จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 290 คำเตือนของอีหยุ่น
หลังจากที่หลิวเหอหมิงจากไป แววตาที่ทุกคนมองไปที่หลินหยุน ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หลายคนอยากจะเข้ามาสานสัมพันธ์เป็นมิตรไว้ แต่หลังจากเห็นท่าทีตีตัวออกห่างจากคนอื่นหลายพันลี้แบบนั้นของหลินหยุนเข้า ก็ไม่มีใครกล้าก้าวขาออกมาข้างหน้าสักคน
เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถผูกมิตรกับหลินหยุนได้ ทุกคนจึงถอยหลังไปยังลำดับที่สอง
เศรษฐีคนหนึ่งในจงโจวพูดขึ้นอย่างกะทันหัน: “ในเมื่อตระกูลส้งไปแล้ว ผมคิดว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งประธานการประชุมสุดยอดจงโจว ก็สมควรจะเป็นประธานหวาง แห่งหวางตงกรุ๊ปแล้วล่ะ!”
ดวงตาของคนอื่นๆ สว่างวาบ ใคร ๆ ต่างก็เห็นว่าหลินหยุนพยายามปกป้องหวางตงกรุ๊ปอย่างเต็มที่จริง ๆ
แม้ว่าจะเอาใจหลินหยุนไม่ได้ แต่ถ้าเอาใจหวางตงกรุ๊ปได้ นั่นย่อมมีค่าเท่ากันนั่นล่ะ
นอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนของควีนจิน กับกลุ่มผู้มีอิทธิพลแห่งเมืองหลิงหนาน บวกกับความสัมพันธ์กับคุณอีแห่งเจียงหนาน การที่บริษัทหวางตงกรุ๊ปจะเข้ามาแทนที่ตระกูลส้ง ก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นแล้ว
ฉวยโอกาสก่อนที่หวางตงกรุ๊ปจะผงาดขึ้นมา ถ้าสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับหวางตงกรุ๊ปได้ ก็จะเกิดประโยชน์มหาศาลในอนาคตอย่างแน่นอน
“ใช่ๆ การประชุมสุดยอดจงโจว เป็นการประชุมสุดยอดของพวกเราทุกคน ไม่ใช่การประชุมสุดยอดของตระกูลส้งเสียหน่อย ในเมื่อส้งหัวอันไปแล้ว พวกเราก็ขอเสนอให้ประธานหวางเป็นเจ้าภาพของการประชุมสุดยอดจงโจวในครั้งนี้ นั่นเป็นสิ่งที่เราทุกคนคาดหวัง!” ชายคนหนึ่งที่เป็นผู้มีหน้าตาในจงโจวตะโกนขึ้น
ในอดีต ทุกการประชุมสุดยอดจงโจว ล้วนนำโดยตระกูลส้งทั้งสิ้น หวางซูเฟินจะเป็นได้แค่ตัวประกอบ แต่ครั้งนี้ หวางซูเฟินกลับกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
เกือบทุกคนต่างพากันไปเอาใจหวางซูเฟิน
เหยียนต้าวหมิงและพวกกรรมการที่หักหลัง แยกตัวออกมาจากหวางตงกรุ๊ป หันไปมองหวางซูเฟินซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชนด้วยความรู้สึกละอาย อยากหาที่ขุดหลุมแล้วเอาหน้ามุดลงไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
“เดิมทีประธานหวางปฏิบัติต่อพวกเราไม่เลว แต่พวกเรากลับทรยศเธอ บางทีนี่อาจเป็นการลงโทษจากสวรรค์สำหรับพวกเราสินะ!” ประธานหูเงยหน้าขึ้นฟ้า ถอนหายใจเฮือก ฝืนยิ้มอย่างขมขื่น
มีสองคนที่ไม่ยินยอม มาตามหาหวางซูเฟินเพื่อขอสารภาพบาป คาดหวังว่าหวางซูเฟินจะยกโทษให้พวกเขา และยอมให้พวกเขากลับไปที่ตงหวางกรุ๊ปอีกครั้ง
แน่นอนว่าหวางซูเฟินไม่สนใจสักนิด คนเหล่านี้เห็นแก่ผลประโยชน์ ลืมสิ้นมิตรไมตรี ในเมื่อพวกเขาสามารถทรยศครั้งแรกได้ แน่นอนว่าย่อมสามารถทรยศครั้งที่สองได้เช่นกัน
หลินหยุนเงยหน้ามองหวางซูเฟิน ซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชนที่กำลังชุลมุน เอาอกเอาใจเธอไม่หยุด ยิ้มให้อีหลิงแล้วยืนขึ้น : “ไปกันเถอะ!”
