จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 242 เดินทางไปมณฑลจงโจว
เทพฟ้าผ่าและอีกหลายคนก็มองไปที่หลินหยุนอย่างเป็นกังวล เกรงว่าเขาจะใจอ่อน แล้วจะโดนเถียนชุ่ยชุ่ยหลอกลวงอีกครั้ง
เพราะว่า หลินหยุนเคยโดนหลอกลวงมาแล้วกว่าสองปี มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
หลินหยุนมองไปยังหยางหยิง: “วันนี้ขอขอบคุณมากที่ช่วยฉันแก้ไขสถานการณ์คับขัน ต้องการจะให้ฉันทำอย่างไร คุณก็พูดมาเถอะ! ”
หยางหยิงพูดขึ้นอย่างถ่อมตัวว่า: “คุณหลินมีพระคุณกับฉัน เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ไม่สมควรที่จะพูดถึงเลย? ฉันกล้าดีอย่างไรที่จะนำเรื่องนี้เพื่อไปขอร้องคุณหลินได้ล่ะ? ”
“ถ้าต่อไปต้องการแสดงบทบาทอะไร ก็บอกกับฉันมาได้เลย ฉันจะจัดการให้ รับรองว่าคุณหลินต้องพอใจอย่างแน่นอน! ”
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย: “ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัวไปก่อนแล้วกัน”
“คุณหลินรอก่อนสักครู่! ” หยางหยิงรีบพูดขึ้น: “ฉันมีเรื่องบางเรื่อง ที่จะต้องการขอความช่วยเหลือจากคุณหลิน”
“ที่นี่ไม่เหมาะสมในการพูดคุย ขอเชิญคุณหลินไปที่ห้องพักผ่อนกับฉันสักครู่จะได้ไหม? ”
หลินหยุนมองไปที่อีหลิงกับพวกพ้อง พูดขึ้นว่า: “พวกคุณกลับไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวสักครู่ฉันก็จะตามกลับไป”
“งั้นคุณก็ระมัดระวังหน่อยแล้วกัน! ” อีหลิงพูดกำชับไว้
“อืม”
หลินหยุนเดินตามหยางหยิงออกไป โดยที่ไม่สนใจอะไรกับเถียนชุ่ยชุ่ยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอเป็นเพียงแค่อากาศ ไม่มีตัวตน
ใบหน้าอันสวยงามของเถียนชุ่ยชุ่ยแดงก่ำเป็นแถบ เธอเป็นถึงดาวประจำมหาวิทยาลัยสำรองของ สถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจว เดินไปไหนมาไหนก็เป็นจุดสนใจ ซึ่งไม่เคยได้รับการมองข้ามดูถูกแบบนี้มาก่อน!
สำหรับเถียนชุ่ยชุ่ยแล้วการถูกมองข้ามในครั้งนี้ รุนแรงโหดร้ายมากกว่าการทุบตีเธอ ดุด่าเธอเสียอีก
จางซือจู่มองไปที่เถียนชุ่ยชุ่ยด้วยความเหยียดหยาม ใบหน้าแสดงออกถึงรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างเปิดเผย
เทพฟ้าผ่ากับพวกพ้องก็เช่นกัน มองเถียนชุ่ยชุ่ยเป็นเพียงแค่ตัวตลก
“พวกเรากลับไปรอหลินหยุนกันเถอะ! คิดไม่ถึงว่าจะผ่านการคัดเลือกรอบแรกในลักษณะเช่นนี้ พวกเราคงจะต้องแสดงความขอบคุณต่อใครบางคนด้วยจริง ๆ”
จางซือจู่พูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่ยียวน
“จริงด้วยสิ ถ้าหากไม่มีพวกเขามาสร้างความวุ่นวาย จากลักษณะนิสัยของหลินหยุนแล้ว บางทีอาจจะไม่ใช้เส้นสายความสัมพันธ์ของหยางหยิงเลยก็ได้ ถือว่าเป็นทุกขลาภของพวกเรา ซึ่งต้องขอบคุณกู้ซิวหรั่นพวกเขาเป็นอย่างมาก” เทพฟ้าผ่าพูดขึ้น
