
ได้ยินผางเห้อพูดแบบนี้ ทันใดนั้น ยอดฝีมือตระกูลสวี่เมืองชิงเฟิงคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายและพูดขึ้นว่า ท่านผาง ถ้าพูดแบบนี้ พวกเราก็ต้องเข้าไปอยู่ภายในค่ายกลของท่านด้วยใช่ไหม?
แต่ถ้าเป็นแบบนี้……
ผางเห้อสีหน้าหม่นหมองลงทันที และพูดเสียงแข็งขึ้นว่า ทำไม? ไม่เชื่อใจฉันอย่างนั้นเหรอ?
ยอดฝีมือตระกูลสวี่รีบพูดขึ้นว่า ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น! แต่ใจคนยากแท้หยั่งถึง! ฉันมีความคิดแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแค่ทุกคนต่างคิดว่าไม่มีปัญหา อย่างนั้นฉันเองก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน!
ที่จริงแล้วใครต่างก็มีความกังวลแบบนี้ เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง
ไม่ว่าอย่างไร ศพเทพตนนี้ ก็น่ากลัวมากกว่าผางเห้ออยู่แล้ว
ผางเห้อพูดขึ้นอย่างเย็นชา ในเมื่อทุกคนไม่มีความเห็นอย่างอื่นแล้ว งั้นก็ลงมือได้เลย!
ขณะที่พูด เขาก็พลิกฝ่ามือนำแท่นค่ายกลโบราณออกมา แล้วก็โยนไปที่ศพเทพ
เมื่อแท่นค่ายกลได้รับแรงลมแล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลง พลังแสงอันโชติช่วงหลากหลายสี ได้ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน แล้วก็ปกคลุมร่างของศพเทพเอาไว้ภายในทันที
ในขณะเดียวกัน ศพเทพนั้นก็ได้หายแวบไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน โดยได้แอบซ่อนตัวอยู่ภายในค่ายกล
ตูม!
ตูม!
ไม่นาน ภายในค่ายกลก็ระเบิดเกิดเสียงดังตูมตามขึ้นเป็นระยะ ราวกับในอากาศเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง
ผางเห้อสีหน้าขาวซีดขึ้นในทันที แล้วก็กระอักเลือดออกมาโดยพลัน
ในขณะนี้เอง เห็นว่าศพเทพกำลังถูกแท่นค่ายกลของผางเห้อควบคุมอยู่ สองเงาร่างก็กระพริบ เพื่อจะหายตัวหลบหนีไป
แต่ว่า ทั้งสองคนยังไม่ทันเหาะเหินหลบหนีไปไหนไกล โซ่สีดำเส้นหนึ่งก็ฟาดลงกลางอากาศ
ทูตวิญญาณที่สองส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา แววตาแสดงท่าทีที่โหดเหี้ยม
โซ่สีดำปิดกั้นความว่างเปล่า แสงสีดำอันเยือกเย็นได้โหมพัดกระหน่ำขึ้น
ทันใดนั้น สองคนที่ฉวยโอกาสหลบหนีนั้นก็ได้ร้องโอดครวญขึ้น ร่างกายอยู่ภายใต้แสงสีดำที่โหมกระหน่ำ ก็พลันระเบิดขึ้น ยาทองก็ถูกเปิดเผยออกมา หยุดพักชั่วครู่ แล้วก็หลบหนีต่อไป
แต่ภายใต้แสงสีดำ ไม่มีโอกาสอะไรอย่างแน่นอน จึงระเบิดแหลกสลายขึ้นอีกครั้ง
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แทบจะพริบตาเดียวเท่านั้น
ยอดฝีมือยาทองระดับหนึ่งหนึ่งคน และยอดฝีมือยาทองระดับสองหนึ่งคน ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว
ทูตวิญญาณที่สองตวาดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า ถ้าหากใครคิดที่จะหลบหนีอีก ก็จะมีชะตากรรมเดียวกันกับสองคนนี้!
ขณะนั้น ท่ามกลางแท่นค่ายกล ก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้นอีกครั้ง
ผางเห้อรีบพูดขึ้นว่า ไม่มีเวลาแล้ว ฉันปิดล้อมเขาได้อีกไม่นานแล้ว ฉันจะเปิดช่องว่างขึ้น ทุกคนรีบเข้าไปด้านใน! ร่วมมือกับค่ายกลสังหารในแท่นค่ายกลของฉัน สังหารเขาให้สิ้นซาก!
ทุกคนจดจำเอาไว้!
ย่ำขาวไม่ย่ำดำ ใกล้เหนือไม่ไกล้ใต้ ออกตกไม่มีสิ่งกีดขวาง ทหารไม่เที่ยงห้ามสังหาร!
ผางเห้อพูดจบลง แท่นค่ายกลก็ปรากฏช่องแคบขึ้น
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความว่างเปล่าที่แท้จริง แต่เป็นการกลายร่างของแท่นค่ายกล
มองเห็นช่องแคบเปิดขึ้น ทุกคนต่างทยอยกระพริบร่าง หายแวบเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
หลินหยุนกับซิงเฟยสบตากันเล็กน้อย และพูดว่า เธอรออยู่ที่นี่ดีกว่า!
ขณะที่พูด เงาร่างก็กระพริบแวบหายเข้าไปด้านในของผนึกแท่นค่ายกลนั้น
เมื่อเข้าไปด้านใน ก็พบเห็นศพเทพนั้นราวกับคนที่กำลังตื่นตระหนก เหาะเหินวนไปวนมา แล้วก็ปล่อยพลังบ้างเป็นครั้งคราว
ทุกครั้งที่ปล่อยพลัง ฟ้าดินเหมือนจะแหลกสลายลงอย่างไรอย่างนั้น
ในขณะเดียวกัน ทหารไม่เที่ยงจำนวนมากก็ทยอยปรากฏตัวขึ้น เหมือนกับเกิดออกมาจากความว่างเปล่า แล้วก็เข้าโจมตีศพเทพอย่างบ้าคลั่ง
แต่ในทุกครั้งก็ถูกศพเทพลงมือสังหารอย่างราบคาบ
ทูตวิญญาณที่สองรีบพูดขึ้นว่า ทุกคนลงมือกันเถอะ! รีบจัดการสังหารปีศาจตนนี้ซะ!
ผู้อาวุโสรองสำนักสุริยันก็รีบตะโกนพูดขึ้นว่า ตอนนี้ทุกคนจำเป็นจะต้องร่วมแรงรวมพลังกัน โดยต้องสังหารศพเทพตนนี้ลงได้เท่านั้น พวกเราถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต! หวังว่าอย่าได้มีใครคิดบิดเบือนเป็นอื่นไปอีก!
พูดจบ ทั้งสองคนก็เริ่มลงมือก่อนทันที
แส้ขังวิญญาณสีดำ และกระบี่ยาวสีแดงออกอาวุธทันที โดยต่างก็ได้พุ่งโจมตีเข้าใส่ศพเทพ