จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 276 กล้าเดิมพันกันไหม
ทุกคนในห้องโถงมองไปยังหลินหยุน พร้อมกับหัวเราะเยาะเย้ยออกมา
คุณชายหลี่กับพวกลูกเศรษฐีที่เคยพบเจอกับหลินหยุนมาก่อนในการประชุมสุดยอดขนาดเล็กนั้น ยิ่งแสดงท่าทางหัวเราะเย้ยหยันกันอย่างยกใหญ่: “ฉันไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม นี่มันไม่ใช่บอดี้การ์ดข้างกายของฉินหลันผู้นั้นหรอกเหรอ? ”
“ตอนนี้เขาแสดงตัวออกมาก็เพื่อคิดที่จะช่วยกอบกู้บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปอย่างนั้นเหรอ? ”
“คุณชายหยาง อย่าล้อเล่นกันหน่อยเลย เวลานี้ที่เขาออกหน้าแสดงตัวออกมา นอกจากว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เหตุผลอย่างอื่นก็คงจะเป็นไปไม่ได้! ”
“ฮ่าฮ่า ฉันก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว! หวางซูเฟินใช้ทั้งบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปเป็นเหยื่อล่อ แต่ก็ไม่มีใครที่จะกล้าออกหน้าแสดงตัวออกมา นึกไม่ถึงว่าเขาที่เป็นเพียงบอดี้การ์ดกระจอกคนหนึ่งจะกล้าอวดดีขนาดนี้ รนหาที่ตายชัด ๆ! ”
เหยียนรุ่ยเหวินก็ไม่ต้องการปิดบังอะไรต่อไปอีก จึงเข้าไปยืนอยู่ด้านข้างของเหยียนต้าวหมิงผู้ซึ่งเป็นพ่อของเขา พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ร้ายกาจ: “ไอ้หนุ่มหลินหยุน เวลานี้แล้วยังกล้าที่จะทำเป็นอวดดีออกหน้าอยู่อีกหรือไง หลงระเริงในตัวเองจริง ๆ สมควรตาย! ”
ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบ หวางซูเฟินกับฉินหลันก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลินหยุน
หวางซูเฟินขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปที่ฉินหลันและหัวเราะอย่างขมขื่น: “คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า ภายใต้สถานการณ์วิกฤตที่คับขันนี้ กลับเป็นบอดี้การ์ดหนุ่มผู้นี้ที่คุณว่าจ้างมาซึ่งเขาก็ยังกล้าที่จะยืนอยู่เป็นพวกเดียวกันกับพวกเราอีก! ”
“เด็กน้อย วัยรุ่นมีจิตใจที่แข็งแกร่งไม่เกรงกลัวนั้น ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ ทุกอย่างต้องกระทำเท่าที่จะกระทำได้ มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นการโอ้อวดเกินไป! ”
“กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่นายควรจะมา! นายเป็นแค่บอดี้การ์ดที่ฉินหลันว่าจ้างมาชั่วคราวเท่านั้น เรื่องของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายเลย! ”
คนที่ใกล้จะถึงความตาย คำพูดของเขาล้วนจริงใจและจริงจัง โดยในวันนี้บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปหมดสิ้นหนทางแล้ว ถ้าหากตอนนี้หลินหยุนจะยังมาแสดงออกว่ามีความเกี่ยวพันกับบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปอีก ทางตระกูลส้งก็จะเหมารวมว่าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปอย่างแน่นอน ซึ่ง หวางซูเฟินไม่ต้องการที่จะให้เขาเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องด้วย
ฉินหลันมองไปที่หลินหยุน ใบหน้าที่งดงามแสดงออกถึงท่าทางที่ปลาบปลื้ม: “หลินหยุน ขอบคุณนายมากที่ในเวลานี้ยังออกหน้าแสดงตัวออกมา! แต่ว่า เมื่อวานพวกเรานั้นได้ยกเลิกสัมพันธ์การว่าจ้างกันเป็นที่เรียบร้อย นายกับบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกันตั้งนานแล้ว! ”
“รีบไปเถอะ! ” ซึ่งคำพูดสุดท้ายนี้ น้ำเสียงของฉินหลันออกอาการรีบร้อน
แววตาที่ลึกซึ้งทั้งสองข้างของหลินหยุน จ้องมองไปที่หวางซูเฟินกับฉินหลัน ซึ่งนี่คือหนึ่งในญาติพี่น้องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
มองเห็นอาการที่หมดหวังของทั้งสองคน ต่อให้จิตใจที่แข็งกร้าวของเขานั้น ก็ยังหวั่นไหวโดยไม่สามารถควบคุมไว้ได้
หากไม่ใช่ต้องการที่จะดูว่าคุณแม่มีแผนการอะไรอยู่เบื้องหลังอีกหรือไม่ หลินหยุนก็คงจะไม่ปล่อยให้พวกเธอต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้
“ประธานกรรมการหวาง พี่ฉินหลัน พวกคุณวางใจได้ มีฉันอยู่ ไม่มีใครสามารถแตะต้องบริษัทตงหวาง กรุ๊ปได้อย่างเด็ดขาด” น้ำเสียงของหลินหยุนเต็มไปด้วยความมั่นใจที่ล้นเหลือ
“ฮ่าฮ่า น่าขันสิ้นดี! นายมันก็แค่บอดี้การ์ดกระจอกคนหนึ่ง ยังกล้าที่จะพูดโอ้อวดสามหาวในการประชุมสุดยอดจงโจวนี้! บริเวณโดยรอบมีผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมายจากทั้งในจงโจวและจาก แต่ละมณฑลที่ใกล้เคียง ก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะพูดออกมาอย่างนี้ นายเป็นแค่บอดี้การ์ดต่ำต้อยคนหนึ่ง นายคิดว่านายเป็นใครกันวะ! ”
หลิวเหอหมิงที่อยู่ในโต๊ะเบอร์หนึ่ง ตะโกนพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางเหยียดหยาม
เมื่อครู่เขาพึงพอใจกับเงื่อนไขที่ทางหวางซูเฟินได้เสนอขึ้นเอาไว้แล้ว โดยเขาไม่ทราบว่าส้งหัวอันพอจะรับรู้ได้บ้างหรือไม่ ตอนนี้ เขาจึงต้องการที่จะแสดงออกต่อเบื้องหน้าของส้งหัวอัน
“ไอ้หนุ่มน้อย หลงระเริงเสียจริงเชียว! ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครมาจากตระกูลไหน พ่อแม่ของเขาไม่เคยอบรมสั่งสอนบ้างเลยหรืออย่างไร! ”
“เด็กที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้ จะถูกคนลงมือทำร้ายจนตายได้โดยง่ายไม่รู้บ้างเหรอ! ”
“เหอะๆ อายุน้อยมีความคึกคะนอง แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ให้ชัดเจนเสียบ้าง บอดี้การ์ดกระจอกคนหนึ่ง กล้าดีอย่างไรถึงมาทำเป็นโอ้อวดต่อหน้าบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายขนาดนี้ คิดว่าพวกเราไม่มีตัวตนกันหรืออย่างไร? ”
ชายอ้วนคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของหลิวเหอหมิง ตะโกนพูดขึ้นว่า: “ท่านหลิว ท่านจะไปพูดไร้สาระอะไรกับเด็กเมื่อวานซืนกันล่ะ? เรียกยามมาจับตัวเขาโยนทิ้งออกไปด้านนอกก็สิ้นเรื่องแล้ว! ”
“ใช่เลย โยนทิ้งออกไปซะ ลูกเต้าเหล่าใครกัน! ถึงได้กล้าที่จะพูดจาโอ้อวดสามหาวในการประชุมสุดยอดจงโจวนี้! ”
คนจำนวนครึ่งหนึ่งในห้องโถง ต่างก็ตะโกนโวยวาย เพื่อต้องการให้จับตัวหลินหยุนออกไป
ไม่ใช่ว่าพวกเขามีความโกรธแค้นอะไรกับหลินหยุน แต่เป็นเพราะพวกผู้มีอิทธิพลอำนาจมีชื่อเสียงจำนวนมากต่างก็หวั่นเกรงและอยู่ภายใต้อาณัติของตระกูลส้ง กลับเป็นว่าในเวลานี้ บอดี้การ์ด ต่ำต้อยอย่างหลินหยุนได้ออกหน้าแสดงตัวขึ้น
การกระทำดังกล่าวนั้นเท่ากับว่าเป็นการตบหน้าพวกผู้มีอิทธิพลอำนาจที่มีชื่อเสียงอย่างรุนแรง
ดังนั้น พวกบุคคลที่มีชื่อเสียง ไม่มีทางอดทนยินยอมต่อหลินหยุนได้อย่างแน่นอน
หวางซูเฟินขมวดคิ้ว มองไปที่หลินหยุน พบว่าหลินหยุนนั้นกลับยังคงปฏิบัติต่อพวกผู้มีอิทธิพลอำนาจที่มีชื่อเสียง ในท่าทางที่ไม่มีใครผู้ใดอยู่ในสายตาเหมือนเช่นเคย
“โธ่ สันดานนิสัยแก้ยากเสียจริงเชียว! เจ้าหนุ่มน้อย ยังคงหลงระเริงอยู่อย่างนั้น! ”
“เจ้าหนุ่ม นายไปเถอะ! บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปของฉันไม่ต้องการความเห็นอกเห็นใจจากนาย! ”
ต่อให้ภายในใจของหวางซูเฟินจะรู้สึกผิดหวังต่อนิสัยที่หลงระเริงโอ้อวดของหลินหยุน แต่ เธอก็ยังคงไม่ต้องการที่จะให้หลินหยุนเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วย
ฉินหลันเข้าใจถึงความคิดของหวางซูเฟิน มองไปที่หลินหยุน และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเข้มงวดว่า: “หลินหยุน เชื่อฟังคำสั่งนะ นายรีบไปเถอะ! นายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เจตนาดีของนายฉันรับเอาไว้แล้ว นายรีบไปเดี๋ยวนี้! ”
หลินหยุนยิ้มขึ้นเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างลึกลับว่า: “ฉันไปไหนไม่ได้ หากว่าฉันไปแล้ว ใครจะมากอบกู้บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปล่ะ! ”
“ไอ้หนุ่มนี้ ช่างหลงระเริงจริงเชียว! ฉันพูดไปแล้วว่าบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปไม่ต้องการความเห็นอกเห็นใจจากนาย และไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากนายด้วย รีบไปซะ! ” หวางซูเฟินรู้สึกว่า ดีแล้วที่หลินหยุนไม่ใช่ลูกของเธอ มิเช่นนั้นเธอคงอดไม่ได้ที่จะดึงหูของเขาเป็นแน่
ผู้มีอิทธิพลอำนาจทั้งหลาย ต่างก็สยบอยู่ใต้อาณัติของตระกูลส้ง โดยยืนมองอยู่ในระยะไกลด้านข้าง ส่วนนายเป็นเพียงบอดี้การ์ดต่ำต้อยคนหนึ่ง กล้าดีอย่างไรถึงพูดจาสามหาวโอ้อวดถึงเพียงนี้?
ฉินหลันก็โมโหขึ้นบ้างแล้ว หลินหยุนช่างหลงระเริงเสียจริง!
หลิวเหอหมิงหัวเราะเยาะเย้ยและพูดขึ้นว่า: “ไอ้หนุ่ม ลำพังแค่นายนี้มันคู่ควรแล้วเหรอที่พูดว่าจะกอบกู้บริษัท ตงหวาง กรุ๊ป? นายคงยังไม่ตื่นนอนใช่ไหม? ทำไมนายไม่มองดูสารรูปของนายเสียก่อน มองให้ชัดเจนว่าตนเองเป็นใครกันแน่? ”
“บอดี้การ์ดต่ำต้อยคนหนึ่ง ฉันคิดว่า หากเป็นแบบนายอย่างนี้ ฉันคงจะเปลี่ยนบอดี้การ์ดวันละหลายสินคน รีบไปเสียเถอะ อย่ามาทำอะไรที่ต้องเสียหน้าอับอายในที่ตรงนี้! ”
“ใช่ รีบไปเถอะเจ้าหนุ่ม อย่ามาพูดโอ้อวดสามหาวที่นี่อีกเลย! ”
แววตาของหลินหยุน มองไปที่หลิวเหอหมิงอย่างสงบ
“ชาติที่แล้ว ฉันจำได้ว่าหลิวเหอหมิงผู้นี้ต้องการที่จะประจบตระกูลส้ง จึงได้มุ่งเป้าใส่ร้ายบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปในทุกเรื่อง ถึงขนาดที่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ ยังสาดเหล้าใส่ข้าทั้งตัว ครั้งนี้ จะต้องคิดบัญชีดอกเบี้ยกันก่อนเล็กน้อย! ”
หลินหยุนยิ้มเยาะขึ้นโดยพลัน และพูดว่า: “คุณคือผู้จัดการใหญ่หลิวของบริษัท ฝูหลิน กรุ๊ปล่ะสิ!สถานะของบริษัท ฝูหลิน กรุ๊ปในจงโจว เป็นเรองเพียงตระกูลส้งเท่านั้น ซึ่งคิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของตระกูลส้งไปได้! ”
หลิวเหอหมิงมีสีหน้าแข็งทื่อ แม้ว่าเขาจะพึ่งพาอาศัยตระกูลส้ง แต่ นั่นมันไม่ใช่ความคิดความต้องการที่แท้จริงในใจของเขา โดยหลินหยุนได้พูดตอกย้ำซ้ำเติมความเจ็บปวดของเขาอีก
คนอื่น ๆ ที่โต๊ะเบอร์หนึ่ง มองไปยังหลิวเหอหมิงด้วยสายตาที่ซับซ้อน ถึงขนาดที่ว่า มีสายตาของคนสองคน แฝงไปด้วยความดีใจที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์
คุณพูดว่าฉันพึ่งพิงอาศัยตระกูลส้งก็ยังพอเข้าใจได้ เพราะบริษัทของพวกเรามีขนาดเล็ก ซึ่งการพึ่งพาอาศัยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลส้งจะเป็นประโยชน์เป็นผลดีต่อพวกเราอย่างมาก
สำหรับบริษัท ฝูหลิน กรุ๊ปของคุณหลิวเหอหมิง เป็นรองเพียงบริษัท หัวอัน กรุ๊ปของตระกูลส้ง หากว่ามีพัฒนาการก้าวหน้าที่ดีแล้ว ไม่แน่อีกไม่กี่ปีก็อาจจะแซงหน้าตระกูลส้งก็เป็นได้
แต่คุณกลับเป็นแบบเดียวกับพวกเรา พึ่งพาอาศัยตระกูลส้ง กลายเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของตระกูลส้ง
นี่มันไม่ใช่ว่าจะมาแย่งอาหารของพวกเราอย่างนั้นเหรอ?
ส้งหัวอันเห็นว่าหลิวเหอหมิงมีท่าทางอึดอัด จึงพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า: “คุณน้องหลิว อย่าหลงกลกับอุบายยุยงให้แตกแยกกันของเขาเด็ดขาด! ”
หลิวเหอหมิงจึงได้ฉกฉวยโอกาสเอาไว้ มองไปที่ส้งหัวอันและพูดขึ้นว่า: “คุณพี่ส้งพูดได้ถูกต้อง ข้าไม่มีทางหลงกลอุบายของไอ้หนุ่มนี้หรอก! ”
“ไอ้หนุ่มน้อย นายอย่ามาพูดซี้ซั้วไปหน่อยเลย ข้ากับประธานส้งมีความสัมพันธ์กันในแบบความร่วมมือ WIN-WIN ไม่มีการที่จะบอกว่าใครพึ่งหาอาศัยใคร นายคิดต้องการจะยุยงให้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับประธานส้งนั้นแตกแยกกัน ข้าไม่มีทางหลงกลนายเป็นแน่! ”
“แต่ตัวนายเองต่างหาก เป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดต่ำต้อย ยังกล้าที่จะพูดโอ้อวดสามหาวต่อหน้าพวกผู้มีอิทธิพลอำนาจ มันช่างน่าตลกสิ้นดี! ”
“ดูเหมือนว่าหวางซูเฟินคงจะหมดความสามารถหมดหนทางใด ๆ แล้ว ซึ่งคิดไม่ถึงว่าจะไปหาวัยรุ่นที่โง่เขลาปัญญาอย่างนี้มาปั่นป่วน”
หวางซูเฟินตะโกนขึ้นอย่างโมโหว่า: “หลิวเหอหมิงนายมันเลวทรามต่ำช้า นายต่างหากที่โง่เขลา! และทั้งครอบครัวของนายด้วย! ”
ต่อให้ไม่สามารถปกป้องบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปเอาไว้ได้ แต่หวางซูเฟินก็ไม่ยอมพ่ายแพ้ในการดุด่าโต้เถียง
หลินหยุนทำมุมปากโค้ง และพูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า: “นายบอกว่าฉันพูดจาโอ้อวดสามหาว ถ้าอย่างนั้นนายกล้าที่จะเดิมพันกับฉันหรือไม่? ”
หลิวเหอหมิงยิ้มและพูดขึ้นอย่างเหยียดหยามว่า: “เดิมพันอะไร? ”
หลินหยุนพูดว่า: “เดิมพันว่าฉันนั่งอยู่ที่ตรงนี้ และถามขึ้นว่า ‘ใครจะมาสนับสนุนบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปบ้าง’ ถ้าหากภายในสิบวินาทีมีคนแสดงตัวออกมาน้อยกว่าสิบคนล่ะก็ ถือว่าฉันพ่ายแพ้! ”
“ว่าอย่างไร? กล้าเดิมพันกันไหม?