จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 198 ชัดเจนว่าอยู่กันคนละโลก
พวกหญิงสาวที่ถูกความหล่อเหลาครอบงำนั้นโดนคำพูดดังกล่าวกระหน่ำซ้ำเข้ามาในจิตใจ
“โอ้โหโอ้โห คุณชายกู้หล่อมาก! หล่อบาดใจมากจริง ๆ ! ”
“คุณชายกู้ จัดการเอาชนะเชาให้ได้! ใช้กระบวนท่าเดียวสยบเขาให้ได้! ”
“หลินหยุนไอ้กระจอกที่ไม่ได้เรื่องได้ราว กล้าดีอย่างไรถึงมายั่วยุทำให้คุณชายกู้ของพวกเราโมโห รนหาที่ตายชัด ๆ! ”
กู้ซิวหรั่นตั้งท่าเพื่อเตรียมที่จะเข้าโจมตี และพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “แม้ว่านายจะเป็นเพียงมดในสายตาของข้า แต่ว่า ข้าจะไม่ทำผิดพลาดเหมือนกับหลิ่วซิงแน่นอน การประลองฝีมือกับคู่ต่อสู้ทุกราย ข้าจะตั้งใจมุ่งมั่นอย่างเต็มที่”
ผู้ฝึกสอนพยักหน้าชมเชย “ดีมาก นี่เป็นการตื่นตัวที่นักต่อสู้เก่งกาจทั้งหลายพึงจะมีอย่างแท้จริง! ”
หลินหยุนเอามือไขว้หลัง พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่รำคาญ “อย่าพูดอะไรที่ไร้สาระอีกเลย ให้โอกาสนายออกอาวุธแสดงฝีมือหนึ่งครั้ง หวังว่านายจะทำอย่างดีที่สุด”
“โอหัง! ” กู้ซิวหรั่นเดินขยับออกมาหนึ่งก้าว จากนั้นกระโดดเตะไปยังหลินหยุน ด้วยท่าทางที่สง่างาม และทรงพลังยิ่งนัก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วทรงพลังมากกว่าหลิ่วซิงหลายสิบเท่าตัว
“กู้ซิวหรั่นทรงพลังอย่างยิ่ง เขาคืออันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีจริง ๆ ! หากว่าพลังเตะต่อสู้นี้เตะใส่ตัวข้า นอกจากว่ายอมแพ้ ข้าคงไม่มีวิธีการใดที่จะรับมือกับมันได้อีก” จางซือจู่ตะลึงพร้อมกับแสดงท่าทางที่เลื่อมใส
“หวังว่าหลินหยุนคงจะไม่บาดเจ็บมากนัก! ” หยางเทียนโย่วเริ่มที่จะวิงวอนอธิษฐานต่อเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
พวกเพื่อนนักเรียนต่างพากันตกตะลึงอย่างมาก เพราะกู้ซิวหรั่นไม่ค่อยที่จะตั้งใจแสดงพลังที่แท้จริงในการต่อสู้ออกมา ต่อให้ในการประลองฝีมือ ก็ไม่เคยเห็นเขาจะแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา
แต่ทว่า ในครั้งนี้กู้ซิวหรั่นได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาแล้ว อีกทั้งเริ่มต้นก็ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา แสดงว่าหลินหยุนได้ยั่วยุให้เขาโมโหอย่างหนัก
“ไอ้กระจอกหลินหยุน รนหาที่ตายจริง ๆ ใช่ไหม! สามารถยั่วยุให้กู้ซิวหรั่นโกรธได้ขนาดนี้ เขาคงจะรู้สึกภูมิใจยิ่งนัก! ”
หลินหยุนมองไปที่พลังเตะนี้ของกู้ซิวหรั่น แม้ว่าจะไม่อยู่ในสายตาของเขา แต่ถ้าหากมองในสถานะของการเป็นนักเรียนแล้ว พลังความสามารถของกู้ซิวหรั่นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
แต่น่าเสียดาย หลินหยุนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
แม้ว่ากู้ซิวหรั่นจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง แม้แต่นักบู๊ก็ยังไม่ใช่
ขณะที่พลังเตะของกู้ซิวหรั่นใกล้ที่จะปะทะเข้าที่หน้าอกของหลินหยุน หลินหยุนก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
“หลินหยุน หลบหลีกไปสิ! ” ไอ้หินกล่าวเตือนเสียงดัง
“ฮ่าฮ่า ไอ้กระจอกหลินหยุน คงจะตกใจกับพลังเตะที่ทรงพลังของกู้ซิวหรั่นจนถึงกับบ้าไปเลยทีเดียว! ”
“ใช่เลยใช่เลย นายดูเขาสิขนาดจะหลบหลีกก็ยังหลงลืมไปเลย”
เพื่อนนักเรียนต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ย
เกือบทุกคนต่างพากันยิ้มเยาะเย้ยดีใจไปกับความโชคร้ายที่จะเกิดขึ้นกับเขา แม้แต่ผู้ฝึกสอนเองก็แสดงท่าทางที่ดูถูกเหยียดหยามออกมาเช่นกัน
“นึกว่าไอ้หนุ่มนี้จะปกปิดพลังที่เก่งกาจเอาไว้ แต่ที่ไหนได้ก็มีเพียงที่ปรากฏให้เห็นเท่านี้ เมื่อครู่ที่เขาเอาชนะหลิ่วซิงได้ในหมัดเดียว ดูเหมือนว่าเป็นหลิ่วซิงจะประมาทไปเอง”
เกือบทุกคนต่างคิดว่าหลินหยุนจะพบกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน และก็ต้องถูกพลังเตะของกู้ซิวหรั่นทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลินหยุนรอจนพลังเตะของกู้ซิวหรั่นเข้าใกล้หน้าอกในระยะประมาณหนึ่งคืบ เขาก็ปล่อยหมัดใส่โดยทันที
“ฮ่าฮ่า ไอ้กระจอกนี้ เขากล้าที่จะใช้หมัดไปรองรับพลังเตะของคุณชายกู้ อยากตายนักหรือไง! ”
“ไอ้โง่เง่าหลินหยุน คงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเอาเสียแล้ว”
แต่ว่า ไม่ทันไร สีหน้าท่าทางที่ยิ้มเยาะเหยียดหยามของเพื่อนนักเรียนต่างก็แข็งทื่ออย่างกะทันหัน
เมื่อหมัดของหลินหยุนปะทะเข้ากับพลังเตะที่แข็งแกร่งของกู้ซิวหรั่นนั้น กู้ซิวหรั่นได้ร้องตะโกนขึ้น แล้วก็กระเด็นลอยไปไกล
ขนาดที่ว่า ร่างกายของกู้ซิวหรั่น กระเด็นลอยข้ามทุกคนไป กระทบเข้ากับที่กำแพงของโรงยิมเนเซียม
เงียบสงบกันไปทั้งโรงยิม!
ทุกคนต่างตะลึงกันไปหมด!
กำแพงนั้นอยู่ห่างจากตำแหน่งของหลินหยุนกับกู้ซิวหรั่น ประมาณสิบกว่าเมตร พละกำลังมากขนาดไหนเชียว ที่จะสามารถชกให้คนตัวเป็น ๆ กระเด็นลอยไปไกลถึงสิบกว่าเมตรได้!
นี่มันถึงขนาดลบล้างความรู้ความเข้าใจของเพื่อนนักเรียนทั้งหมด
“นี่มัน นี่มันเป็นไปได้อย่างไร! ”
“กู้ซิวหรั่นคงไม่ได้ร่วมสมคบคิดกันกับหลินยุนใช่ไหม? พละกำลังของคนเพียงคนเดียว ทำไมถึงยิ่งใหญ่รุนแรงมากถึงเพียงนี้! ”
“นี่มันไม่ตรงตามหลักความเป็นจริง! ”
ทุกคนที่ตื่นขึ้นจากอาการตกตะลึง ต่างเอะอะโวยวายกันยกใหญ่ แต่ละคนร้องตะโกนดังลั่น อยู่ในอาการตื่นเต้นอย่างที่สุด
“คุณชายกู้! ” หวางหยู่หันรีบวิ่งเข้าไปหา ประคองกู้ซิวหรั่นขึ้น และถามด้วยความกังวล “คุณชายกู้ คุณเป็นอย่างไรบ้าง? จะไปโรงพยาบาลไหม? ”
กู้ซิวหรั่นเงียบไม่เอ่ยปากพูด แล้วมองไปที่หลินหยุนด้วยความหวาดวิตก เหมือนกับว่ามองเห็นสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
หวางหยู่หันทนไม่ไหวอยากที่จะสังหารหลินหยุน เป็นเพราะหลินหยุนได้ทำร้ายให้เจ้าชายขี่ม้าขาวในใจเธอได้รับบาดเจ็บ
“หลินหยุน แกมันไอ้เดรัจฉาน แกกล้าที่จะลงมือทำร้ายคุณชายกู้จนบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้! ”
หลินหยุนไม่ต้องการที่จะสนใจหวางหยู่หัน แล้วมองไปที่กู้ซิวหรั่นอย่างเงียบ ๆ โดยที่ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกและพูดว่า “ไอ้กระจอก! ”
“แต่ว่า นายมีคำพูดหนึ่งที่กล่าวได้อย่างถูกต้อง ข้ากับนายคือคนที่อยู่กันคนละโลกจริง ๆ ตลอดทั้งชีวิตของนายคงทำได้เพียงแหงนมองเลื่อมใสในตัวของข้าเท่านั้น”
ฟู่วว!
กู้ซิวหรั่นกระอักเลือดออกมา
“คุณชายกู้ คุณชายกู้! มาช่วยกันเร็ว รีบมาช่วยกันนำตัวคุณชายกู้ส่งโรงพยาบาล! ” หวางหยู่หันร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เป็นไร!” กู้ซิวหรั่นพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หลินหยุนไม่ได้ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส เพียงแต่กระทบกระเทือนไปองคชาตของเขา แม้ว่าร่างกายของกู้ซิวหรั่นจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ต่อไปเขาไม่สามารถที่จะมีทายาทสืบสกุลได้อีกแล้ว
“คุณไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหม? คุณกระอักเลือดออกมาขนาดนี้แล้ว! ” หวางหยู่หันพูดขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดใจ
“ฉันบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร คุณไม่ได้ยินหรอกเหรอ! ” กู้ซิวหรั่นกำลังโมโหอย่างหนัก หวางหยู่หันจึงกลายเป็นที่ระบายความโมโห
แต่ทว่า หวางหยู่หันกลับไม่ได้โกรธเคือง กลับนำความโกรธที่กู้ซิวหรั่นดุด่าว่ากล่าวเธอนั้น มาโทษใส่ที่หลินหยุนแทน
“หลินหยุน ต้องโทษที่ตัวแก! ทำให้ผู้ที่สง่างามอย่างคุณชายกู้ต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าหากไม่ใช่แก คุณชายกู้ไม่มีทางที่จะตวาดใส่ฉันเป็นแน่! ”
จางซือจู่และคนอื่น ๆ เพิ่งจะได้สติกลับคืนกันมา
“นี่มันอะไรกัน สิบแปดมงกุฎ เมื่อครู่ใครบอกว่าฉันกำลังฝันไป! แม้ว่าข้ากำลังฝัน แต่ความฝันนั้นก็เป็นจริงแล้ว! ฮ่าฮ่า……”
“คงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ดลบันดาลให้เป็นความจริง ขอบคุณพระโพธิสัตว์ ขอบคุณเทวดาทั้งหลายที่อยู่ทั่วทุกแห่งหนที่ได้ยินคำวิงวอนอธิษฐานของข้า……” สิบแปดมงกุฎเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาที่ไม่มีคุณสมบัติพร้อมเพรียงสักเท่าไหร่ ซึ่งหากต้องการที่จะแก้คำบนบาน อย่างน้อยจะต้องจัดเตรียมเครื่องไหว้บูชามาบ้าง!
เถียนชุ่ยชุ่ยมีใบหน้าท่าทางที่ท้อแท้ขึ้นทันที จิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “หลินหยุน สามารถเอาชนะกู้ซิวหรั่นได้! เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน! ”
“หรือว่า หลินหยุนที่ไร้ความสามารถผู้นั้นหลอกลวงฉันมาโดยตลอด ที่จริงแล้วเขามีฝีมือเก่งกาจมาก? ครั้งนี้ กลายเป็นเถียนชุ่ยชุ่ยที่เกิดความคลางแคลงใจขึ้นบ้าง”
ครั้งก่อนหลินหยุนไปที่อิมพีเรียลคอร์ท เธอได้ยินมาว่าเป็นเพราะหลินหยุนถูกรางวัลลอตเตอรี่
แต่ว่า พื้นฐานวิชาต่อสู้ไม่ใช่ว่าจะฝึกฝนโดยใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืน นอกเสียจากหลินหยุนไม่แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา มิเช่นนั้น จะอธิบายได้อย่างไรถึงพลังความสามารถของหลินหยุนที่ได้ปรากฏออกมา?
จางเหมิงก็ตกใจจนแทบบ้าไปเลย แต่ว่าจางเหมิงไม่เคยให้ความสนใจในประเด็นนี้มาก่อนที่ เพียงไม่นานจางเหมิงก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ไอ้คนที่ไร้ความสามารถอย่างนี้ กลับทำให้ทุกคนตกตะลึงได้จริง ๆ ด้วย! แต่ว่ามีความสามารถเอาชนะได้ แล้วยังไงกันล่ะ? คนที่ไร้ความสามารถไม่ได้เรื่องก็ยังคงเป็นคนไร้ความสามารถไม่ได้เรื่องอยู่วันยังค่ำ! ”
“อย่างไรก็สู้เหยียนเสวเหวินของฉันที่เก่งกาจที่สุดไม่ได้ แม้แต่บุคคลอย่างปรมาจารย์หลินก็ยังรู้จัก แบบนี้สิจึงจะเรียกว่าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ”
แท้ที่จริงแล้ว ที่น่าตกใจที่สุดก็คงจะเป็นผู้ฝึกสอน
โดยแก่นแท้ ผู้ที่มีความสามารถเก่งกาจมากเท่าไหร่ ยิ่งจะเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าพละกำลังของหลินหยุนเมื่อสักครู่นี้นั้นน่าเกรงกลัวขนาดไหน!
โดยสามารถที่จะชกคนกระเด็นลอยไปไกลสิบกว่าเมตรได้ นั่นต้องใช้พละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ดังนั้น ผู้ฝึกสอนเข้าใจได้อย่างดีว่า หมัดของหลินหยุนนั้นมีพลังมหาศาลมากเพียงใด!
“ไอ้หนุ่มน้อยผู้นี้ สามารถทำมันได้อย่างไรกัน! ” ผู้ฝึกสอนถามขึ้นกับตนเอง ต่อให้เขาฝึกฝนทั้งชีวิต ก็ยังไม่สามารถทำมันได้
สายตาของหลินหยุน ค่อย ๆ หันมามองที่ผู้ฝึกสอน เขาไม่เคยหลงลืมว่าก่อนหน้านี้ผู้ฝึกสอนเอาใจลำเลียงต่อหลิ่วซิงมากขนาดไหน
“ถึงคราวของท่านแล้ว” หลินหยุนอยู่ในสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก และกล่าวสามคำนี้ขึ้นอย่างเฉยเมย ลักษณะท่าทางนั้นเหมือนกับว่าไม่ได้เห็นผู้ฝึกสอนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
เพื่อนนักเรียนทั้งหมดต่างพากันตกตะลึง เมื่อครู่ผู้ฝึกสอนได้พูดไว้ว่าหากกู้ซิวหรั่นพ่ายแพ้ เขาก็จะเป็นคนสั่งสอนหลินหยุนด้วยตนเอง
ขณะนี้ หลินหยุนเป็นฝ่ายที่ขอท้าประลองกับผู้ฝึกสอน
เพื่อนนักเรียนต่างเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่
“เขาจะต่อสู้กับผู้ฝึกสอนจริง ๆ เหรอ! ไอ้เด็กคนนี้มันบ้าไปแล้วใช่ไหม? ”
“หยิ่งผยองแล้ว หยิ่งผยองเกินไปแล้ว นึกว่าเอาชนะกู้ซิวหรั่นและหลิ่วซิงได้ แม้แต่ผู้ฝึกสอนก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาแล้ว”
“หลินหยุนหลงระเริงเกินไปแล้วจริง ๆ ! ”
จางซือจู่ยังไม่ทันได้แสดงความดีใจกับหลินหยุน จากนั้นความดีใจก็กลายเป็นความตกใจไปเสียแล้ว
“สิบแปดมงกุฎ ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม! หลินหยุนจะท้าประลองกับผู้ฝึกสอน? ”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก ข้าก็ได้ยินเช่นนั้นจริง ๆ ” หยางเทียนโย่วก็มีสีหน้าที่อึ้งไปเลยเช่นกัน
“ผู้ฝึกสอน นั่นคือผู้ฝึกสอนเลยนะ! แม้หลิ่วซิงจะเก่งกาจ กู้ซิวหรั่นก็เก่งกาจยิ่งกว่า แต่เมื่อมาเปรียบเทียบกับผู้ฝึกสอนแล้ว พวกเขามันคนละรุ่นกัน! หลินหยุนบ้าไปแล้วใช่ไหม? ” จางซือจู่มีสีหน้าท่าทางที่ไม่อยากจะเชื่อ