จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 179 ได้ยินมาว่าคุณสามารถควบคุมไฟอัคคีได้
หลินหยุนมองดูชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าซูหนัน เขาดูออกว่า อายุซูหนันก็ไม่มาก อยู่ระหว่างราว 20 ปี
แต่ว่า หลินหยุนพบว่าในร่างของซูหนันนั้น มีกลิ่นอายอะไรที่ผิดปกติแฝงอยู่ภายใน
“ถ้าไม่ได้พบเจอกับฉัน ชื่อของคุณอาจจะเป็นที่จดจำของคนทั่วโลกแน่นอน”
“เพียงแต่ว่าเสียดาย…….”
ซูหนันหรี่ตาเล็กน้อยแล้วถามว่า “เสียดายอะไร?”
ใบหน้าของหลินหยุนปรากฏรอยยิ้มที่แปลกประหลาด “เสียดายที่ว่า คุณไม่ใช่คุณ!”
ซูหนันหน้าถอดสีทันที แต่ว่าก็คืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว
“ได้ยินมาว่าคุณสามารถควบคุมไฟอัคคีได้เหรอ?” ซูหนันถามขึ้น
“เทคนิคเล็กๆน้อยๆ ไม่คู่ควรที่จะไปพูดถึง” หลินหยุนตอบ
“ถ้าเช่นนั้น ลูกศิษย์ของฉันหลายคนล้วนถูกคุณสังหารหมดใช่ไหม?” ซูหนันน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา
หลินหยุนสารภาพอย่างไม่ปิดบังว่า “ใช่”
ซูหนันสีหน้าเยือกเย็นมากขึ้น “ถ้าเช่นนั้นให้ฉันได้รู้จักวิชาควบคุมอัคคีของคุณหน่อย!”
“ได้ตามที่คุณขอมาเลย!”
เมื่อสิ้นเสียง หลินหยุนยกมือทั้งสองขึ้น เปลวไฟสูงราวสามฟุตก็ถูกเขายกวางบนฝ่ามือ เพลิงไฟลุกไหม้โชติช่วงขึ้น
สถานการณ์ในสนามต่อสู้กลับเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง!
“โอ้สวรรค์ เขา เขาสามารถควบคุมเพลิงไฟได้จริงๆ!”
“นี่ยังเป็นมนุษย์หรือเปล่า?”
“ปรมาจารย์หลินคนนี้ลี้ลับอย่างยากที่หยั่งถึงจริงๆ! ถึงขนาดเสกเพลิงไฟจากอากาศมาได้!”
พวกลูกพี่ใหญ่ทั้งหลายรวมทั้งควีนจิน ล้วนแต่สีหน้าแตกตื่นตกตะลึง
แม้กระทั่งซูหนันเอง นัยน์ตาที่ดำมืดก็ยังส่องประกายความสงสัย
หลินหยุนสะบัดมือ เปลวเพลิงทั้งสองก็พุ่งเข้าหาซูหนันอย่างรวดเร็ว
ร่างของซูหนันก็เริ่มเผาลุกไหม้ขึ้นมาทันที
“ท่านอาจารย์!” พวกลูกศิษย์สำนักยินซือหลายคน ตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง
สีหน้าหลินหยุนสงบนิ่ง มองดูเปลวเพลิงที่ปกคลุมร่างของซูหนัน เขารู้ว่า เพลิงไฟนี้ถึงแม้สามารถที่จะเผาลูกศิษย์ของซูหนันตายได้ แต่ก็ทำอะไรซูหนันไม่ได้
“ดับ!”
ซูหนันตะโกนเสียงดัง เพลิงไฟที่อยู่รอบตัวก็ถูกพลังชี่แท้ดับมอดไปทันที
“นี่ไม่ใช่เพลิงไฟธรรมดา มิน่าลูกศิษย์ของข้าหลายคนถึงต้องตายด้วยฝีมือของคุณ!”
“ตอนนี้ ให้ฉันได้รู้จักพลังความสามารถที่แท้จริงของคุณบ้าง!”
ร่างของซูหนันหายวับไปกับตา หายไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
หลินหยุนไม่รีบไม่ร้อน ค่อยๆยื่นมือออกไปด้านซ้าย
โป้ง!
ร่างของซูหนันก็ถูกเปิดเผยทันที
หลินหยุนเอามือทั้งสองไขว้หลัง น้ำเสียงเรียบง่ายพูดขึ้นว่า “ความเร็วของคุณใช้กับฉันไม่ได้หรอก”
ซูหนันขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าปรมาจารย์หลินที่อยู่ตรงหน้าคนนี้พลังแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก
“วิชาศพทองแดง!”
ซูหนันตะคอกเสียงต่ำ กลุ่มควันดำพวยพุ่งออกจากร่าง แต่ว่า เขาไม่เหมือนพวกเจ้าสอง เจ้าสามที่แปลงร่างเป็นผีดิบ ก็ยังคงสภาพรูปร่างหน้าตาเดิมไว้
เพียงแต่ว่า นัยน์ตาที่ดำมืดทั้งคู่นั้น ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น แทบจะปล่อยลำแสงสีดำออกมาได้เลย
“หมัดหกประสาน!”
ความเร็วของซูหนันก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง คนธรรมดาทั่วไปพวกนั้นแม้แต่เงาร่างก็แทบจะมองไม่เห็นแล้ว
อีกทั้ง พลังแรงและแนวปกป้องภัยของซูหนัน ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วย
“ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่พอดูเข้าท่าบ้างเสียที”
หลินหยุนเปล่งประกายวิญญาณนักต่อสู้ที่แข็งกล้าออกมาทั่วเรื่องร่าง
ตั้งแต่กลับชาติมาเกิด ยังไม่เคยพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่สามารถทำให้เขาได้สู้อย่างสุดฝีมือเลย
นักแม่นปืนล้วนมาจากการยิงลูกกระสุนบ่อยครั้งจนชำนาญ ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงก็ต้องถูกหล่อหลอมจากการลงแข่งในสนามจริงเสมอ
ถึงแม้จะมีความทรงจำในชาติปางก่อนและประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญตนแล้วก็ตาม แต่ว่าถ้าไม่มีคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือใกล้เคียงในการประมือต่อสู้ด้วย ทำให้การฝึกฝนของหลินหยุนได้รับผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย
คราวนี้ได้มีโอกาสเจอกับซูหนัน หลินหยุนก็สามารถที่จะแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่
เมื่อเห็นซูหนันบุกเข้ามา หลินหยุนก็ไม่ได้ใช้กระบวนท่าใดๆ มุ่งหน้าบุกเข้าไป
ความเร็วของหลินหยุนนั้น เมื่อเทียบกับซูหนันแล้วจะเร็วกว่ากันมาก
ทุกคนในที่นั่นมองเห็นแต่เพียงเงาร่างสีขาวและสีดำสองสาย อยู่ตรงกลางพื้นสนามที่โล่งแจ้ง หมุนวนสลับกันไปมา ภายในหนึ่งวินาทีก็ชกไปสิบกว่าหมัดแล้ว
ร่างของซูหนันถูกโยนลงมาจากกลางอากาศหลายครั้ง แต่วิชาศพทองแดงที่มีพลังปกป้องภัยที่แข็งแกร่งทำให้เขายืนขึ้นมาได้ทันควัน และเข้าสู่การต่อสู้ต่อไปได้อีก
แน่นอนที่ว่า หลินหยุนก็ถูกชกกระเด็นปลิวออกไปถึงสองครั้ง แต่ว่าเขาไม่ได้หยุดเฉย ยังคงต่อสู้กับซูหนันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
การต่อสู้ดำเนินไปเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้ว พื้นดินที่จะแต่เดิมเคยราบเรียบนั้น ถูกทั้งสองคนกระทืบจนเป็นหลุมใหญ่ขนาดเท่าร่างคนสิบกว่าคน
ผู้คนที่อยู่ข้างล่างดูจนอ้าปากตาค้าง นี่มันยังเป็นมนุษย์อยู่เหรอ มันเป็นหุ่นยนต์มนุษย์ชัดๆ!
