จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 14 ความเสียใจของทุกคน
บทที่ 14 ความเสียใจของทุกคน
“นี่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน!”
คนแรกที่ตั้งสติคืนมาได้คือหลี่จุนผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ ยังไงซะเขาก็ไม่คุ้นเคยกับหลินหยุน ดังนั้นผู้อยู่วงนอกเห็นชัดกว่า
โจวจิ้งมองไปที่หลินหยุนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เขาถามขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เลขาหยาง คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ เขาจะเป็นคนที่ประธานจินเคารพได้ยังไงกัน?”
“เขามีคุณธรรมความสามารถอะไรกัน?”
โจวจิ้งไม่เข้าใจจริงๆ หลินหยุนเขาก็แค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง เพราะอะไรเขาถึงกลายเป็นบุคคลที่จินซื่อหรงเคารพ!?
ทันใดนั้นเลขาหยางก็จ้องมองโจวจิ้งพร้อมพูดอย่างโมโหว่า “ผู้จัดการโจว คุณสงสัยในสายตาของผม หรือสงสัยในสายตาของท่านประธานจินกัน?”
“แม้แต่สายตานี่ก็ยังใช้ไม่ได้ ผมมองว่าผู้จัดการฝ่ายบุคคลนี่คุณก็ไม่ต้องทำแล้ว!”
ใบหน้าของโจวจิ้งราวกับคนกำลังจะตาย ในตอนนั้นเขาทรุดตัวลงบนพื้น แม้แต่จะอ้อนวอนเขาก็ยอมแพ้
ถ้าหากหลินหยุนเป็นคนที่ท่านประธานจินเคารพนับถือที่สุดจริงๆล่ะก็ เมื่อกี้ที่เขาทำความอัปยศให้หลินหยุนขนาดนั้น เลขาหยางได้เห็นด้วยตาตัวเองทั้งหมด เพื่อที่จะเอาใจหลินหยุนแล้ว ต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่
“หมดกัน ที่พยายามมาตลอดสองปีจบหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาพังพินาศลงในมือของไอ้เดียรัจฉานอย่างหลินหยุน!” โจวจิ้งมองหลินหยุนด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น
ดวงตาที่เฉื่อยชาของโจวเถียนเถียนค่อยๆสร่างขึ้น ทันใดนั้นในใจของเธอก็เอ่อล้นด้วยความเสียใจ
“มิน่าทำไมวันนี้เขาถึงกล้าไม่ให้เกียรติท่านรองจินที่สนามม้า นึกไม่ถึงว่าที่แท้เขาก็คือคนที่ประธานจินเคารพมากที่สุดนี่เอง!”
“ฉันยังพูดเรื่องไม่ดีของเขาต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องอยู่เลย แถมยังฟ้องเรื่องเขาให้คุณอากับอาหญิงฟังด้วย มาคิดดูตอนนี้ขายหน้าจะตายอยู่แล้ว!”
“ตอนนี้เขาคงหัวเราะเยาะฉันอยู่ในใจสินะ!”
โจวเถียนเถียนร้องไห้ไม่ออก เธอต้องการแสวงหาความก้าวหน้าจากตระกูลจิน แต่มาวันนี้ แม้แต่คนที่ตระกูลจินยังต้องเคารพมากที่สุดยืนอยู่ตรงนั้น เธอกลับล่วงเกินเขาไป!
สายตาของญาติคนอื่นๆที่ใช้มองหลินหยุนต่างก็ตกตะลึงเหมือนกันทั้งหมด
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาบอกว่าต่อให้เป็นศัตรูกับบริษัทชิรงกรุ๊ปแล้วมีอะไรต้องกลัว ในเมื่อเขาเป็นคนที่ประธานจินเคารพนับถือที่สุด แล้วจะไปกลัวบริษัทของประธานจินได้ยังไงกัน?”
“น่าตลกชะมัด เมื่อกี้พวกเรายังบอกว่าเขาเป็นบ้าอยู่เลย พวกเรานี่มีตาหามีแววไม่จริงๆ!”
เซี่ยเจี้ยนโก๋มองหลินหยุน สีหน้าของเขาสลับซับซ้อนมาก เมื่อตอนก่อนเขาดุด่าหลินหยุนเพราะหลินหยุนล่วงเกินท่านรองจิน มาคิดดูตอนนี้เซี่ยเจี้ยนโก๋ก็อดรู้สึกอับอายขายขี้หน้าไม่ได้
แต่เซี่ยเจี้ยนโก๋มีความสงสัยมากกว่า หลินหยุนเป็นคนมีคุณธรรมความประพฤติแบบไหนเขารู้จักดีเป็นที่สุด ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนที่จินซื่อหรงเคารพที่สุดได้?
โจวเฟินมองหลินหยุนแล้วถามอย่างเป็นกังวล “เสียวหยุน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ?”
หลินหยุนยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนเช้าวันนี้ผมช่วยจินซื่อหรงไปเรื่องหนึ่ง เขาก็เลยให้บัตรใบนี้ผมมา คิดไม่ถึงว่าจะใช้ดีขนาดนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” โจวเฟินพยักหน้าไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ขอแค่หลินหยุนไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายก็พอแล้ว
ตอนแรกเซี่ยหยู่เวยมีสายตาตกตะลึง แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มสงสัย “หรือที่เขากลับบ้านกับประธานจิน เขาจะหาแหล่งกำเนิดของชี่มหาโหดอะไรนั่นเจอจริงๆ?”
“ไม่ นี่มันเป็นไปไม่ได้!” เซี่ยหยู่เวยคัดค้านขึ้นทันที หลินหยุนมีความสามารถแค่ตรงไหนเธอรู้ดี ต่อให้โชคดีที่เดาถูกสักครั้งสองครั้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเดาถูกทุกครั้ง!
“เขาทำอะไรกันแน่?” เซี่ยหยู่เวยเต็มไปด้วยความสงสัย
หลินหยุนมองเลขาหยางที่ยังโค้งคำนับแสดงความเคารพอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนว่าถ้าหลินหยุนไม่พูดอะไรเลยสักคำ เขาคงจะอยู่ท่านี้ต่อไป
“ขึ้นมาเถอะ”
หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ถึงเลขาหยางจะวางอำนาจไปหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้ทำผิดใหญ่หลวงอะไร
เลขาหยางโล่งใจขึ้น นี่ก็แสดงว่าหลินหยุนให้อภัยเขาแล้ว
“ในเมื่อคุณชายหลินทานอาหารอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นพวกผมก็ไม่กล้ารบกวนครับ ผมจะออกไปหาห้องอื่นเดี๋ยวนี้ครับ” หยางรุ่ยพูดอย่างนอบน้อม
“รอเดี๋ยว”
จู่ๆหลินหยุนก็มองไปตรงตำแหน่งที่โจวฝูอยู่ แล้วพูดว่า “ญาติของผมคนนี้ต้องการเข้าทำงานที่บริษัทชิรงกรุ๊ปน่ะ”
เลขาหยางรีบพยักหน้าตอบรับทันที “คุณชายหลินวางใจ ผมจะจัดการให้เรียบร้อยครับ!”
“คุณไปได้แล้วล่ะ” หลินหยุนพูดด้วยเสียงเรียบเฉย
….นี่ถือว่าเป็นการได้รับผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่งไหมนะ?
หยางรุ่นได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ แต่ต่อให้เป็นการถีบหัวส่ง เขาก็ทำได้แค่ตอบรับอย่างระมัดระวัง
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนคุณชายหลินแล้วครับ” หยางรุ่นพูดด้วยความนอบน้อม
หลังจากหยางรุ่ยออกไปแล้ว ห้องก็เงียบลงเป็นเวลานาน ไม่มีใครกล้าออกเสียงอะไรเลย
หลินหยุนมองไปที่โจวเฟินพร้อมพูดว่า “น้าเฟินครับ ผมมีธุระนิดหน่อย พวกคุณทานต่อเถอะครับ”
จุดประสงค์ในการมาคราวนี้ของหลินหยุน ก็เพื่อไม่ให้โจวเฟินถลำเข้าไปในรอยเดิมเหมือนชาติที่แล้ว จนถูกทำให้โกรธเข้าโรงพยาบาล
ตอนนี้เป้าหมายนั้นก็บรรลุแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป อีกอย่างเขาทนการคบค้าสมาคมจอมปลอมแบบนี้ไม่ได้เป็นที่สุด
โจวเฟินเองก็เข้าใจ ว่าถ้าหากหลินหยุนอยู่ต่อล่ะก็ ทุกคนจะต้องอึดอัดกันมากแน่ๆ เธอเลยไม่ได้รั้งไว้ ทำแค่กำชับเขาว่า “ถ้างั้นอยู่คนเดียวก็ระวังตัวหน่อยนะ”
“น้าเฟินวางใจได้ ผมแค่ไปเดินเล่นน่ะ” หลินหยุนพูดจบก็หันหลังเดินออกไป
ทุกคนมองดูหลินหยุนเดินออกไป ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกเหมือนว่ามีโอกาสที่ยิ่งใหญ่หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาอย่างเงียบๆ
บรรยากาศภายในห้องแปลกมาก โจวจิ้งนั่งอยู่บนพื้นคนเดียวก็ไม่มีคนสนใจเขาเลยสักนิด
ทุกคนมองจ้องโจวฝูที่กำลังทำหน้าเหมือนคนสติหลุดด้วยสายตาที่เอ่อล้นไปด้วยความอิจฉา
เพียงเพราะโจวฝูพูดสิ่งที่ยุติธรรมแทนหลินหยุนแค่ประโยคเดียว หลินหยุนก็ให้รางวัลใหญ่แก่เขาเป็นการตอบแทน
ในใจของทุกคนเสียดายจนลำไส้เขียวไปหมดแล้ว ถ้าหากเมื่อกี้พูดแทนหลินหยุนสักหน่อยล่ะก็ ตอนนี้คนที่เข้าไปอยู่ในบริษัทชิรงกรุ๊ปก็ต้องเป็นพวกเขาแน่!