“ฮ่าฮ่า ไอ้พวกที่เห็นแก่ตัวเห็นว่าตนเองแน่ ดูถูกพวกที่ไม่มีความสามารถอย่างพวกเรา ไม่มีความสามารถแล้วจะทำไม? พวกเขาคิดวางแผนกลอุบายมากมาย แต่สุดท้ายก็เป็นการปูทางให้กับพวกที่ไม่มีความสามารถอย่างพวกเรา! ”
พวกเขาเดินไปพลางพูดไปพลาง เสียงพูดคุยดังไปเข้าหูของกู้ซิวหรั่นและพวกพ้อง กู้ซิวหรั่นโมโหอย่างหนักจนหน้าเขียว
“ฮึ หลินหยุน หยางหยิง คอยดูต่อไปก็แล้วกัน! ” กู้ซิวหรั่นสีหน้าหม่นหมอง จากนั้นก็หันไปมองเถียนชุ่ยชุ่ยด้วยความเย็นชา
เถียนชุ่ยชุ่ยสังเกตเห็นแววตาของกู้ซิวหรั่น จึงตื่นตระหนกขึ้นโดยพลัน: “คุณชายกู้ คุณ คุณอย่าใส่ใจไปเลย เมื่อครู่ฉันเพียงต้องการพยายาม ที่จะหลอกลวงหลินหยุนไอ้คนที่ไม่ได้เรื่องได้ราวดูอีกสักครั้ง โดยนึกไม่ถึงว่าไอ้นั่นจะเปลี่ยนไปเป็นจนมีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนี้! ”
กู้ซิวหรั่นหัวเราะเหอะๆ แล้วก็หันหลังเดินจากไป เถียนชุ่ยชุ่ยโดนเขาขึ้นบัญชีดำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
หวางหยู่หันยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้นว่า: “แกนี่มันขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ จะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังทำเป็นว่าตัวเองฉลาด? เป็นไงตอนนี้ขนาดคุณชายกู้ก็ยังล่วงเกินเข้าแล้ว ต่อไปแกคงจะลำบากน่าดูเลย”
จางเหมิงก็มองไปที่เถียนชุ่ยชุ่ยเช่นกัน แล้วก็หัวเราะเยาะ จากนั้นก็เดินจากไปพร้อมกันกับเหยียนเสวเหวิน
แววตาที่เสิ่นหย่งมองไปยังเถียนชุ่ยชุ่ย ก็แสดงออกถึงความเหยียดหยาม โดยก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่เมื่อรู้จักใกล้ชิดมากขึ้น เขาพบว่าเถียนชุ่ยชุ่ยนั้นเป็นคนโง่เขลาที่ไม่มองการณ์ไกล
เสิ่นหย่งแอบตัดสินใจว่า เมื่อได้ครอบครองเถียนชุ่ยชุ่ยแล้ว เวลาผ่านพ้นไปสักพัก ก็จะรีบทิ้งหญิงสาวสวยผู้นี้ทันที
“ช่างมันเถอะชุ่ยชุ่ย พวกเราไปกันเถอะ! ”
เถียนชุ่ยชุ่ยพุ่งเข้าไปยังอ้อมอกของเสิ่นหย่ง: “พี่หย่ง พวกเขาต่างรังแกฉัน ฉันเหลือเพียงแค่คุณคนเดียวแล้ว! คุณห้ามรังแกทำให้ฉันเสียใจอีกเป็นอันขาดนะ”
เสิ่นหย่งมีแววตาที่ร้อนผ่าวขึ้นแวบหนึ่ง ค่อย ๆ ลูบเบา ๆ ไปที่แผ่นหลังของเถียนชุ่ยชุ่ย พูดปลอบใจว่า: “เด็กโง่ ฉันจะเป็นที่พักพิงให้กับคุณตลอดไป”
เถียนชุ่ยชุ่ยสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจ: “หลินหยุน ไม่วันใดก็วันหนึ่งฉันจะทำให้นายคุกเข่าลงเพื่อขอร้องฉัน! ”
ในห้องพักของหยางหยิง เฉินซีเฟิ่งผู้จัดการนักแสดงได้เดินออกไปด้านนอกแล้ว เหลือเพียงหยางหยิงกับหลินหยุนแค่สองคน
“เชิญดื่มน้ำชา! ” หยางหยิงรินน้ำชาให้หลินหยุนด้วยตนเอง โดยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของหลินหยุน
หลินหยุนรับแก้วน้ำชา จิบดื่มคำหนึ่ง มองไปที่หยางหยิงแล้วพูดว่า: “ต้องการให้ฉันช่วยเหลืออะไร ก็พูดมาสิ? ”
หยางหยิงพูดว่า: “คุณหลิน คุณทราบดีว่าตระกูลของฉันธรรมดาทั่วไป ที่ฉันสามารถมีวันนี้ได้ ก็เพราะการอบรมสั่งสอนจากอาจารย์ผู้มีพระคุณ ดังนั้น ฉันขอบคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณเป็นอย่างมาก! ”