โป้ง!
หมัดกำปั้นทั้งสองคนปะทะกัน แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
คราวนี้หลินหยุนไม่ได้จู่โจมต่อไป
เสื้อผ้าในร่างกายของหลินหยุนยังคงอยู่ครบถ้วน แต่ว่าสภาพของซูหนันนั้นค่อนข้างยับเยิน เสื้อผ้าถูกฉีกขาดไปหลายแห่ง
หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว กลิ่นอายในร่างกายของหลินหยุนก็ยิ่งเพิ่มความหนักแน่นมากขึ้น
“สะใจมาก! ไม่ได้ต่อสู้อย่างสะใจเช่นนี้มานานแล้ว”
“แต่ว่า นี่ก็ได้เวลาจบสิ้นลงแล้ว”
เสียงของหลินหยุนดังขึ้นอย่างเรียบๆ โบกมือขึ้นอย่างช้าๆ “สิบแปดท่าต้าเต๋า ท่าสยบเขา!”
คราวนี้ ท่าทางของหลินหยุนไม่เร็วนัก ใช้เพียงความเร็วปกติ
แต่ว่า ซูหนันกลับโก่งตัวขึ้น ราวกับเตรียมรับมือศึกอันใหญ่หลวง
“หมัดถล่มค่าย!”
คราวนี้ ท่าทางของซูหนันก็เปลี่ยนเป็นช้าลง กลับคืนสู่ความเร็วปกติ
หมัดทั้งสองปะทะกัน ถือเอากำปั้นของทั้งสองคนสัมผัสกันเป็นจุดศูนย์กลาง ทำให้เกิดพลังงานมหาศาลกระจายไปรอบทิศในพริบตา
พวกลูกพี่ใหญ่และลูกน้องทั้งหลายที่ยืนอยู่แถวหน้า ถูกพลังลมหมัดปะทะเข้าหน้าเกิดอาการปวดแสบร้อน
พื้นดินที่ใต้ขาทั้งสองคนเหยียบอยู่นั้น เกิดรอยแตกร้าวเต็มไปทั่ว จะเห็นได้ว่าพลังแรงของหมัดนี้น่ากลัวเพียงใด
หลินหยุนก็ยังไม่ยอมหยุดเฉย น้ำเสียงที่เรียบง่ายก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ท่าที่ 2 ท่าแยกน้ำ!”
ซูหนันสีหน้าขาวซีด หมัดเมื่อครู่นั้นดูเหมือนทั้งสองฝ่ายเสมอกัน แต่ว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บภายในแล้ว
สำหรับหมัดนี้ เขาไม่มีแรงที่จะต่อต้านได้อีก
โป้ง!
ร่างของซูหนันก็ถูกชกกระเด็นปลิวออกไป
“ท่าที่สาม ค้อนดาวร่วง!”
มีพลังงานก้อนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ฟาดลงมายังซูหนันที่เกือบนั่งอยู่กับพื้นจนจมลงไปใต้พื้นดิน
ลูกศิษย์ของสำนักยินซือหลายคน ตะโกนร้องด้วยความตกใจ “ท่านอาจารย์!”
พวกลูกพี่ใหญ่ของเมืองทางเหนือทั้งสิบ เหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน “ปรมาจารย์หลินชนะแล้วเหรอ?”
“ชนะแล้ว เจ้าสำนักแพ้แล้ว!”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี?”
“ไม่รู้จะทำยังไงดี!”
พวกกลุ่มลูกพี่ใหญ่และลูกน้องปลายแถวของเมืองทางเหนือทั้งสิบทั้งหลาย รู้สึกเศร้าโศกและกังวลใจ เป็นห่วงอนาคตข้างหน้าของตัวเอง
กลุ่มคนพวกควีนจิน ก็รู้สึกโล่งอกได้ในที่สุด
ปรมาจารย์หลินไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเลย ที่สามารถชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้
พวกลูกน้องตัวเล็กตัวน้อยของฝ่ายเมืองทางใต้ทั้งเจ็ด เริ่มส่งเสียงเชียร์ปรมาจารย์หลินกันใหญ่ ราวกับว่าจะชดเชยความผิดที่แสดงกิริยาไม่เหมาะสมกับปรมาจารย์หลินก่อนหน้านี้
“ปรมาจารย์หลินสุดยอดไปเลย!”
“ก่อนหน้านั้นมีใครที่พูดว่าปรมาจารย์หลินเป็นพวกนักต้มตุ๋น เดินออกมาเลย ฉันรับรองว่าจะตีให้ตายเลย!”
“ปรมาจารย์หลินเป็นที่ภาคภูมิใจของพวกเรา เป็นดาวกู้ชีพดวงใหญ่ของพวกเรา! ต่อไปถ้าใครกล้าไม่เคารพปรมาจารย์หลิน ฉันจะกัดให้ตายไปเลย!”
หลินหยุนไม่ได้ไปสนใจเสียงพวกนี้ ยิ้มตรงมุมปากแล้วมองไปยังหลุมใหญ่ที่ถูกร่างของซูหนันตกทับจมลงไป
ราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรอยู่
เมื่อเห็นซูหนันตายแล้ว พวกลูกพี่ใหญ่และลูกน้องฝ่ายเมืองทางเหนือทั้งสิบ ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวขึ้น มีบางคนก็เริ่มแอบวิ่งมาทางหลินหยุนแล้ว
พวกกลุ่มลูกพี่ใหญ่ของเมืองทางเหนือเข้าใจดีว่า ถ้าไม่มีสำนักยินซืออยู่เบื้องหลัง หลินหยุนคิดจะกำจัดพวกเขา มันง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ได้เห็นความเก่งกาจของยอดฝีมือนักบู๊แล้ว ก็ไม่อยากจะพบเจออีก
ดังนั้น จึงต้องรีบยอมแพ้ เพื่อรักษาชีวิตไว้ก่อน
“ปรมาจารย์หลินครับ ช่วยพวกเราด้วยเถิด! ก่อนหน้านี้พวกเราถูกสำนักยินซือบีบบังคับ ทำเรื่องที่ไม่ดีต่อท่านไว้ มันไม่ใช่เกิดจากความสมัครใจของพวกเราเลย ท่านจะต้องให้อภัยพวกเรานะ พวกเราจะยอมสวามิภักดิ์ต่อท่าน ต่อไปนี้จะทำตามคำสั่งทุกอย่างจากท่านเพียงคนเดียว!”
พวกลูกพี่ใหญ่บางคนนำพาลูกน้องตัวเล็กตัวน้อยหลายคนวิ่งเข้ามาหา ด้วยความอัดอั้นตันใจราวกับเป็นพวกสะใภ้ที่ได้กลับบ้านไปหาแม่ตัวเอง
หลินหยุนไม่ได้สนใจพวกนกสองหัวพวกนี้ พูดอย่างเรียบง่ายว่า “ไปอยู่ข้างหลังเถอะ!”
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์หลิน ขอบคุณท่านปรมาจารย์หลินที่ไม่ถือสาหาความกับผู้น้อย!”
กลุ่มคนพวกนี้ก็ดีอกดีใจ เข้าไปอยู่ร่วมค่ายเดียวกับเมืองทางใต้ทั้งเจ็ด
จางกั๋วเหาเห็นเช่นนั้นแล้ว รู้สึกถูกคนอื่นแย่งโอกาสไปก่อนแล้ว
จึงรีบพาลูกน้องวิ่งเข้าไปหาหลินหยุน
ในขณะที่จางกั๋วเหาเดินผ่านหลุมที่ซูหนันพังลงไปนั้น เกิดกลิ่นอายที่น่าสยดสยองแผ่ซ่านออกมา ปกคลุมจางกั๋วเหาไว้ทันที
นั่นคือกลิ่นอายที่สามารถทำให้วิญญาณของคนยังต้องสั่นสะท้านกลัวไปด้วย เต็มไปด้วยความตาย ความโหดร้ายทารุณ!