จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 288 ฉันอนุญาตให้พวกแกไปได้แล้วเหรอ
หวางหย่วนหยางมองหลินหยุนด้วยท่าทีเคร่งขรึม: “ไอ้หนู แกทำให้ฉันประหลาดใจจริงๆ!”
“คิดไม่ถึงเลยว่า แกจะมีปรมาจารย์บู๊อยู่ข้าง ๆ จริงซะด้วย!”
จากนั้นหวางหย่วนหยาง ก็มองไปที่หวางซูเฟินด้วยท่าทางไม่เต็มใจ แล้วพูดว่า: “วันนี้ถือว่าพวกแกโชคดีนะ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากไอ้เด็กประหลาดนี่ แต่ครั้งต่อไปก็ไม่แน่หรอกนะว่าจะโชคดีแบบนี้อีก!”
“ปรมาจารย์ฉงซาน ครั้งนี้ได้โปรดละเว้นพวกมันไปก่อนเถอะครับ!”
ในใจหวางฉงซานก็เริ่มมีความคิดจะถอยอยู่แล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็จ้องหลินหยุนอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า: “ไอ้หนู วันนี้ฉันจะยอมปล่อยแกไปก่อนก็ได้ แต่บัญชีนี้ ฉันจดมันไว้ให้แกเรียบร้อยแล้ว!”
เมื่อได้ยินว่าตระกูลหวางตั้งใจจะถอยทัพจริง ๆ ส้งหัวอันก็ถึงกับตกตะลึงอึ้งค้าง
“พี่หวาง คุณจะทิ้งผมไว้อย่างนี้คนเดียวไม่ได้นะ! พวกเขามีปรมาจารย์บู๊อยู่ด้วยทั้งคน!”
หวางหย่วนหยางเหลือบมองส้งหัวอันอย่างเย็นชา น้ำเสียงแฝงความรังเกียจเล็กน้อย พูดว่า “เจ้าบ้านส้งไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า มีข้อตกลงที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ระหว่างโลกบู๊กับโลกปุถุชนอยู่ ว่าห้ามไม่ให้คนในโลกบู๊ ลงไม้ลงมือกับคนในโลกปุถุชนตามอำเภอใจ”
หวางหย่วนหยาง จ้องมองหลินหยุนด้วยแววตาเย้ยหยัน: “ตราบใดที่คุณไม่ไปหาเรื่องเขา ถ้าเขากล้าทำอะไรคุณ ตระกูลหวางของผมก็มีสิทธิ์ระดมกองกำลัง เพื่อไปจัดการกับเขาได้ทันที! ”
ส้งหัวอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก: “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง! ค่อยยังชั่วหน่อย!”
“ไป!” หวางหย่วนหยางกับหวางฉงซาน หันหลังเตรียมจากไป
ทุกคนรีบแหวกทางเดินออกทันที ต่างพากันก้มหน้า ระหว่างที่คนตระกูลหวางทั้งสองเดินผ่าน
“ฮะๆๆ พวกแกมาทำให้หวางตงกรุ๊ปยุ่งเหยิง เละเทะซะขนาดนี้ แล้วมาบอกว่าจะไปก็ไปกันง่ายๆ อย่างนี้น่ะเหรอ? นี่พวกแกไม่เห็นคนคุ้มกันของตงหวางกรุ๊ปคนนี้ อยู่ในสายตาเลยสินะ?”
ทันใดนั้น น้ำเสียงเนิบนาบแผ่วเบาของหลินหยุน แฝงเร้นอารมณ์คล้ายๆพูดจาสัพยอกในที ก็ดังกังวานขึ้นในห้องโถง
สีหน้าของทุกคนดูแปลกประหลาดสิ้นดี นาทีนี้ถ้าใครยังเชื่อว่า หลินหยุนเป็นแค่คนคุ้มกันที่ฉินหลันเก็บมาโดยไม่ได้ตั้งใจ คนคนนั้นถือว่าเป็นไอ้โง่!
แม้แต่หวางซูเฟินกับฉินหลัน ก็ยังเผยสีหน้าแปลกประหลาด
ฉินหลันกลอกตามองบนใส่หลินหยุน พยายามกลั้นยิ้มเต็มที่
แต่สีหน้าของพวกหวางหย่วนหยางสองคน เปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดดูไม่ได้ไปแล้ว
ความหมายที่หลินหยุนพูดก็คือ ตระกูลหวางของพวกเขา ยังเทียบกับคนคุ้มกันของบริษัทตงหวางกรุ๊ปคนหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
ส้งหัวอันสามพี่น้องตกตะลึง ไอ้เด็กคนนี้เป็นคนแรก ที่กล้าพูดจาให้ตระกูลหวางอับอายขายหน้าได้ถึงขนาดนี้!
หวางหย่วนหยางหันไปมองหลินหยุนอย่างเย็นชา ใบหน้ามืดมนสุดขีด
“ไอ้หนู แล้วแกต้องการอะไร”
หลินหยุนพูดด้วยเสียงราบเรียบ : “ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่ต่อเถอะ!”
หวางหย่วนหยางหัวเราะออกมาดังลั่น “ เจ้าหนู แกนี่หยิ่งยโสจริงนะ! แกมีปรมาจารย์ ทางฉันก็มีปรมาจารย์เหมือนกัน แกจะทำอะไรฉันได้หา!?”
หวางฉงซานที่อยู่อีกด้านเต็มไปด้วยความโกรธ แววตาที่จ้องมองหลินหยุนเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า รู้สึกว่าตัวเองถูกทำให้ขายหน้าที่สุดในชีวิต
“ไอ้หนู แกคิดว่าอาศัยแค่เขาคนเดียว จะรั้งฉันไว้ได้งั้นเรอะ?” หวางฉงซานหันไปมองซูจื่อเหลียงด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างหนัก
น้ำเสียงของหลินหยุนราบเรียบ เหมือนกับการพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป: “ไม่ได้จะรั้งไว้ แต่จะฆ่าทิ้งต่างหาก!”
น้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ยามที่เปล่งออกมากลับทรงอำนาจอย่างยิ่ง ทำให้หัวใจของทุกคนตกตะลึงสะท้านไหว!
“ฆ่าปรมาจารย์บู๊! ไอ้เด็กนี่กล้าพูดออกจากปากเสียจริงนะ!” คุณฉินที่อยู่ข้างอีหยุ่นถึงกับสะดุ้ง!
คางของพวกคุณชายหลี่แทบจะร่วงลงไปกับพื้นอยู่แล้ว : “เขา เขาเป็นบ้าไปแล้วรึไงเนี่ย? ถึงกับกล้าฆ่าคนต่อหน้าธารกำนัล แถมยังประกาศจะฆ่าปรมาจารย์บู๊อีกด้วย! นี่เขาอยากตายมากใช่มั้ยเนี่ย!”
ทุกคนต่างก็คิดว่ามันน่าเหลือเชื่อ แต่ไม่มีใครสงสัยในความหมายของคำพูด ที่หลินหยุนได้พูดออกมาเลย
ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็คิดว่า หลินหยุน จะสามารถทำในสิ่งที่เขาพูดออกมาได้อย่างแน่นอน
ใบหน้าของหวางฉงซาน เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำสลับแดงก่ำ สุดท้ายก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง: “เจ้าหนู แกนี่ปากดีนักนะ กล้าพูดออกมาแล้วก็อย่าคืนคำล่ะ! ฉันขอสาบาน ณ ที่แห่งนี้เลยว่า ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้!”
หลินหยุนยกยิ้มจาง ๆ ไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง แต่หันไปมองฉินหลัน : “พี่ฉินหลัน ช่วยรินไวน์ให้ผมสักแก้วได้ไหม?”
ฉินหลันกับหวางซูเฟินหันมองหน้ากัน แต่เอาจริง ๆ หลินหยุนก็ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อตงหวางกรุ๊ป แค่คำขอร้องแค่นี้ ฉินหลันย่อมไม่ปฏิเสธเป็นธรรมดา
สายตาของทุกคน ต่างจับจ้องไปที่หลินหยุนเป็นตาเดียวกัน ทุกคนต่างก็สงสัยมาก ว่าทำไมหลินหยุนถึงขอให้ฉินหลันรินไวน์ให้ในเวลาแบบนี้?
เป็นไปได้ไหมว่า มีความลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างซ่อนอยู่ในไวน์แก้วนั้น?
ฉินหลันเทไวน์แดงแก้วหนึ่งให้หลินหยุน ทั้งนำไปให้ส่งให้เขาด้วยตัวเอง
หลินหยุนยกยิ้มเล็กน้อย: “ขอบคุณ!”
กระทั่งฉินหลันก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ จึงถามไปว่า “หลินหยุน ไวน์แก้วนี้มีความหมายพิเศษอะไรหรือเปล่า?”
หลินหยุนตอบเสียงเรียบนิ่ง: “ความหมายพิเศษเหรอ? มีแน่นอน!”
ทุกคนต่างตกตะลึง เตรียมล้างหูรอฟังกันสลอน
แม้แต่คนตระกูลหวาง ก็ตั้งใจฟังเต็มที่เพื่อจะได้ดูว่า มีความลับอะไรอยู่ในแก้วไวน์ของหลินหยุนกันแน่?
หลินหยุนปรายตามองฉินหลัน ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มครุมเครือ : “ดื่มไวน์ดูปรมาจารย์โดนฆ่า!”
หวางซูเฟินถึงขั้นพูดไม่ออก แม้แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาขาวใส่หลินหยุน
โชคดีที่เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของฉัน ไม่งั้นฉันเป็นต้องตีมันตายแน่ เย่อหยิ่งอวดดีชะมัด!
ฉินหลันถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าหลินหยุนจะขอให้เธอรินไวน์ให้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดสุดขีดอย่างนี้ แค่เพราะอยากจะฉลองเรื่องไร้สาระ!
ปรมาจารย์หวงที่อยู่อีกด้าน ถึงขั้นมีเส้นขีดสีดำปรากฏบนหัวของเขาเลยทีเดียว แววตาที่มองหลินหยุน ดูราวกับว่าเขากำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน: “นั่นคือระดับปรมาจารย์เชียวนะ ! คนที่บังอาจพูดว่าการฆ่าปรมาจารย์นั้นง่ายพอ ๆ กับการบี้มด ลองหาให้ทั่วทั้งโลกใบนี้ เกรงว่าคงจะมีแค่ไอ้หมอนี่คนเดียวนี่ล่ะ!”
สายตาที่ควีนจินมองหลินหยุน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่ชื่นชมผู้กล้าแบบทะลุปรอท ลอยลอดก้อนเมฆไปเลยทีเดียว: “คนระดับยอดฝีมือ คิดอ่านประการนี้กันนี่เอง!”
พวกคุณชายหลี่และบรรดาเศรษฐีที่เหลือ ต่างหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ฟันของพวกเขาคันคะเยอด้วยความเกลียดชัง อยากจะกัดให้จมเขี้ยวนัก
“มันจะโอหังเกินไปแล้ว! ไอ้เด็กนี่ยโสโอหังสิ้นดี! ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งเลยว่า ปรมาจารย์แห่งตระกูลหวางคนนั้นจะฆ่ามันให้ตายไปซะ!”
“น่าโมโหเกินไปแล้ว!”
อีหยุ่นขมวดคิ้วเป็นปม: “ฮึ! เจ้าเด็กนี่ มันบ้าจนกู่ไม่กลับแล้วจริง ๆ! คราวนี้ฉันหวังว่าปรมาจารย์ตระกูลหวางจะสอนบทเรียนให้มันซะบ้างนะ จะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน!”
หวางฉงซานรู้สึกอับอายสุดขีด โทสะของเขาปะทุออกมาอย่างสุดจะกลั้น: “ขวัญกล้าบังอาจนักนะแก! ฉันจะฉีกร่างแกให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น!”
“ฝ่ามือเงาหลอน!”
หวางฉงซานลงมืออย่างโกรธเกรี้ยว เพียงชั่วพริบตา เงาของฝ่ามือนับร้อยก็พุ่งโจมตีเข้าใส่ซูจื่อเหลียงทันที ทั่วทั้งห้องโถงพลันถูกปกคลุมด้วยเงาฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัว
หวางฉงซานตะโกนก้อง: “ไอ้หนู ฉันจะทำให้แกรู้ผลที่ตามมา จากการทำให้ปรมาจารย์ต้องอับอายขายหน้า!”
หากฝึกฝนวิชาฝ่ามือเงาหลอนจนถึงขั้นสูงสุด จะสามารถซัดฝ่ามือออกไปได้ถึงพันครั้งในชั่วพริบตา แต่หวางฉงซานสามารถซัดฝ่ามือออกไปได้ในหลักร้อย แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพลังปราณของกระบวนท่านี้ มีความแข็งแกร่งไม่น้อยแล้ว
ทุกคนมองฉากนี้อย่างตื่นตะลึง หวาดผวาจนหน้าถอดสี!
คุณชายหลี่และพวกเศรษฐีทั้งหลายต่างเบิกตากว้าง: “แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งกว่าลุงโจวเป็นร้อยเท่าเลย ! นี่ไม่ใช่พลังที่มนุษย์ธรรมดาจะมีได้!”
“นี่คือความแข็งแกร่งของปรมาจารย์เหรอเนี่ย? ช่างทรงพลังจริงๆ!” ส้งหัวอันตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ปรมาจารย์บู๊จะอยู่สูงเหนือโลกปุถุชน ถ้าฉันมีพลังแบบนี้ จะความร่ำรวยมั่งคั่ง จะอำนาจวาสนาอะไร ฉันก็คงจะไม่ชายตาแลแล้วล่ะ!” บรรดาเศรษฐีทั้งหลายต่างพากันทอดถอนใจ
คุณฉินสีหน้าตกตะลึง: “นี่คือพลังของปรมาจารย์เหรอ? ดูไปแล้วเหมือนว่าเขายังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ด้วยซ้ำ! นี่ถ้าฉันเจอกับฝ่ามือเงาหลอนนี่ละก็ น่ากลัวว่าแค่กระบวนท่าเดียว ก็ฆ่าฉันให้ตายได้แล้ว!”
หวางซูเฟินหันไปมองหลินหยุนด้วยความกังวล หวางฉงซานทั้งทรงพลัง ทั้งร้ายกาจขนาดนี้ ปรมาจารย์ที่อยู่ข้างกายหลินหยุนคนนั้น จะเอาชนะได้จริง ๆ น่ะเหรอ?
หลินหยุนยกแก้วทรงสูงขึ้นจิบไวน์แดงช้า ๆ ใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีท่าทีกังวลใจเลยแม้แต่น้อย
ซูจื่อเหลียงยกยิ้มเย็นชา: “เฮอะ ต่อหน้าพลังอันแข็งแกร่งที่แท้จริง จะกระบวนท่าอะไรก็ล้วนแล้วแต่เป็นได้แค่ที่รองกระถางไม้ประดับเท่านั้นแหละ!”
พูดจบ ซู่จื่อเหลียงก็แสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม เขาไม่แสดงกระบวนท่าอะไรให้มากมาย แค่ต่อยด้วยหมัดออกไปตรงๆ
บึ้ม!
เงาฝ่ามือที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า พลันสลายหายไปในทันที!
ร่างของหวางฉงซาน ถูกหมัดนั้นซัดจนกระเด็นลอยละลิ่วออกไปทันที แล้วไปล้มกระแทกลงกับพื้นหนัก ๆ ทั้งยังทำโต๊ะตัวหนึ่งบริเวณนั้นพังกระจุยเป็นชิ้น ๆ !
แค่หมัดเดียว ถึงกับซัดปรมาจารย์บาดเจ็บได้!
หวางหย่วนหยางร้องอุทานดังลั่น: “นี่มันเป็นไปได้ยังไง ! ปรมาจารย์เหมือนกันแท้ ๆ ทำไมเขาถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!”
หวางฉงซานพยายามจะลุกขึ้นนั่ง มองไปที่ซูจื่อเหลียงด้วยสายตาตกตะลึง: “ความแข็งแกร่งของแก เข้าถึงระดับขั้นสูงสุดแล้วเหรอ?!”
ซูจื่อเหลียงแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง สีหน้าหยามหยัน: “ฉันก็แค่แตะระดับขั้นเกือบสูงสุดแค่นั้นเอง เป็นแกต่างหากที่อ่อนแอเกินไป!”
ซูจื่อเหลียงสีหน้าเรียบนิ่ง สาวเท้าก้าวเดินเข้าไปหาหวางฉงซานทีละก้าว ๆ ราวกับฝีเท้าของเทพแห่งความตาย ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้ ก็เหมือนเหยียบย่ำลงไปบนหัวใจของหวางฉงซาน ให้ยิ่งหวาดกลัวขึ้นทุกชั่วขณะ