“อื้ม!” อีหลิงตามหลินหยุนออกไป มีซูจื่อเหลียงติดตามไปอย่างใกล้ชิด
อีหยุ่นมองดูลูกสาวที่ยิ้มสดใสเริงร่า เดินอยู่ข้างกายหลินหยุน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ลุงฉิน พวกเราตามไปกันเถอะ!”
หลินหยุนเดินออกจากห้องโถง เสียงผู้หญิงที่คมชัดดังเสียงหนึ่ง ดังขึ้นข้างหลังเขาอย่างร้อนใจ: “หลินหยุน รอเดี๋ยว!”
ฉินหลันรีบวิ่งตามออกมา พอมาถึงตรงหน้าหลินหยุน ก็หยุดหอบหายใจพักใหญ่
“พี่ฉินหลัน มีเรื่องอะไรเหรอ?” หลินหยุนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีเธอมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมาย แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มนี้ของหลินหยุน ในหัวของเธอก็พลันว่างเปล่าไปทันที
เธอไม่รู้แล้วว่าตัวเองอยากจะพูดอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินหลันก็เริ่มจะจำได้ จึงพูดว่า: “จริงสิ ท่านประธานยุ่งอยู่กับคนพวกนั้น ไม่มีเวลาปลีกตัวมาขอบคุณเป็นการส่วนตัว เลยให้ฉันมากล่าวคำขอบคุณแทนสักคำน่ะ!”
“ขอรบกวนคุณหลินทิ้งที่อยู่ไว้สักหน่อย วันหลังท่านประธานจะไปขอบคุณด้วยตัวเอง!”
วิธีที่ฉินหลันเรียกหลินหยุน นับได้ว่าให้เกียรติไม่น้อยแล้ว
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย เขาไม่อยากสานสัมพันธ์กับแม่ของเขาให้มากเกินไปนักในตอนนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการบิดเบือนประวัติศาสตร์อีกครั้ง จนทำให้เขาควบคุมมันไม่ได้
ในเมื่อตอนนี้ เขายังไม่มีกำลังมากพอที่จะปกป้องญาติ รวมถึงเพื่อนสนิทคนชิดใกล้ของเขาจากอันตรายได้อย่างเต็มที่
“พี่ฉินหลัน โปรดบอกประธานหวางด้วยว่า ผมชื่นชมเธอมานาน เป็นเกียรติของผมที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ส่วนเรื่องขอบคุณอะไรพวกนั้นน่ะ ไม่ต้องหรอก”
“จริงสิ ไม่ใช่ว่าพี่มีข้อมูลติดต่อของผมแล้วหรอกเหรอ? ถ้าหลังจากนี้ไปเจอเรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ได้ จำไว้ว่าติดต่อผมได้เสมอนะ”
ฉินหลันมองหลินหยุนด้วยความรู้สึกแปลกใจ อะไรคือชื่นชมมานาน? ดูเหมือนว่าเขากับท่านประธานจะได้พบกันแค่ไม่กี่ครั้งเองนะ!
