จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 121 ค้นพบ
บทที่ 121 ค้นพบ
หลี่เมิ่งโน้มตัวไปข้างหน้า จ้องตาเจิ้งหงยู่แน่วนิ่ง นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววโกรธกรุ่น แต่เพียงไม่นานก็ถูกเก็บซ่อนกลับไปอย่างรวดเร็ว
“พี่สาว พี่พอจะเห็นมั้ยว่าเจ้าเด็กนั่นมันโกงหรือเปล่า?” หลี่เมิ่งถามด้วยเสียงกดต่ำ
เจิ้งหงยู่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่”
หลี่เมิ่งตกตะลึงไปชั่วขณะ “หรือว่าเจ้าเด็กนั่นจะไม่ได้โกงจริงๆ?”
“ก็แค่คนขี้ขลาดตาขาวคนนึง อย่าไปสนใจเลยน่า ” เดิมทีเจิ้งหงยู่สงสัยว่าหลินหยุนแสร้งทำเป็นหมูกินเสือ แต่ในเมื่อหลินหยุนปฏิเสธเธอ จึงทำให้เธอรู้สึกดูถูกหลินหยุนไปโดยปริยาย
“ พี่สาวนี่ฉลาดจริงๆเลย!” หลี่เมิ่งรีบประจบสอพลอ
หลังจากออกไปแล้ว เฉินฟางก็คืนบัตรธนาคารให้กับหลินหยุน แล้วพูดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณว่า “หลินหยุน วันนี้ต้องขอบคุณนายมากๆเลยนะ!”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” หลินหยุนตอบรับ
“น้องสาว รอพี่ด้วยสิ!” เสียงของเฉินหมิงวั่งดังมาจากด้านหลัง
หลินหยุนไม่อยากเห็นหน้าเฉินหมิงวั่ง จึงพูดขึ้นว่า “ฉันมีธุระที่ต้องไปทำอยู่ ขอไปก่อนนะ”
“ถ้างั้นก็ลาก่อนนะ ไว้พบกันใหม่!” เฉินฟางพูดด้วยท่าทางเสียดายอาลัยอาวรณ์ไม่หาย
หลินหยุนพาเสี่ยวยู่จากไป ระหว่างทางเสี่ยวยู่ก็เปลี่ยนไปมีท่าทีอึกอัก เก้ ๆ กังๆขึ้นมาอีกครั้ง
“ ทำไมเธอไม่พูดอะไรเลยล่ะ?” หลินหยุนถาม
“หา ไม่ใช่นะ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีนี่นา!” เสี่ยวยู่รู้สึกเหมือนว่า จู่ ๆ ก็ได้รับความเอ็นดูอย่างไม่คาดฝัน จึงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาชั่วขณะ
ในสายตาของเสี่ยวยู่ หลินหยุนได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพล ที่สุดแสนจะเพอร์เฟคไปแล้ว
หลินหยุนเข้าใจความคิดของเสี่ยวยู่ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แค่เตรียมตัวกลับตามเดิม
แต่เมื่อหลินหยุนเดินผ่านบรรดาแผงค้าขายทั้งหลาย เขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
หลินหยุนหยุดฝีเท้า แล้วเดินไปยังร้านแผงลอยที่อยู่ข้างๆ
“อันนี้ขายยังไง?” หลินหยุนถาม พร้อมกับชี้ไปที่สร้อยคอที่ทำจากหินสีทองเส้นหนึ่ง
เจ้าของแผงเป็นผู้ชายที่รูปร่างแข็งแรงกำยำ เมื่อมองไปที่บรรดาขนและหนังของสัตว์ป่า ทั้งยังมีหยูกยาที่หายากมาก ๆ บางชนิดในแผงนี้ ก็สามารถบ่งบอกได้ทันทีว่า เจ้าของแผงค้านี้ คงจะออกไปล่าสัตว์บนภูเขาบ่อยๆ
“ หนึ่งร้อยหยวน” เสียงของเจ้าของแผงดังขึ้นเป็นภาษาถิ่นที่ออกจะห้วนๆ
เสี่ยวยู่กระซิบที่ข้างหูของหลินหยุนว่า “พี่หลิน หินชนิดนี้เป็นหินธรรมดาๆ ที่เจอได้บ่อยมาก บนภูเขาสู้จินมีอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ เอาจริง ๆ มันมีค่าไม่ถึงร้อยหยวนหรอกนะ!”