โจวจิ้งคลานขึ้นมาจากพื้น พูดด้วยเสียงเย้ยหยันว่า “ไอ้เด็กนั่นไม่รู้ว่ามันไปขโมยบัตรทองม่วงของท่านประธานจินมาจากไหน กล้ามาแอบอ้างกันที่นี่ พรุ่งนี้ผมไปเปิดโปงมันที่บริษัท!”
ทุกคนมองโจวจิ้งเหมือนกับมองคนโง่ คิดขโมยบัตรทองม่วงของจินซื่อหรง มันเป็นไปได้เหรอ?
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว โจวจิ้งก็เหลือเพียงความปากแข็งเท่านั้น
หลินหยุนออกมาจากโรงแรมบ้านไห่หลาน ใกล้จะเป็นเวลาค่ำแล้ว เขาเดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมายคนเดียว
สภาพแวดล้อมของพวกชนชั้นสูงทุกวันนี้ช่างเลวร้ายนัก บนท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นดวงดาว
ถ้าเป็นไปตามความทรงจำจากชาติที่แล้ว อีกสามปีข้างหน้าพ่อแม่แท้ๆของเขาก็จะเจอเขา แต่ว่า ในเมื่อมาเกิดใหม่แบบนี้ ควรจะไปเจอพวกเขาดูหน่อยไหม?
หลินหยุนอยากไปมาก แต่ก็กลัวว่าการเจอกันเร็วเกินไปจะเปลี่ยนวิถีแห่งโชคชะตา จนไปเปลี่ยนวงโคจรชีวิตทำให้อนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลงจนอาจอยู่เหนือการควบคุมของเขา
หลังเก็บความคิดที่อยากจะไปเจอพ่อกับแม่เอาไว้ ความคิดของหลินหยุนก็ลอยไปถึงนางฟ้าเย่เยว่คนรักของเขาอีกครั้ง
“ในเมื่อผมมาเกิดใหม่ใต้ฟ้าได้ ถ้าอย่างนั้นเย่เยว่เองก็ควรจะเกิดใหม่ได้เหมือนกัน”
แต่ว่า ค่าการบำเพ็ญของเย่เยว่เป็นแค่เซียนแท้แดนสู่ธรรมะ ห่างไกลจากกษัตริย์เซียนที่กำลังโดนลงทัณฑ์จากสวรรค์อย่างเขามาก ดังนั้นเย่เยว่ได้มาเกิดใหม่หรือไม่ หลินหยุนเองก็ไม่แน่ใจ
โดยไม่ทันได้รู้ตัว หลินหยุนก็เดินมาถึงหน้าร้านขายของโบราณ
ทันใดนั้นหลินหยุนก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
เขาหยุดก้าวต่อ แล้วเดินเข้าไปในร้านขายของโบราณ
เจ้าของร้านร้านขายของโบราณเป็นคนรูปร่างอ้วนท่วมใส่แว่นตา เขาหรี่ตาเล็กๆมองประเมินหลินหยุน แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก
ในสายตาของเขา การแต่งตัวแบบนี้ของหลินหยุนนี่ แต่ไหนแต่ไรก็จ่ายเงินซื้อของมีค่าไม่ไหวอยู่แล้ว
หลินหยุนหยุดยืนอยู่ที่หน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์แผ่กระจายออกมาจากพระพุทธรูปองค์นี้
“เถ้าแก่ พระพุทธรูปองค์นี้ปล่อยเช่ายังไงครับ?” หลินหยุนถามขึ้น
เถ้าแก่มองพระพุทธรูปไปแวบหนึ่ง เขาได้รับมันมาจากชาวนาชราคนหนึ่งในราคาห้าร้อยหยวน
ในเวลานั้นเขาเพียงรู้สึกว่าพระองค์นี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป ก็เลยจะซื้อกลับไปศึกษาดูสักหน่อย แต่ไม่ว่าเขาจะหาคนมาประเมินสักกี่คน นี่ก็ยังเป็นพระพุทธรูปปลอม ไม่คุ้มราคาอยู่ดี
ในเมื่อไอ้เด็กหนุ่มนี่สนใจพระพุทธรูปองค์นี้ ก็ถือโอกาสปล่อยเช่าให้ไปเลยสิ ยังไงซะก็ไม่มีคนเอาอยู่แล้ว
“ห้าพัน เจ้าซื้อไหวเหรอ?” เถ้าแก่มีทฤษฎีขายของของตัวเองอยู่
ถ้าหากเป็นคนมีอายุและเข้าใจด้านนี้ล่ะก็ เขาก็จะบอกราคาที่สมจริงกว่านี้ ให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าเขาทำธุรกิจได้ซื่อสัตย์จริงใจ
ถ้าหากเป็นวัยรุ่น เขาก็จะแอบอ้างราคาอย่างถึงที่สุด และแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามด้วย
วัยรุ่นมักจะทนไม่ได้กับทัศนคติแบบนี้ เพราะงั้นส่วนใหญ่จะหลงกลแล้วซื้อกลับไปตอนกำลังโมโห เคล็ดลับนี้ลองแล้วลองอีกไม่เคยพลาด!