แต่ในเมื่อหลินหยุนไม่เต็มใจที่จะให้ที่อยู่ ฉินหลันเองก็ไม่กล้าไปบังคับเอามา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหลินกลับอย่างระมัดระวังนะคะ วันหน้าหากมีอะไรให้ตงหวางกรุ๊ปรับใช้ โปรดสั่งมาได้ทันที!” ฉินหลันพูดอย่างจริงจัง
นี่เทียบเท่ากับการให้คำมั่นสัญญากับหลินหยุนว่า จะตอบแทนบุญคุณเขา
“แน่นอน” หลินหยุนยิ้มอย่างลึกลับและหันหลังเดินจากไป
ฉินหลันมองตามแผ่นหลังของหลินหยุนไป รู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่แปลกประหลาดผู้นี้ ดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันอันลึกลับบางอย่าง ซึ่งทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้
“ช่างเถอะ ไว้มีโอกาสค่อยไปสืบหาดีๆสักหน่อยดีกว่า ว่าทำไมเขาถึงช่วยตงหวางกรุ๊ปกันแน่?”
ที่ทางเข้าโรงแรม อีหยุ่นจ้องมองหลินหยุนด้วยท่าทางจริงจัง: “เจ้าหนู เราหาที่คุยกันสักหน่อยดีมั้ย!”
อีหลิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า: “พ่อคะ นี่พ่อคิดจะทำอะไรคะ?”
อีหยุ่นกลอกตามองบนใส่ลูกสาว: “วางใจเถอะ พ่อไม่กินเพื่อนของลูกหรอกน่า!”
หลินหยุนพยักหน้า เขาเองก็อยากรู้ว่า อีหลิงได้เจอกับอีหยุ่นได้ยังไงเหมือนกัน
ในโรงน้ำชาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
ในห้องส่วนตัว มีเพียงหลินหยุนกับอีหยุ่นเท่านั้น ที่นั่งเผชิญหน้ากัน
หลินหยุนดื่มชาอย่างเงียบ ๆ สีหน้าของเขาสงบราบเรียบอย่างยิ่ง
อีหยุ่นสีหน้าซีเรียส คล้ายว่าจะมีความคิดไม่ค่อยพอใจบางอย่าง เกี่ยวกับทัศนคติที่ไม่แยแสอะไรของหลินหยุนพอสมควร
“เจ้าหนู เวลาพบหน้าผู้ที่อาวุโสกว่า จำเป็นต้องทำท่าไม่แยแสกันขนาดนี้เลยเหรอ?” อีหยุ่นกล่าวอย่างเย็นชา
หลินหยุนวางถ้วยชาลง มองไปที่อีหยุ่น ถามเสียงราบเรียบ: “คุณอี มีเรื่องอะไร เชิญพูดมาตรงๆเถอะ!”
ความทรงจำปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีหยุ่น เขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนนั้น เพื่อต่อสู้แย่งกันเป็นผู้สืบทายาทของตระกูล ฉันทำได้แค่จำใจส่งอีหลิงแม่ลูกไปอยู่กับลุงของเธอ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ฉันไม่ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบ ในฐานะของคนเป็นพ่อเลยสักครั้ง”
“ฉันละอายใจกับหลิงเอ๋อแม่ลูกนัก!”
“ฉันได้ยินมาว่าในระหว่างช่วงวิกฤต เป็นเธอที่ออกหน้า เข้าไปช่วยหลิงเอ๋อแม่ลูกไว้”
“ฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก!”
หลินหยุนพูดอย่างเฉยเมย: “อีหลิงเป็นเพื่อนของผม ช่วยเธอก็สมควรแล้ว”
“ไม่!”
อีหยุ่นพูดด้วยใบหน้าจริงจัง: “เธอช่วยหลิงเอ๋อแม่ลูก นั่นถือว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอครั้งหนึ่ง แต่ฉันช่วยเธอต่อสู้กับตระกูลหวางอย่างเปิดเผย ในการประชุมสุดยอดจงโจว นั่นก็ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้บุญคุณให้เธอไปแล้ว”
“ต่อจากนี้ไปเราสองคนไม่ติดค้างหนี้บุญคุณอะไรกันอีก!”
หลินหยุนมองอีหยุ่น แววตาประกายวับวามเหมือนดวงดาวนั้นยังคงเย็นชา ถามไปว่า : “จากนั้นล่ะ?”
อีหยุ่นจ้องไปที่หลินหยุน ไม่รีบร้อนที่จะพูด แต่เปลี่ยนเป็นค่อยๆจิบชา ดูเหมือนว่าจะปรับอารมณ์ให้เย็นลง
ผ่านไปนาทีหนึ่ง อีหยุ่นก็วางถ้วยชาลง แล้วเงยหน้ามองหลินหยุนด้วยสีหน้าจริงจัง: “ฉันหวังว่าเธอจะไม่ทำให้หลิงเอ๋อขุ่นเคืองใจในอนาคต ฉันมองออกว่า ความรู้สึกของหลิงเอ๋อที่มีต่อเธอนั้นมันไม่ธรรมดา แต่เธอไม่ใช่คนที่เหมาะสมกันกับหลิงเอ๋อ ดังนั้นฉันจึงหวังว่า เธอจะยุติความสัมพันธ์นี้ไว้เท่านี้ ไม่ให้มันงอกเงยออกดอกออกผล ”
ที่แท้ก็เป็นคำพูดทำนองนี้จริงๆ!
หลินหยุนพูดนิ่งๆว่า : “คุณวางใจเถอะ ผมเห็นอีหลิงเป็นเพียงน้องสาวมาโดยตลอด!”
อีหยุ่นพูดว่า “เธออาจทำเหมือนหลิงเอ๋อเป็นน้องสาวได้ แต่หลิงเอ๋ออาจไม่ได้มองว่าเธอเป็นพี่ชายก็ได้ ฉันเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ฉันสามารถเห็นได้ชัดเจนมาก บางทีตอนนี้ความรู้สึกที่หลิงเอ๋อมีให้เธออาจยังไม่ได้พัฒนาไปเป็นความรัก แต่ในอนาคตล่ะ?”
“ถ้าเธอทำเพราะปรารถนาดีกับหลิงเอ๋อจริง ๆ ฉันก็หวังว่าเธอจะไม่ติดต่อกันอีกในอนาคต ระหว่างพวกเธอสองคน มันเป็นไปไม่ได้หรอก!”
เมื่อมองดูท่าทางสูงส่งทรงภูมิเสียเต็มประดา ทั้งแววตาที่เหมือนจะเตือนว่า อย่าคิดเกาะกิ่งสูงของอีหยุ่น หลินหยุนก็หัวเราะออกมาด้วยแววตาประหลาด
อีหยุ่นขมวดคิ้วมุ่น: “เธอหัวเราะอะไรน่ะ?”
หลินหยุนจิบชา จ้องมองอีหยุ่นด้วยสายตาแปลกประหลาด พูดนิ่ง ๆ ว่า “คุณรู้มั้ยว่า ที่จริงคุณเป็นคนที่สามแล้ว ที่พูดแบบนี้กับผม?”
อีหยุ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วอีกสองคนเป็นใครล่ะ?”
หลินหยุนตอบว่า “คนหนึ่งคือหานกั๋วเฉียงลุงของอีหลิง แต่เวลาต่อมาเขาก็ตายไป อีกคนคือเซี่ยหยู่เวยเพื่อนสนิทของอีหลิง ซึ่งตอนนี้เธอน่าจะเสียใจในภายหลังอยู่ แล้วในอนาคตเธอก็จะเสียใจยิ่งกว่าตอนนี้ด้วย”
ดวงตาของอีหยุ่นหรี่ลงเล็กน้อย: “เจ้าหนู นี่เธอกำลังข่มขู่ฉันเหรอ?”
หลินหยุนพูดว่า “ไม่นี่ ผมแค่พูดตามความจริง”
“ที่จริงแล้ว ต่อให้ผมจะคบกับอีหลิงจริง ๆ แล้วคุณจะทำอะไรได้ล่ะ? คุณอาศัยอะไรถึงคิดได้ว่าผมจะทำร้ายเธอ?