“ไม่เป็นไร” หลินหยุนหยิบเงินห้าร้อยหยวนออกมา แล้วโยนไปให้เจ้าของแผงหนึ่งร้อยหยวน จากนั้นจึงถามว่า “นายเก็บหินแบบนี้มาได้จากที่ไหน? ถ้านายบอกฉัน ฉันจะให้เงินส่วนที่เหลือนี้กับนายด้วย”
เจ้าของแผงคว้าเงินที่เหลืออยู่ในมือของหลินหยุน แล้วพูดอย่างยินดีว่า “มันอยู่บนภูเขาสู้จินห่างจากที่นี่ไปยี่สิบลี้ ”
คำตอบเป็นเหมือนกับที่เสี่ยวยู่พูดมาจริงๆ คล้ายว่าจะไม่ผิดแน่แล้ว
หลินหยุนหันไปมองเสี่ยวยู่ แล้วพูดว่า “อีกเดี๋ยวพาฉันไปที่ภูเขาสู้จิน ค่าตอบแทนแยกจ่ายต่างหาก”
แน่นอนว่าเสี่ยวยู่ย่อมต้องเต็มใจอยู่แล้ว จึงรีบพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว “ค่าตอบแทนน่ะไม่ต้องจ่ายอีกหรอก ได้มีโอกาสเป็นไกด์ให้พี่หลิน ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ควรทำของฉันเอง”
“อื้ม กลับกันก่อนเถอะ!”
ทั้งสองกลับไปที่คลับเฮาส์ หลังกินข้าวเสร็จ ก็ออกเดินทางอีกครั้ง
เสี่ยวยู่หารถมาได้คันหนึ่ง จากนั้นทั้งสองคนก็เดินทางไปภูเขาสู้จินด้วยกัน
ระยะทางยี่สิบลี้ไม่นับว่าไกลมากนัก ใช้เวลาราว ๆ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ภูเขาสู้จินมีขนาดไม่ใหญ่นัก มีความสูงไม่ถึงหนึ่งพันเมตร อีกทั้งลักษณะภูเขานั้น ก็เบาแรงในการปีนป่ายอย่างมาก
ทั้งสองลงจากรถที่บริเวณเชิงเขา แล้วค่อยเข้าไปในหุบเขา
“ พี่หลิน พี่รู้จักหินพวกนี้ไหม?” เสี่ยวยู่แอบรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หลินหยุนผู้ทรงอิทธิพลประจำท้องถิ่น ผู้ที่ไม่เคยสนใจใยดีอะไรทั้งนั้น กลับสะดุดตาเข้ากับก้อนหินสับปะรังเคแค่ไม่กี่ก้อนไงยังไงกัน
หินพวกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอะไรได้ด้วยเหรอ?
“หินพวกนี้ไม่ได้เป็นสมบัติล้ำค่าอะไรหรอก แต่มันมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับฉันน่ะ” หลินหยุนตอบในลักษณะหลีกเลี่ยงจุดที่สำคัญไป
ไม่ใช่ว่าเขาตั้งใจจะปกปิด อันที่จริงต่อให้หลินหยุนบอกเสี่ยวยู่ไปตามตรง ว่าหินพวกนี้เป็นหินผลึกทองซึ่งเป็นหนึ่งในหินห้าธาตุ เสี่ยวยู่ก็คงฟังไม่เข้าใจอยู่ดี
เพียงแต่หินผลึกทองไม่กี่ชิ้นที่หลินหยุนซื้อมานั้น ไม่ได้มีพลังปราณแห่งทองมากมายอะไรนัก
แต่ในเมื่อที่นี่สามารถกำเนิดหินผลึกทองออกมาได้ หลินหยุนจึงคิดว่าจะต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้อยู่แน่ๆ
หลังจากเข้าสู่ภูเขาได้ไม่นาน หลินหยุนก็รู้สึกถึงปราณแห่งทองอันแข็งแกร่ง เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
“ ดูเหมือนว่า ที่นี่จะต้องมีหินผลึกทองที่อยู่ในสภาพไม่เลวอยู่แน่ ๆ ”
หลินหยุนอาศัยการรับรู้นั้น เคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่ถูกปราณอันเข้มข้นที่สุดชักนำไป ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเสี่ยวยู่ที่ตามอยู่ข้างหลังไม่สามารถเดินตามได้ทันแล้ว