“ตั้งแต่ครั้งก่อนที่คุณช่วยรักษาอาการป่วยของแม่ของฉัน ฉันก็เลยนำเรื่องราวของคุณเล่าให้กับอาจารย์ผู้มีพระคุณฟัง ซึ่งอาจารย์ผู้มีพระคุณได้ยินแล้วตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หวังที่จะได้พบเจอกับคุณสักครั้ง”
“แต่ว่า ตอนที่พวกเราแยกย้ายจากกันไปนั้น ฉันได้ให้เบอร์โทรติดต่อไว้กับคุณ แต่คุณไม่เคยได้ติดต่อกลับมาหาเลยสักครั้ง ฉันรอคุณโทรศัพท์มาหาโดยตลอด จนวันนี้ในที่สุดก็ได้พบเจอกับคุณ”
หลินหยุนถามขึ้นว่า: “อาจารย์ผู้มีพระคุณของคุณป่วยเป็นโรคอะไรเหรอ? ”
หยางหยิงพูดว่า: “อาการป่วยของอาจารย์ผู้มีพระคุณนั้น แม้ว่าจะเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากมายจากทั้งในและต่างประเทศ ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ เพียงแค่คาดเดาว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท”
“เขาอยู่ที่ไหน พาฉันไปพบเขาหน่อย” หลินหยุนกล่าว
“ฉันขอโทรศัพท์ไปหาอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉันก่อน เขาอยู่ที่มณฑลจงโจว” หยางหยิงหยิบโทรศัพท์ออกมา และก็ได้ทำการโทรติดต่อไป
“อาจารย์ผู้มีพระคุณอยู่ที่บ้าน ถ้าหากว่าคุณหลินสะดวก ฉันก็จะจองตั๋วรถไฟความเร็วสูงไปยังมณฑลจงโจว” หยางหยิงเหมือนจะเกรงว่าหลินหยุนจะกลับคำพูดอย่างไรอย่างนั้น
มณฑลจงโจว……
แววตาของหลินหยุนปรากฏภาพความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิตของเขา
ที่นั่นมีคนในครอบครัวของเขา และก็มีศัตรูคู่แค้นที่ฉกาจที่สุดของเขาอยู่ด้วย
“เกิดใหม่มาตั้งนานแล้ว ก็สมควรที่จะกลับไปเยี่ยมชมได้บ้างแล้ว ตระกูลส้ง เวลานี้ก็น่าจะยังเป็นผู้มีอิทธิพลประจำมณฑลจงโจวอยู่”
หลินหยุนตอบกลับว่า: “ตกลง”
……
มณฑลจงโจว เขตเศรษฐกิจพิเศษประเทศจีน แหล่งรวมผู้มีอิทธิพลอำนาจและเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวย ซึ่งถือว่าเป็นดินแดนแห่งผู้คนที่เก่งกาจมีความสามารถอย่างแท้จริง
ณ คฤหาสน์สองชั้นครึ่งแห่งหนึ่งแถบชานเมืองของมณฑลจงโจว
ที่นี่ ก็คือบ้านของคุณเสี้ยงผู้ลึกลับผู้นั้น
ช่วงเวลาบ่ายสี่โมง หลินหยุนกับหยางหยิงก็มาถึง
ผู้ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำ ที่มีรูปลักษณ์สง่างามผู้หนึ่ง พาลูกน้องจำนวนหนึ่ง มารอต้อนรับหลินหยุนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า
เมื่อเห็นคนผู้นั้น หยางหยิงที่เพิ่งลงจากรถก็รีบคำนับแสดงความเคารพในทันที: “โจวต่ง ท่านออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยเหรอ! ”
พูดไปพลาง ก็แนะนำให้หลินหยุนไปพลาง: “คุณหลิน ท่านนี้คือโจวต่ง คือผู้ช่วยที่เยี่ยมยอดที่สุดของอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉัน! ”
