จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 127 ความตกตะลึงของทุกคน
บทที่ 127 ความตกตะลึงของทุกคน
ปรมาจารย์กู่ที่กำลังจะหนีไปถึงประตูทางออกแล้ว ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้ในที่สุด
หนีมาได้ไกลขนาดนี้ หลินชางฉองไม่น่าจะตามมาทันแล้วล่ะนะ!
เฮอะ! ยังมีหน้ามาพูดว่าหนีไม่พ้นงั้นเรอะ ช่างคุยโวโอ้อวดได้อย่างไร้ยางอายสิ้นดี!
ชั่วขณะนั้นเอง เสียงราบเรียบเย็นชาของหลินหยุนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“กระบวนท่าที่สามของสิบแปดท่าต้าเต๋า ค้อนดาวร่วง!”
ไม่จริงน่า? อีกแล้วเหรอ!
ระยะห่างขนาดนี้ ฉันจะดูซิว่าแกจะโจมตีโดนฉันได้ยังไง!
เสียงนี้ช่างเป็นเหมือนฝันร้าย ที่ตามวนเวียนหลอกหลอนอยู่ในหูของปรมาจารย์กู่เสียจริง!
ทันใดนั้น กลุ่มพลังชี่ทิพย์อันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง ก็ตกลงมาจากท้องฟ้า แล้วพุ่งทะยานเข้าโจมตีปรมาจารย์กู่ที่กำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
จู่ๆปรมาจารย์กู่ก็เกิดลางร้ายบางอย่าง เหงื่อแตกพลั่กไปทั่วทั้งตัว รีบเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้งจนถึงขีดสูงสุด !
แต่ไม่ว่าความเร็วของเขาจะเร็วมากสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถเร็วได้เท่ากับความเร็วจากการโจมตีของพลังชี่ทิพย์กลุ่มนั้น
พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่ง ตกลงมาจากท้องฟ้าโดยตรง แล้วกระแทกเข้ากลางศีรษะของปรมาจารย์กู่ บีบอัดทั้งตัวของเขาลงไปกับพื้น บดขยี้กระดูกทั้งหมดในร่างของเขาจนแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี
เฮ้ย!
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนทันที จ้องมองดูฉากนี้ด้วยความสยดสยอง!
ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ได้กลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่มันเกินขีดจำกัดความรู้ความเข้าใจของทุกคนไปเรียบร้อยแล้ว!
จากนั้น ทั้งสนามก็เงียบกริบ!
ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงค่อยมีคนพูดขึ้นมาว่า
“ปรมาจารย์กู่ตายแล้วเหรอ” มีคนถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
“ตายแล้วล่ะ ตายชนิดที่ไม่รู้ว่าจะตายยังไงได้อีกเลยด้วย !” มีใครบางคนตอบกลับด้วยอาการที่ยังตะลึงอึ้งค้างไม่หาย
“เขาทำได้ยังไงกัน! ระยะห่างจากสังเวียนไปถึงประตูหน้าเลยเชียวนะ น่ากลัวว่าคงจะเกือบๆร้อยเมตรได้ เขาใช้วิธีอะไรในการฆ่าปรมาจารย์กู่กันแน่?”
“ ฉันเดาว่ามันน่าจะเป็นเวทมนต์ที่ทรงพลังมากแน่ๆ!”
“น่าขำสิ้นดี ปรมาจารย์กู่บ้าบออะไรกัน ฉันว่าหลินชางฉองคนนี้ต่างหาก ถึงจะเป็นปรมาจารย์ตัวจริง!”
จู่ ๆ ไม่รู้มีใครพลันร้องตะโกนขึ้นมาว่า “ปรมาจารย์หลิน!”
จากนั้นคนที่สองก็ร้องตะโกนตามขึ้นมาติดๆ “ปรมาจารย์หลิน!”
จากนั้นก็มีคนที่สาม คนที่สี่ตามมา เกือบทุกคนต่างร้องตะโกนเสียงดังกึกก้องว่า “ปรมาจารย์หลิน ปรมาจารย์หลิน … ”
ทั้งสนามประลองยุทธ มีเพียงเสียงเชียร์ที่ดังสนั่นเป็นเสียงเดียวกันว่า
ปรมาจารย์หลิน!
บางที คงมีเพียงฉายานามนี้เท่านั้น ที่คู่ควรกับพลังอันน่าทึ่งซึ่งสามารถฆ่าคนได้ด้วยมือเปล่า ทั้งๆที่อยู่ห่างจากกันไกลออกไปนับร้อยเมตรได้!
เสี่ยวยู่จ้องมองหลินหยุนด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเคารพยกย่อง
“ไม่แปลกเลย ที่พี่หลินจะไม่พนันที่สังเวียนมืด และไม่แปลกเลย ที่เขาจะมอบเงินหลายสิบล้านให้เฉินฟางได้โดยไม่กะพริบตาสักนิด ถ้าฉันมีเวทมนต์ที่แกร่งกล้าถึงขั้นท้าทายสวรรค์ได้ขนาดนี้ ทำไมฉันถึงต้องไปสนใจใยดีกับเรื่องเงินทองของเหม็น ๆ ทั้งหลายเหล่านั้นด้วยล่ะ!”
เสี่ยวยู่รู้สึกว่าเหมือนมีโลกใหม่โลกหนึ่ง มาปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอแบบไม่ทันตั้งตัว
ในตอนนี้เธอค้นพบขึ้นอย่างฉับพลันว่า บรรดาลูกหลานเศรษฐีที่เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองทั้งหลาย ที่เธอเคยนึกอิจฉาตาร้อนมาก่อนหน้านี้ เมื่อเปรียบเทียบกันกับหลินหยุนในเวลานี้แล้ว พวกนั้นต่างก็ไร้ค่า ไม่มีราคาอะไรเลยทั้งนั้น
เฉินหมิงวั่งสีหน้าหวาดผวา รีบซ่อนตัวลงไปหลบที่ใต้เก้าอี้นั่งทันที
เฉินต้าเจียงถามจนแทบจะคำรามด้วยความสงสัย“ ไอ้เจ้าลูกกระต่ายนี่ แกทำอะไรของแกหา?”
เฉินหมิงวั่งตอบด้วยท่าทางหวาดกลัวว่า “พ่อ ผมไปทำให้ปรมาจารย์หลินขุ่นเคืองใจเข้าแล้วน่ะสิ ผมกลัวว่าเขาจะตามมาล้างแค้น เลยต้องรีบซ่อนตัวก่อน พ่ออย่าบอกใครนะว่าเห็นผมที่นี่!”
เฉินต้าเจียงตกตะลึงอย่างหนัก อ้าปากด่าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า ” ไอ้ลูกเวร คนที่แทบจะเทียบชั้นเทพเจ้าขนาดนี้ แกยังกล้าไปหาเรื่องเขา นี่แกอยากตายนักหรือยังไงหา! ถ้าอยากตายนักก็อย่ามาลากพวกฉันไปตายพร้อมกับแกด้วยล่ะ!”
เฉินหมิงวั่งก็เสียใจภายหลังแทบตายอยู่แล้ว ถ้าเขาดีกับหลินหยุนสักหน่อย ตอนนี้เขาก็สามารถกอดต้นขาของหลินหยุน หาที่พึ่งพาอันยิ่งใหญ่ได้แล้วแท้ๆ!
ถ้าได้กอดต้นขาของคนระดับที่เกือบจะเทียบเคียงกับเทพเจ้าได้ ในอนาคตตระกูลของพวกเขาจะต้องโรจน์รุ่งพุ่งแรงอย่างแน่นอน
น่าเสียดายแล้ว ตอนนี้แทนที่จะได้กอดต้นขานี้ให้แน่น เขากลับไปทำให้ให้เจ้าของต้นขาขุ่นเคืองใจเข้าเสียอีก
เฉินฟางมองหลินหยุนที่อยู่บนสังเวียน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
“ที่แท้พลังแท้จริงของนาย ก็แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลย! หลินหยุน ไม่ได้เจอกันหลายปี ที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่?”
หลี่เมิ่งดูสภาพเหมือนคนที่เพิ่งเจอผีมาอย่างไรอย่างนั้น แหกปากร้องตะโกนลั่นว่า “ไม่จริงน่า! นี่มันเป็นไปได้ยังไง! เขาฆ่าปรมาจารย์กู่ได้จริงๆเหรอเนี่ย!”
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง? เขาเป็นแค่คนขี้ขลาดคนนึงชัด ๆ !”
“เมื่อวานฉันไปทำให้เขาขุ่นเคืองใจขนาดนั้น อีกเดี๋ยวเขาต้องมาฆ่าฉันแน่ ไม่ได้การ ฉันต้องรีบหาที่ต้องซ่อน!”
หลี่เมิ่งก็ไม่ต่างกับเฉินหมิงวั่ง รีบโฉบตัวไปซ่อนที่ใต้เก้าอี้อย่างรวดเร็วทันที
สีหน้าแสนเย่อหยิ่งถือดี ที่เคยมีบนใบหน้าอันงดงามของเจิ้งหงยู่ พลันหายวับไปไม่มีเหลือ แล้วถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดสุดขีด!
“เป็นไปได้ยังไงกัน? คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้แต่จะเดิมพันในสังเวียนมืด จะทรงพลังถึงขนาดนี้ได้ยังไงกัน?!”
“ที่แท้ในสนามมวยโลกมืดเมื่อวานนี้ เขาไม่ใช่ไม่กล้าพนัน แต่เขาไม่สนใจที่จะพนันต่างหาก!”
“บางทีอีกเดี๋ยว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมาล้างแค้นฉันก็ได้!”
“หลินชางฉอง ปรมาจารย์หลิน นายซ่อนคมไว้ได้ลึกล้ำมาก!”
เจิ้งหงยู่ยิ้มอย่างขมขื่น แอบตัดสินใจเงียบๆว่า ถ้าอีกเดี๋ยวหลินหยุนมาแก้แค้นเธอ เธอจะยอมรับสารภาพในความผิดทุกอย่าง อย่างมากก็แค่ตาย!
เจี่ยงสงตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุด ไม่รู้ว่าในใจกรีดร้องคำว่า ”ดีมาก” ไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว!
“วิสัยทัศน์ของควีนจินนั้น ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปจริง ๆ พลังที่แท้จริงของคุณหลิน ไม่สิ ของปรมาจารย์หลิน ช่างแข็งแกร่งทรงพลัง ร้ายกาจเหนือใครจริงๆ!”
“ดูเหมือนว่าที่ควีนจินกำชับให้พวกเขา คอยประจบเอาใจคุณหลินให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดอย่างยากจะหาใดเปรียบจริงๆ!”
เจี่ยงสงยิ้มเบิกบาน แต่คุณฉีที่อยู่ข้าง ๆ เขากลับมีสีหน้าขาวซีดเผือดสีไปทั้งหน้าแล้ว ร่างกายก็สั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร
“เขา….ความแข็งแกร่งของเขาไปถึงขอบเขตของแดนเซียนแล้ว แม้แต่วิชาศพทองแดงแห่งสำนักยินซือ ยังไม่อาจต้านทานสามหมัดนั้นของเขาได้ !”
“หรือเขากลายเป็นปรมาจารย์ไปแล้วจริงๆ?”
“ปรมาจารย์ที่เพิ่งจะยี่สิบคนนึง! เรื่องนี้ต้องเป็นประเด็นใหญ่ที่ทำให้โลกแห่งบู๊ต้องเดือดพล่านกันอย่างแน่นอน!”
คุณฉีหวนนึกถึงเรื่องที่ไปดูถูกโจมตีหลินหยุนด้วยวาจาก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นหลินหยุนไม่ตอบโต้อะไรกลับมาแม้แต่คำเดียว ในเวลานั้น คุณฉียังคิดอยู่ว่าเพราะหลินหยุนกลัวเขา มาคิดเอาตอนนี้น่าจะเป็นเพราะ หลินหยุนไม่ได้แยแสต่อการคงอยู่ของเขาเลย และมองว่าเขาเป็นแค่อากาศธาตุ ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า
“ ฮะๆๆ ช่างน่าขำจริงๆ!” คุณฉีแอบรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจขึ้นมาอย่างประหลาด คิดถึงช่วงเวลาที่เขาสู้ลำบากพากเพียรฝึกวิชามานับสิบๆปี จนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะสำเร็จแค่ระดับขั้นใกล้เคียงพรสวรรค์โดยกำเนิดเท่านั้น
หลินหยุนที่อายุยังน้อยเพียงแค่นี้ ถึงกับกลายเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว นี่มันคือความไม่เท่าเทียมกันโลกนี้สินะ ไม่ต่างจากการคัดเกรดสินค้าระหว่างเกรดเอ กับสินค้าด้อยคุณภาพในท้องตลาดจริงๆ คนต่ำต้อยด้อยค่ากว่าจะยังไง ก็มีแต่ต้องถูกโยนทิ้งไปอยู่วันยังค่ำ
สีหน้าหานกั๋วเฉียงดำคล้ำมืดทะมึน จ้องมองฉากนี้เงียบๆ ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ยังจำได้ว่า วันนั้นเขาเคยพูดจาตักเตือนหลินหยุนไปแบบเป็นการส่วนตัว มาถึงตอนนี้เขาแทบอยากจะหาที่กำบังสักที่ แล้วเอาหน้าตัวเองมุดเข้าไปหลบซ่อนเสียเหลือเกิน
“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เขาบอกว่าเขามีพลังอำนาจและร่ำรวยเหนือใคร ขอเพียงแค่เขาอยากได้อะไร แค่พลิกฝ่ามือ เขาก็ได้มาง่ายๆดั่งใจหวังแล้ว!”
“ไม่น่าแปลกใจที่เขาบอกว่า ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้า ร่ำรวยเหนือใคร ฉันก็สามารถจัดการมันให้ตายได้ในดาบเดียว!”
“ตอนนั้นฉันยังคิดว่าเขายังเด็กเกินไป เลยพูดจาอวดเก่งไปอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าเป็นฉันเองต่างหากที่เอาแต่นั่งอยู่ก้นบ่อน้ำ ไม่เคยได้รู้จักวีรบุรุษที่โลดแล่นอยู่ในโลกใบนี้จริงๆ!”
“แค่สามหมัด ก็ฆ่าปรมาจารย์กู่ที่อยู่ห่างออกไปนับร้อย ๆ เมตรได้ ทักษะที่วิเศษระดับเทพเซียนขนาดนี้ ช่างเป็นอะไรที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ!”
“อำนาจล้นฟ้าแล้วยังไง? ร่ำรวยระดับประเทศแล้วยังไง? เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเวทมนต์ระดับเทพเซียนนี้แล้ว แทบจะไม่ต้องยกมาพูดให้เปลืองน้ำลาย มันก็แค่เรื่องขี้ผงที่ถูกจัดการได้ในดาบเดียวแค่นั้นเองไม่ใช่เหรอ?”
ลุงฉินที่อยู่ข้างๆถอนหายใจเฮือก สีหน้าฉายชัดถึงความอัปยศอดสู “คุณหาน ท่านว่าครั้งก่อนที่ผมแสดงทักษะบู๊ต่อหน้าเขา นั่นไม่กลายเป็นการสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำหรอกเหรอ?”
“ตอนนั้นเขาคงต้องหัวเราะผมอยู่ในใจแน่ ๆ!”
ทันที่ได้ยินลุงฉินพูดอย่างนี้ออกมา หานกั๋วเฉียงก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้น มันเป็นความคิดของเขาเองที่สั่งให้ลุงฉินใช้พลังยุทธไปข่มขู่หลินหยุน
ในขณะที่ความสนใจของทุกคนต่างไปอยู่ที่หลินหยุน จู่ ๆ เจียงจงโหยวก็หันหลัง แล้วค่อยๆแอบย่องออกไปเงียบ ๆ
แต่ทว่า เหมือนหลินหยุนจะมีดวงตางอกอยู่ข้างหลังก็ไม่ปาน
“หยุดซะ!” หลินหยุนสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขาหันไปมองเจียงจงโหย่ว ถามเสียงเรียบว่า “เจียงจงโหย่ว ครั้งก่อนแกติดค้างทรัพย์สินครึ่งหนึ่งฉันอยู่สินะ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คืนมาเลยด้วย หนี้ก้อนนี้ สมควรจะชำระสะสางให้เรียบร้อยสักทีดีมั้ย!”
เจียงจงโหยวตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หันกลับมา สีหน้ากระอักกระอ่วนสุดขีด
เจียงจงโหยวมองหลินหยุนด้วยสีหน้าประจบเอาใจ คล้ายอยากเชื่อมสัมพันธไมตรีเต็มที่ เลียปากพลางยกยิ้ม “ต้องขออภัยปรมาจารย์หลินจริง ๆ นะครับ การตรวจสอบสะสางบัญชีทรัพย์สินออกจะเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่สักหน่อย ตอนนี้ก็เพิ่งจะตรวจสอบสะสางเสร็จ คุณโปรดรอสักครู่ ผมจะรีบกลับไป แล้วจัดการเคลียร์ให้คุณเดี๋ยวนี้เลยนะครับ! ”
หลินหยุนกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก อย่างที่ฉันเคยพูดไป ครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินคือเงินที่ใช้ซื้อชีวิตของแก เมื่อแกผิดสัญญา ฉันก็มีแต่ต้องเอาชีวิตของแกแทน”
หากมีใครคนอื่นมาบอกว่า เขาจะเอาชีวิตเจียงจงโหยว เจียงจงโหยวคงจะหัวเราะเยาะเย้ย ถากถางคนคนนั้นอย่างดุเดือดแน่นอน
แต่หลังจากที่หลินหยุนพูดประโยคนี้ออกไป ทันทีที่เจียงจงโหยวได้ยิน เขาก็รู้สึกเหมือนว่าร่างทั้งร่างร่วงตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ราวกับได้เห็นเคียวของเทพแห่งความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีๆ
เจียงจงโหยวคุกเข่าลงกับพื้นทันที ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังว่า “อย่านะครับท่านปรมาจารย์หลิน ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว ผมจะส่งมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้คุณทันที ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย ไว้ชีวิตผมสักครั้งเถอะนะครับ!”
“สายไปแล้ว” หลินหยุนพูดเรียบ ๆ แล้วเดินเข้าไปหาเจียงจงโหยวทีละก้าวๆ
“ปรมาจารย์หลิน ผมยินดีมอบทรัพย์สินทั้งหมดของผมให้เลย ขอเพียงท่านไว้ชีวิตผมแค่นั้นก็พอแล้ว!” สีหน้าของเจียงจงโหยวซีดเผือด ตื่นตระหนกจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง