จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 130 เปิดเทอม
บทที่ 130 เปิดเทอม
วันนี้ เป็นวันเปิดเทอม
สถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจวที่หลินหยุนเรียนอยู่เป็นโรงเรียนสอนศิลปะซึ่งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจว ที่เซี่ยหยู่เวยเรียนอยู่เพียงถนนเดียว
สถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจว อยู่ห่างจากบ้านของเซี่ยหยู่เวยพอสมควร ในชีวิตที่แล้ว หลินหยุนเลือกอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย
แน่นอนว่า การที่หลินหยุนเลือกอยู่หอมันมีเหตุผลอื่นร่วมด้วย เพราะการอยู่หอจะช่วยประหยัดเวลาได้มาก หลินหยุนใช้เวลาที่ไม่ต้องเสียไปกับการเดินทางนี้ ไปรับจ๊อบทำงานหาเงิน เขาไม่อยากเอาแต่ใช้เงินของตระกูลเซี่ย
หลินหยุนเรียนแล้วสองปี หลังจากปิดเทอมฤดูร้อนสิ้นสุดลง ตามกฎของมหาวิทยาลัยทั่วไป หลินหยุนก็ควรจะได้เลื่อนชั้นไปเรียนปีสาม
หลังจากสองปีในการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย หลินหยุนมีทั้งเพื่อน มีทั้งศัตรู มีความสุข มีความเศร้า มีความโกรธเคืองคับข้องใจ และแน่นอนว่าต้องมีความเสียใจ และเสียดายปะปนกัน
ในชีวิตที่แล้ว ตอนที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดหลินหยุนยังหาตัวเขาไม่พบ ความปรารถนาสูงสุดของเขาคือการช่วยตระกูลเซี่ยให้ได้มากที่สุด ให้เซี่ยหยู่เวยเห็นเขาในสายตาให้ได้
ดังนั้น หลินหยุนจึงยอมละทิ้งวิชาวรรณกรรมที่ตัวเองชอบ ยอมละทิ้งความฝันที่จะเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง แล้วไปสมัครเรียนคณะบริหารที่เขาไม่ชอบแทน
เพราะหวังว่า จะสามารถช่วยเซี่ยหยู่เวยดูแลจัดการคลินิก กลายเป็นคนคนหนึ่งที่มีประโยชน์กับเธอได้
แน่นอนว่าหลินหยุนในเวลานั้น ไม่เคยคิดหวังจะเกาะเกี่ยวปีนกิ่งสูงอะไร คิดเพียงแค่ว่าไม่อยากให้ตระกูลเซี่ยดูถูกเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจก็เท่านั้น
แต่ในชีวิตนี้ แน่นอนว่าหลินหยุนไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว
ดังนั้น หากยึดตามความแข็งแกร่งในตอนนี้ของหลินหยุน ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอีกต่อไป
แต่เพราะว่า หลังจากผ่านไปแปดร้อยปี หลินหยุนก็อยากจะเจอเพื่อน ๆ ของเขาในเวลานั้นอยู่เหมือนกัน
ช่วงเวลาที่ได้ร่วมวงก๊งเหล้ากัน ได้ผ่านวันคืนทั้งสุขทุกข์มาด้วยกัน โดนด่าโดนตีมาด้วยกัน ผองเพื่อนที่ไปนั่งยอง ๆ ที่หน้าประตูโรงเรียน เพื่อแอบส่องนักเรียนสาวสวยรุ่นน้องที่เข้ามาใหม่ด้วยกันพวกนั้น
“ไอ้หมอ เทพฟ้าผ่า ไอ้สิบแปดมงกุฎ ไอ้หิน แล้วก็ฉินโส่วเจ้าของฉายาไอ้สัตว์ป่า ตอนนี้ทุกคนจะเป็นยังไงบ้างนะ?”
แล้วก็ยังมี เจ้าของบาร์ที่คอยดูแลพวกเขาอยู่เสมออีกคน สาวสวยผู้สุขุมเยือกเย็นทั้งยังดูเป็นผู้ใหญ่คนนั้น พี่โล่โล่
หลินหยุนเรียกแท็กซี่ไปสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจว เมื่อลงจากรถ แล้วมองไปที่อาคารขนาดใหญ่ ที่สร้างเป็นรูปทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวตรงทางเข้าสถาบัน จู่ๆหลินหยุนก็มีความรู้สึกเหมือนเกิดภาพเดจาวู ในโลกอีกใบหนึ่งทับซ้อนขึ้นมาแบบฉับพลัน
แปดร้อยปีแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายจะได้กลับมาที่นี่อีก
นักศึกษาที่เรียนในสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งนี้ ส่วนมากจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก จึงได้เห็นภาพของรถหรูคันแล้วคันเล่า ขับมาจอดต่อ ๆ กันที่หน้าประตูโรงเรียนไม่หยุด
หลินหยุนเดินเข้าประตูไปอย่างเงียบ ๆ เดินไปตามเส้นทางในความทรงจำเดิมที่มี จนไปถึงหอพักของคณะบริหารอาคาร A หอพัก 208
ทันทีที่เดินไปที่ประตูหอพัก ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นราวเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจากด้านใน“ เชี่ย!ใครมันเอารูปถ่ายตัวจริงของหยางหยิงเสี่ยที่ติดไว้ข้างเตียงชั้นไปวะ!?”
“ไอ้หมอ เป็นแกใช่มั้ย ?”
มุมปากของหลินหยุน ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมาทันที มีเพียงคนเดียวในหอพัก 208 ที่จะส่งเสียงดังเอะอะแบบนี้ นั่นก็คือเหลยเฉียง เจ้าของฉายา เทพฟ้าผ่า
ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าไอ้หมอคนนั้น มีชื่อจริงว่าจางซือจู่ เป็นลูกหลานของนักปราชญ์แห่งการแพทย์ จางซือเมี่ยว
เนื่องจากครอบครัวเป็นหมอมาถึงสามชั่วอายุคน เขาจึงถูกบังคับให้สืบทอดกิจการของครอบครัว เมื่อดูจากชื่อของเขาแล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อแม่เขาก็เอาแต่เฝ้าหวนนึกถึงชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษมาโดยตลอด
แต่สิ่งที่พ่อแม่ชอบ ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกก็จะต้องชอบด้วย
อาจเป็นเพราะว่า จางซือจู่ในวัยเด็กถูกบังคับมากเกินไป เขาจึงต่อต้านการเรียนแพทย์ชนิดหัวชนฝา จากนั้นก็หนีมาเรียนที่สถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์ตามลำพัง
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไปเรียนที่สถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์ แต่เขาก็ไม่สามารถลบล้างการสั่งสอนจากครอบครัวที่ยาวนานกว่าสิบปีได้ ทำให้ทุกครั้งที่อ้าปาก พูดได้ไม่เกินสามประโยค ก็หนีไม่พ้นเรื่องการแพทย์การรักษาที่เคยถูกสอนมา
ดังนั้นทุกคนจึงพากันตั้งฉายาให้เขา ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมที่สืบต่อมาในครอบครัว คือ “ไอ้หมอ”
หลินหยุนเปิดประตูออก ชายร่างใหญ่ที่มีส่วนสูงถึงร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ก็หันขวับมามองอย่างกะทันหัน
“โย่ว! มู่มู่ ทำไมวันนี้แกถึงมาสายได้ละเนี่ย?” เหลยเฉียงมองหลินหยุนพร้อมยกยิ้มร้ายๆ
ในชีวิตที่แล้ว หลินหยุนมีนิสัยเงียบขรึม รักสันโดษไม่ค่อยชอบพูด ดังนั้นทุกคนจึงแยกชื่อกับแซ่ของเขาออก แล้วตั้งฉายาให้ว่ามู่มู่
ด้วยความมีเกียรติ์ในตัวเองของเขา ทำให้หลินหยุนไม่อยากถูกเซี่ยหยู่เวยดูถูก จึงพยายามตั้งใจเรียนอย่างหนัก และทุกครั้งหลังช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่กลับจากบ้านมา เขามักจะเป็นคนแรกที่มาถึงโรงเรียนเสมอๆ
ปกติแล้ว เหลยเฉียงชอบเอาเรื่องของหลินหยุนมาทำเป็นเรื่องตลกล้อเล่นขำๆ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ พอถึงเวลาที่มีใครรังแกหลินหยุนขึ้นมาจริงๆ เขาก็มักจะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาปกป้องหลินหยุนเสมอ
“ยังไงก็ไม่มีคลาสเรียนซะหน่อย จะรีบมาเร็วไปทำไมล่ะ?” หลินหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งห้าคนในหอพัก ต่างก็เงยหน้าขึ้นมา มองหลินหยุนด้วยความประหลาดใจเป็นตาเดียวกันโดยพร้อมเพรียง
ชายหนุ่มตัวผอมแห้ง สวมแว่นแบบสายตาสั้น ซึ่งอยู่เตียงชั้นล่างด้านที่ติดกับห้องน้ำคนหนึ่ง เดินไปประชิดแล้วจ้องเป๋งที่ใบหน้าของหลินหยุน มองพิจารณาแบบละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว
จากนั้นเขาก็พึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย “ดูไปแล้วก็ไม่เหมือนว่าจะไม่สบายนี่นา ? ทำไมถึงเริ่มพูดจาเพ้อเจ้อซะแล้วล่ะ? หรือว่าเปลี่ยนนิสัยใหม่แล้วงั้นเรอะ?”
คนคนนี้ก็คือจางซือจู่หรือไอ้หมอ เป็นผู้ชายที่มีหน้าตาแสนจะสับปลับปลิ้นปล้อนผู้หนึ่ง
เตียงชั้นบนที่จางซือจู่นอน ชายหนุ่มอีกคนที่นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนนั้น ผสมโรงเข้ามาอีกคน ด้วยการเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลึกลับว่า ” หลินหยุน แกเชื่อมั้ยว่ามีเทพเจ้าอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ?”
“ความเปลี่ยนแปลงของแกวันนี้ มันเป็นเพราะว่า แกได้รับพรจากเทพเจ้ายังไงล่ะ!”
ชายหนุ่มที่ทำท่าทางลึกลับเต็มไปด้วยปริศนาคนนี้ มีชื่อว่าหยางเทียนโย่ว แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยได้ยินเขาเล่าให้ฟังมาก่อน ว่าที่บ้านเขาทำงานอะไร เป็นคนที่ชอบพูดพล่ามแต่เรื่องเหลวไหลหาสาระไม่ได้ทั้งวัน
ดังนั้น ทุกคนจึงพร้อมใจกันตั้งฉายาให้เขาว่า ไอ้สิบแปดมงกุฎ
ที่เตียงฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มอีกคนที่นอนแทะเมล็ดแตงโมในท่าสองขาไขว่ห้าง คว้าส้มที่อยู่ข้างๆมาลูกหนึ่ง แล้วขว้างไปใส่หยางเทียนโย่วพร้อมเอ็ดเสียงดังลั่นว่า ” ไอ้สิบแปดมงกุฎเอ๊ย! หุบปากของแกไปเลยไป๊ นี่ฟังจนหูของชั้นมันจะด้านเป็นรังไหมแล้วโว้ย! ”
หยางเทียนโย่วหัวเราะฮิๆ คว้าส้มที่ถูกขว้างมาแล้วเริ่มปอกเปลือก “ฉินโส่ว ถึงแกจะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริงนะเว้ย!”
“มนุษย์เราช่างเล็กกระจ้อยร่อยนัก ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อน”
“กินส้มของแกเข้าไปเลยไป๊ จะได้อุดปากของแกได้มั่ง!”ชายหนุ่มคนนั้นจ้องมองเขาตาเขม็ง
ชายหนุ่มคนนี้มีชื่อว่าฉินโส่ว เป็นลูกคนเดียวในครอบครัวระดับมหาเศรษฐี
ได้ยินมาว่า พ่อของเขากลัวว่าในอนาคตข้างหน้า เขาจะทำให้ครอบครัวล้มละลาย จึงได้ตั้งชื่อให้เขาว่า โส่ว (ยืนยาว) เพราะหวังว่า เขาจะสามารถรักษากิจการของครอบครัวเอาไว้ได้
แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ชื่อนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับลักษณะนิสัยจริง ๆ ของเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย
จนถึงตอนนี้ พ่อของฉินโส่ว ไม่เพียงจะไม่คาดหวังให้เขารักษาธุรกิจของครอบครัวไปได้อย่างยืนยาวจนถึงอนาคต แต่ยังถึงกับจุดธูปเทียนบูชาพระบูชาเจ้า ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อวยพรลูกชายไม่ให้ทำให้กิจการของครอบครัว ต้องมีอันล้มละลายไปในช่วงชีวิตระหว่างนี้ของเขา ก็นับได้ว่าเป็นบุญเป็นกุศลมากพอแล้ว
“หลินหยุน เข้าใจได้ก็ดีแล้วล่ะ!”
คนสุดท้ายที่พูดขึ้นมา คือชายหนุ่มหน้าตาซื่อ ๆ คนหนึ่งชื่อว่าหลี่หลิวเฉิง ฉายา ไอ้ก้อนหิน เขาเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวชนบท มีความฝันเช่นเดียวกับหลาย ๆ คนในวัยของเขา คือหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตก ได้รับความนิยมเหมือนดาราดังแห่งยุคบ้าง
แต่ผลสุดท้าย ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร เขากลับไม่ได้เข้าเรียนในคณะสาขาการแสดง แต่ดันจับพลัดจับผลูมาเข้าเรียนคณะบริหารแทนซะได้
เหลยเฉียงตบไหล่หลินหยุนเบา ๆ พลางพูดว่า “เมื่อก่อนพวกพี่ล่ะกลัวจริง ๆ เลย ว่าแกจะจนตรอกจนเข้าสู่ทางตันในสักวัน คิดไม่ถึงว่าพอปิดเทอมฤดูร้อนกลับมา แกจะเปิดตามาพบทางสว่างได้ซะที!”
“คิดได้เร็วหน่อยก็ดีแล้วล่ะ เรียนตั้งมหาลัยแล้วแท้ๆ จะต้องทุ่มเทสุดชีวิตขนาดนั้นไปทำไมกัน!?”
“แต่จะพูดไป ขนาดดาวคณะของมหาลัยแพทย์ยังกลายเป็นเมียแกเลยเนี่ย ยัยตัวแสบเจ้าแผนการอย่างเถียนชุ่ยชุ่ยนั่น แกก็น่าจะโยนหล่อนออกจากสมองไปไกล ๆ สักเก้าล้านโยชน์ซะตั้งนานแล้ว!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหยุนก็พลันเลือนหายไปทันที
เถียนชุ่ยชุ่ย ผู้หญิงที่ปั่นหัวหลินหยุนเล่นในกำมือ เป็นระยะเวลานานถึงหนึ่งปีเต็มๆ
หากจะบอกว่าทัศนคติของเซี่ยหยู่เวยที่มีต่อหลินหยุน คือเฉยเมยและรังเกียจแล้วล่ะก็ ทัศนคติของเถียนชุ่ยชุ่ยที่มีต่อหลินหยุนก็คือ การหลอกลวงและใช้ประโยชน์
ไม่มีขีดจำกัดขั้นต่ำใด ๆ ในการหลอกลวงทั้งสิ้น เป็นการบีบเค้นเอาเลือดจนถึงหยดสุดท้าย เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
แม้ว่าต่อมา หลินหยุนกับเซี่ยหยู่เวยจะแต่งงานกัน เขากับเถียนชุ่ยชุ่ย ก็ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปในท้ายที่สุด แต่ในใจของหลินหยุนนั้น ชื่อนี้ได้กลายเป็นรอยแผลลึกที่ไม่มีวันเลือนหายไปเรียบร้อยแล้ว
อันที่จริง ในช่วงเวลากว่าหนึ่งปีนั้น เถียนชุ่ยชุ่ยเคยเป็นผู้หญิงที่เขาคิดอยากจะใช้ชีวิตทั้งชีวิต เพื่อคอยปกป้องดูแลจริงๆ
แต่น่าเสียดายที่ยิ่งรักมากเท่าไหร่ บาดแผลนั้นก็ยิ่งเจ็บลึกมากเท่านั้น เมื่อความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย หลินหยุนก็เข้าใจได้ในที่สุดว่า ที่แท้เขาก็เป็นแค่ตัวสำรองของเถียนชุ่ยชุ่ยเท่านั้น
ไม่สิ! ไม่ใช่แม้กระทั่งตัวสำรองด้วยซ้ำ เพราะหลินหยุนเป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง ที่เถียนชุ่ยชุ่ยหยิบมาใช้ประโยชน์ได้ต่างหาก
แม้ว่าหลินหยุนจะมอบเงินเก็บที่มาจากการทำงานตลอดทั้งปี ให้กับเถียนชุ่ยชุ่ยไปจนหมดทุกบาททุกสตางค์ แต่ก็ยังไม่อาจแลกความจริงใจแม้เพียงครึ่งเสี้ยวจากหล่อนได้ด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหลินหยุนเปลี่ยนไป เหลยเฉียงก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ทำคอย่นแล้วรีบย่องหนีออกไปอย่างเงียบๆ
“เฮ้! สหายทั้งหลาย ดูนี่เร็ว น้องสาวอกใหญ่ไลฟ์สดแล้วพวก!”
ทันใดนั้น จางซือจู่ก็ผุดลุกขึ้นนั่ง คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วส่งเสียงร้องเรียกทุกคนอย่างตื่นเต้นจนออกนอกหน้า