“พี่หลิน ช้าๆหน่อย รอฉันด้วย!” เสี่ยวยู่ตะโกนออกมาทั้งสภาพหอบฮั่กๆ หายใจแทบไม่ทัน
หลินหยุนชะลอฝีเท้ารอเสี่ยวยู่ จากนั้นทั้งสองก็เดินไปด้วยกันอีกหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงสถานที่ที่หลินหยุนรู้สึกถึงปราณที่แข็งแกร่งที่สุดจนได้
มันคือกำแพงที่ก่อตัวจากหินขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง
กำแพงหินนี้มีขนาดเท่ากับสนามบาสเกตบอล มีหินสีเขียวปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง หินด้านนอกเป็นเพียงหินธรรมดา แต่หลินหยุนสัมผัสได้ถึงพลังโลหะอันแข็งแกร่งที่ไหลเวียนอยู่ภายใน
“ดูเหมือนว่า ที่นี่น่าจะเป็นเหมืองแร่หินผลึกทองสินะ”
หลินหยุนมองไปที่เสี่ยวยู่แล้วพูดว่า “นายกลับไปก่อนเถอะ ฉันเดาว่าฉันคงต้องกลับพรุ่งนี้นู่นแหล่ะ ช่วยไปส่งข่าวให้ฉันที”
“อื้ม! ถ้างั้นพี่หลินระวังตัวด้วยล่ะ!” เสี่ยวยู่รีบเอ่ยเตือน
“อื้ม”
เมื่อก่อนเสี่ยวยู่เคยมาที่ภูเขาลูกนี้เองบ่อย ๆ หลินหยุนสั่งให้เธอกลับไปคนเดียว เธอก็ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย
หลินหยุนก็คิดถึงจุดนี้ไว้แล้วเช่นกัน จึงรู้สึกวางใจเมื่อต้องให้เสี่ยวยู่กลับไปคนเดียว
หลังจากที่เสี่ยวยู่ไปแล้ว หลินหยุนก็มองไปที่กำแพงหินผืนนั้น
“ด้วยความแข็งแกร่งของฉันในตอนนี้ ถ้าคิดจะเจาะกำแพงหินนี้ แล้วเข้าไปขุดหินผลึกทองออกมา น่ากลัวว่าคงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ ๆ แน่”
“แต่เพื่อหินห้าธาตุแล้ว ยอมเปลืองเวลานิด ๆ หน่อย ๆ ก็นับว่าพอยอมรับได้”
หลินหยุนเหยียดฝ่ามือออก กลุ่มแสงสีเทาสายหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นห่อหุ้มรอบๆมือของหลินหยุน
หลินหยุนตะปบเข้าไปที่กำแพงหินตรงๆ ถึงกับคิดจะขุดกำแพงหินนี้ด้วยมือเปล่า ๆ ของเขา
ถ้ามีคนมาเห็นฉากนี้เข้า พวกนั้นคงต้องหัวเราะเยาะ กับความไม่รู้จักประมาณกำลังตัวเองของหลินหยุนแน่ๆ
แต่แล้ว มือของหลินหยุนกลับแทงเข้าไปในกำแพงหินตรง ๆ ราวกับมีดคมกริบที่แทงใส่เต้าหู้ยังไงยังงั้น ไม่ได้รับแรงต้านทานใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
ด้วยวิธีนี้ ในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง หลินหยุนก็สามารถขุดถ้ำที่ลึกราวสองเมตรออกมาได้แห่งหนึ่ง
ด้วยการอาศัยการรับรู้ที่ถูกชักนำ หลินหยุนขุดไปลงไปยังจุดพลังปราณโลหะเข้มข้นที่สุด ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ท่ามกลางภูเขาซึ่งมีความลึกมากกว่าสิบเมตร หลินหยุนก็เห็นหินโปร่งใสไร้สีสันขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งปรากฏสู่สายตา
จะพูดไปก็นับว่าเป็นเรื่องแปลก ทั้งที่โดยรอบล้วนเป็นหินสีทองทั้งหมด แต่กลับมีหินก้อนนี้ก้อนเดียวที่ไม่มีสีสันและโปร่งใสเช่นนี้
“ทองกำเนิดน้ำ เมื่อโลหะทองมีความเข้มข้นเพียงพอในระดับหนึ่ง สีทองก็จะไม่คงอยู่อีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนไปเป็นไร้สีสัน และโปร่งใสเหมือนน้ำแทน”
“ต้องขอบคุณความจริงที่ว่า หินผลึกทองเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ใด ๆ ต่อมนุษย์ของโลกนี้ไม่อย่างนั้น บนภูเขาที่นับว่าก็ไม่ได้ห่างไกลนักลูกนี้ มันคงจะถูกขุดจนเกลี้ยงไปนานแล้ว
หลินหยุนตัดหินผลึกทอง ที่มีขนาดเท่าวัวตัวหนึ่งชิ้นนั้นออกเป็นแปดส่วน แล้วใส่ลงในแหวนเก็บของ ซึ่งในเวลาต่อมา แหวนก็ปรับใช้พื้นที่ว่างหนึ่งในสี่ของแหวนเก็บรักษามันเอาไว้ทันที
ในเวลานี้เอง ที่ประโยชน์ของแหวนเก็บของ ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างสมบูรณ์
ที่ด้านนอกในยามนี้ เวลาล่วงเข้าสู่ตอนกลางคืนไปแล้ว
เมื่อมองดูเวลา น่าจะล่วงเลยมาได้ราวห้าทุ่มแล้ว พลังชี่ทิพย์ของหลินหยุนก็พร่องไปมากแล้วเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเริ่มบำเพ็ญวิชาในถ้ำแห่งนี้ เพื่อฟื้นฟูพลังชี่ทิพย์ให้กลับคืนมาเสียก่อน
วันรุ่งขึ้น ณ.ตำบลเป่ยเหยียน
ที่ตั้งของสมาคมประลองยุทธ ตั้งอยู่ในสนามประลองของตำบลเป่ยเหยียน
ลานประลองแห่งนี้ สร้างขึ้นสำหรับสมาคมประลองยุทธโดยเฉพาะ มีลักษณะคล้ายกับเวทีต่อสู้ในยุคกลางของยุโรป
ตั้งแต่ชั้นล่างถึงชั้นสามเป็นที่นั่งผู้ชม ตรงกลางเป็นสังเวียนประลอง ซึ่งมีรูปทรงเหมือนดวงดาวและดวงจันทร์
ในสนามมีผู้เข้าชมมากกว่าพันคน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพวกเศรษฐีมีฐานะร่ำรวย หรือไม่ก็เป็นพวกบุคคลระดับสูง ที่นั่งอยู่แถวหน้าทั้งหมด ล้วนเป็นคนดังระดับชั้นนำทั้งสิ้น
ทำไมสมาคมประลองยุทธเพียงแห่งเดียว จึงสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตำบลเป่ยเหยียนทั้งหมดได้ แค่ได้เห็นฉากนี้ ก็ย่อมจะเข้าใจทุกอย่างได้ในทันทีแล้ว
ผู้เข้าร่วมงานประลองยุทธครั้งนี้ ล้วนมาจากสี่เมืองทางใต้ทั้งสิ้น
ผู้มีอิทธิพลแห่งเมืองชิ่งโจว เจียงจงโหยว ผู้มีอิทธิพลประจำถิ่นที่ใช้ไข่มุกควบคุมศพมาหลอกพวกเจี่ยงสงเมื่อครั้งก่อน
ผู้มีอิทธิพลแห่งเมืองลี่ชวน หานกั๋วเฉียง ลุงของอีหลิง
ผู้มีอิทธิพลแห่งเมืองเหมียนหยาง เจิ้งเทียนหว้า หรือก็คือพ่อของเจิ้งหงยู่
และคนสุดท้าย คือผู้มีอิทธิพลแห่งเมืองหลินโจว เจี่ยงสง
ทั้งสี่คนนี้ล้วนเป็นราชาโลกใต้ดินอย่างแท้จริง ผู้สนับสนุนของพวกเขานั้นทั้งแข็งกร้าวและโหดเหี้ยม แม้แต่พวกทางการอันดับต้นๆในท้องถิ่น ก็ยังต้องให้เกียรติ์พวกเขาสักสามส่วน
ขาใหญ่ทั้งสี่แบ่งกันออกเป็นสี่อัฒจันทร์ นั่งล้อมรอบสังเวียนประลอง โดยแยกกันนั่งเป็นสี่ด้าน
เจี่ยงสงถามลูกน้องที่อยู่ข้างๆว่า “คุณหลินกลับมาหรือยัง?”
“ยังเลยครับ” ลูกน้องตอบกลับ
“ทำไมถึงยังไม่กลับมาสักทีนะ? การประลองกำลังจะเริ่มอยู่แล้ว” เจี่ยงสงพูดด้วยความร้อนใจ
คุณฉีที่อยู่ข้าง ๆ ปรายตามองเจี่ยงสงด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง พลางพูดอย่างเย็นชาว่า “คุณเจี่ยง มีแค่ผมคนเดียวก็เหลือเฟือแล้วล่ะ”