โจวต่งไม่ได้จับมือทักทายกับหลินหยุน แต่ทำการคำนับแสดงความเคารพ: “ได้ยินชื่อเสียงและเคารพเลื่อมใสในตัวท่านมานาน! ”
หลินหยุนเพียงแค่พยักหน้า ก็แสดงถึงการทักทายตอบรับ
โจวต่งมีสีหน้าท่าทางที่เป็นปกติ แต่ว่าวัยรุ่นหลายคนที่อยู่ด้านหลังของโจวต่งนั้น สีหน้ากลับดูเฉยชา
หยางหยิงมีสีหน้าท่าทางที่พะอืดพะอมแวบหนึ่ง ซึ่งพฤติกรรมของหลินหยุนนี้ ไม่มีมารยาทเอาเสียมาก
“โจวต่ง คุณหลินมีอุปนิสัยที่เงียบเชียบ ไม่ชอบพิธีรีตองอะไรมากมาย ท่านอย่าได้ถือสาเอาความใด ๆ เลย! ”
โจวต่งยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า: “ไม่เป็นไร ผู้ที่มีเก่งกาจมีความสามารถที่แท้จริง ต่างก็มีอุปนิสัยเฉพาะตัวด้วยกันทั้งนั้น! ”
“คุณหลิน เชิญเข้าด้านใน! ”
โจวต่งนำหลินหยุนและหยางหยิงเข้ามาด้านใน หยางหยิงได้ถามขึ้นว่า: “ใช่แล้ว ช่วงนี้อาจารย์ผู้มีพระคุณสบายดีไหมเป็นอย่างไรบ้าง? ”
โจวต่งเดินนำอยู่ด้านหน้า พูดตอบว่า: “ก็ยังดีอยู่ แต่ว่าทุกครั้งที่อาการป่วยกำเริบ จะยืดเวลานานขึ้น และยิ่งทรุดหนักมากขึ้นกว่าเดิม”
เข้ามาถึงห้องรับแขก ห้องแรกที่อยู่ด้านซ้ายมือ
ประตูห้องสีแดงมารูนกำลังปิดอยู่ โจวต่งเดินมายังด้านหน้าประตู แล้วกระซิบเรียก: “นายท่าน หยางหยิงได้พาหมอเทพหลินมาแล้ว! ”
ภายในห้อง มีเสียงที่แก่หง่อมดังผ่านออกมา ฟังแล้วดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงอย่างมาก: “อ้อ รีบเชิญเข้าด้านใน! ”
โจวต่งแสดงสัญญาณมือเพื่อเชิญหลินหยุน: “หมอเทพหลิน เชิญ! ”
หยางหยิงก็เดินตามหลินหยุนเข้ามาในห้องด้วย ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย ด้วยรูปแบบโทนสีเข้ม ทึบแสง ทั่วทั้งห้องมีบรรยากาศที่ค่อนข้างอึมครึมน่าสะพรึงกลัว
คนธรรมดาทั่วไปเข้ามาด้านใน จะรู้สึกไม่ค่อยสบาย ด้านหลังบริเวณต้นคอเหมือนกับว่ามีลมเย็นพัดโชยอยู่เป็นระยะ
บนเตียงขนาดใหญ่ มีคนชราผู้หนึ่งนอนอยู่ ผมสีขาว มองดูร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงและเคลื่อนไหวไม่สะดวก เหมือนกับว่าใกล้จะสิ้นอายุขัยเต็มทนแล้ว
แต่ว่า ดวงตาของคนชราผู้นี้กลับเป็นประกายอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งค่อนข้างจะแปลกประหลาด
“อาจารย์ผู้มีพระคุณ ฉันได้พาหมอเทพหลินมาแล้ว! ท่านอาการดีขึ้นบ้างไหม? มองเห็นคนชราผู้นี้ หยางหยิงดวงตาแดงก่ำ น้ำตารินไหลออกมา”
“หมอเทพหลิน ได้ยินชื่อเสียงและเคารพเลื่อมใสในตัวท่านมานาน ขออภัยด้วยที่ข้าผู้อาวุโสไม่สามารถทักทายแสดงความเคารพได้! ” คนชราพูดเพียงคำเดียว ก็หืดหอบเป็นอย่างมาก
แต่ว่า คำพูดของคนชราผู้นี้เรียบง่ายชัดเจน เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเด็ดเดี่ยว เผยให้เห็นถึงท่าทางของระดับผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ
หลินหยุนพบเห็นคนชราผู้นี้ครั้งแรก ก็ไม่ได้ขยับเคลื่อนย้ายสายตาไปไหนอีก สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดพิจารณา