จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 297 ตรวจอาการนอกสถานที่
นักศึกษาต่างก็ตกใจมาก ทุกคนแทบไม่เคยเห็นอธิการบดีซูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้มาก่อน
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจยิ่งกว่า นั่นก็คือ หลินหยุนเป็นอาจารย์พิเศษที่ซูชิงเหยียนไปเชิญมาจริงๆ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้ จะเป็นวิทยากรพิเศษ ที่อธิการบดีซูไปเชิญมาจริง ๆ!”
“ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน แต่กล้าพูดได้เลยว่าในห้องนี้ ไม่มีใครคิดได้ถึงแน่ ๆ! เด็กคนนี้มีการใช้เส้นสายอะไรกับอธิการบดีซูหรือเปล่า ? โอกาสสำคัญแบบนี้ ท่านอธิบดีซูถึงได้ไปเชิญให้เขามาเป็นวิทยากรของพวกเราแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องตลกไปทั้งประเทศเหรอครับ?”
แม้ว่าพวกนักศึกษาจะกลัวอธิการบดีซู แต่ถึงยังไง ทุกคนต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ทั้งยังมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง
ต่อให้ทุกคนจะกลัวว่าอธิการบดีซูจะโกรธ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมประนีประนอมกันง่าย ๆ
“อธิการบดีซู คุณบอกว่าเขาเป็นวิทยากรที่คุณเชิญมา แต่เท่าที่เรารู้ เขาเป็นนักเรียนของสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์ แถมเขาก็ไม่ได้รู้อะไรในเรื่องการแพทย์เลย วันนี้ทั้งที่เป็นโอกาสสำคัญมากขนาดนี้ คุณกลับให้เขามาเป็นวิทยากร เกิดถ้าเขาทำพังขึ้นมา หน้าตาของมหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจวเรา จะไม่อับอายเสื่อมเสียไปหมดหรอกเหรอครับ!”
“พวกเราไม่มีวันยอมตกลงด้วยหรอก!”
“เว้นแต่คุณจะให้เขาพิสูจน์ให้เราเห็น ว่าเขาเป็นอาจารย์ของพวกเราได้!”
ชายหนุ่มจากมหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจวคนหนึ่งยืนขึ้น พูดอย่างแสดงเจตจำนงอันชอบธรรมเต็มที่
เวลาปกติ ชายหนุ่มคนนี้ค่อนข้างเป็นที่ได้รับการชื่นชม และมีเกียรติในมหาวิทยาลัยอยู่บ้าง เมื่อเขาออกหน้าถามอธิการบดีซู พวกเพื่อนร่วมชั้นหลายคนก็ลุกขึ้น แล้วสนับสนุนความเห็นของเขาด้วยทันที
“ใช่แล้ว ท่านอธิการบดีซู ถ้าเขาคิดจะเป็นวิทยากรของเรา ก่อนอื่นต้องพิสูจน์ว่าเขารู้เรื่องศาสตร์การแพทย์จริงๆ!”
“ให้คนที่ไม่รู้ศาสตร์การแพทย์สักนิด มาเป็นวิทยากรให้เรา พวกเราไม่ยอมรับ!”
“ใช่! พวกเราไม่ยอมรับ! คนอย่างเขา น่ากลัวว่าใบรับรองแพทย์ที่ถูกต้องสักใบก็ยังไม่มีด้วยซ้ำมั้ง!”
เย่เทียนเหา มองไปที่บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจวที่กำลังโกรธเคือง พลางยิ้มอย่างมีความสุข
“ฮะๆๆ ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้วล่ะ ไม่ต้องให้ชั้นออกโรง ก็มีคนออกมาเปิดโปงแกเรียบร้อย!”
ฉู่หมิงเฉิงกับซ่างกวงชิงฉัน หันไปมองหลินหยุนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าเวลานี้หลินหยุนจะถูกความคับข้องใจของนักศึกษา ทำให้น้อยเนื้อต่ำใจแค่ไหน แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นความกังวลใด ๆ บนใบหน้าของหลินหยุนเลยแม้แต่น้อย
“หึ! เจ้าหนูนี่ สรุปว่าเขามีความสามารถจริง ๆ หรือว่าแค่ตบหน้าตัวเองให้บวมเพื่อ
ให้ดูอ้วนกันแน่นะ?” ฉู่หมิงเฉิงเยาะเย้ยในใจ (เป็นสุภาษิต ความหมายคือ ทำเป็นหน้าใหญ่ใจโต ใช้เปรียบเทียบคนที่ไม่มีความสามารถ เงินทอง แต่กลับทำเป็นใจป้ำทุ่มให้คนอื่นเห็น สุดท้ายก็ต้องมานั่งเจ็บเอง)
ซ่างกวงชิงฉันแอบรู้สึกดูถูกเล็กน้อยในใจ: “ในสถานที่เล็ก ๆ อย่างหลินโจวนี่ จะมีใครกันที่สามารถสร้างเทคนิคการฝังเข็มที่มหัศจรรย์ขนาดนั้นได้v ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะมีพรสวรรค์อยู่จริง แต่ด้วยอายุของเขา เขาก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งอะไรได้มากมายขนาดนั้นหรอก!”
“มหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจวอันทรงเกียรติ กลับหาชายหนุ่มที่อายุน้อยขนาดนี้มาเป็นวิทยากรพิเศษ ช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยจริงๆ!”
ฉู่หมิงเฉิงกับซ่างกวงชิงฉัน ไม่ได้หยิ่งผยองเหมือนเย่เทียนเหา แม้ว่าพวกเขาจะมาจากครอบครัวที่ไม่ธรรมดา แต่พวกเขาก็เป็นเพียงผู้มาเยือนหลินโจว หากไม่ถึงช่วงเวลาสำคัญจริงๆ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะยืนขึ้นตั้งคำถามเรื่องของหลินหยุนนัก
ซูชิงเหยียนมองไปที่กลุ่มนักศึกษา คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นนักศึกษาชั้นยอดที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่เขาที่สุด แต่ในตอนนี้ นักศึกษาที่ทำให้เขาภาคภูมิใจที่สุด ต่างพากันตั้งคำถามต่อการตัดสินใจของเขา
ซูชิงเหยียนรู้สึกผิดหวังไม่น้อย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
“หมอเทพหลิน ผมต้องขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมไม่คิดเลยว่าเด็กพวกนี้จะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดเลยด้วยซ้ำ! ต่อให้ผมฝืนบังคับให้พวกเขาเลิกสงสัยในตัวคุณไป แต่ในใจพวกเขาก็อาจยังรู้สึกไม่พอใจคุณอยู่ดี ไม่สู้คุณกรุณาแสดงทักษะทางการแพทย์ออกมา ทำให้พวกเขาเชื่อว่าทักษะทางการแพทย์ของคุณนั้นยอดเยี่ยม จนไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้จะดีกว่าไหมครับ?!” ซูชิงเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดเต็มที่
ทันใดนั้น ผู้ชายคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นว่า: “ใช่ๆ ถ้าคุณมีทักษะจริง ก็แสดงออกมาให้พวกเราเห็นได้เลย!”
“จริงด้วย ถ้าคุณมีความสามารถ คุณก็แสดงทักษะที่แท้จริงออกมาให้ทุกคนประจักษ์หน่อย ถ้าคุณไม่มีทักษะจริง ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรให้มากไปกว่านี้ ฉันจะไม่ยอมให้คนประเภทนั้นมาเป็นอาจารย์ของฉันแน่!”
เซี่ยหยู่เวยยิ้มหยันเย็นชา แอบลำพองใจอยู่เงียบๆ : “หลินหยุน ฉันเคยพูดไว้ตั้งนานแล้วมั้ยล่ะ อย่างนายมันสมควรต้องให้เจอความอับอายกับตัวเองซะบ้าง!”
หลินหยุนกวาดสายตามองทุกคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อยากให้ฉันพิสูจน์ยังไงล่ะ?”
นักเรียนมองหน้ากันแล้วกระซิบกระซาบ
ในที่สุด จางเหยียนก็ยืนขึ้นและพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง: “ทำอย่างนี้ดีไหม คุณช่วยตรวจวินิจฉัยอาการให้กับพวกเราทุกคนที่นี่เลย!”
“ดังคำสุภาษิตที่กล่าวกันว่า คนสิบคนมีป่วยถึงเก้าคน เหลืออีกหนึ่งคือแค่เจ็บป่วยต่าง ๆ ในชีวิตประจําวัน ขอเพียงคุณสามารถบอกอาการของโรคในพวกเราทุกคนได้ถูกต้อง คุณก็เท่ากับมีคุณสมบัติ ที่จะเป็นวิทยากรของพวกเราได้!”
“ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นก็ทำการวินิจฉัยโรคที่นี่เลย!”
อธิการบดีซูกวาดตาจ้องมองไปที่ฝูงชน พลางแค่นเสียงเย็นชา: “เหลวไหล! พวกเธอนั่งกันอยู่ที่นี่ ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย จะให้หมอเทพหลินตรวจวินิจฉัยยังไงล่ะ? เห็นได้ชัดว่าพวกเธอตั้งใจทำให้เรื่องมันยากขึ้นชัดๆ!”
จางเหยียนยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอธิการบดีซู ตอนที่หมอเทพหลินคนเดียว กำราบพวกคนจากฉินโจวจนหมดท่านั่น คนอื่นไม่อยู่ที่นั่นด้วย แต่ผมอยู่ดูจนเห็นกับตาว่า แค่เขาปรายตาดูคนป่วยแวบเดียว ก็สามารถสรุปออกมาได้ว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับ ผมยังถึงกับตกใจจนแทบช็อกเลย!”
“มาตอนนี้ คุณยังมาบอกว่าคุณต้องการอุปกรณ์อะไรอีกครับ? ทักษะทางการแพทย์ที่หมอเทพหลินแสดงในการประชุมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ ระหว่างเมืองหลินโจวกับเมืองฉินโจวครั้งนั้น จะบอกว่านั่นเป็นของปลอมเหรอครับ?”
จงเฟยหยู่เหลือบมองจางเหยียน รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาตั้งใจจะมุ่งเป้าโจมตีไปที่หลินหยุนโดยมีเจตนาแอบแฝง
สำหรับนักศึกษาที่เหลือ ไม่ได้รู้ว่าหลินหยุน ได้เข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ ระหว่างเมืองหลินโจวกับเมืองฉินโจว ทั้งไม่เคยได้เห็นหลินหยุนกำราบพวกฉินโจวได้ด้วยตัวคนเดียว ก็พากันถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้นกันจนอื้ออึง
เมื่อพวกเขารู้ว่า หลินหยุนสามารถสรุปอาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับได้ในพริบตา นักศึกษาหลายคนก็พากันหัวเราะเสียงดังลั่น ยังบอกด้วยว่าหลินหยุนนั้นเป็นจอมโกหก เขาต้องสมรู้ร่วมคิดกับผู้ป่วยไว้ล่วงหน้าแน่ๆ
“ในเมื่อหมอเทพหลินสามารถมองเห็นมะเร็งตับได้ จากการปรายตามองแค่ในพริบตา การจะวินิจฉัยว่าพวกเราป่วยเป็นโรคอะไรบ้าง? ก็น่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ ด้วยไม่ใช่เหรอ?!”
“ท่านอธิการบดีซู คุณยังลังเลอะไรอยู่ล่ะครับ? หมอเทพหลิน เริ่มการวินิจฉัยเลยดีไหมครับ?”
นักศึกษากลุ่มหนึ่งทำหน้าเยาะเย้ย มองไปทางหลินหยุน เหมือนจะตัดสินไปแล้วว่าหลินหยุนต้องได้ขายหน้าจังเบ้อเร่อแน่นอน
เย่เทียนเหาหัวเราะอย่างดูถูกแล้วพูดว่า “โอ้วมายก๊อด ! ฉันไม่เคยได้ยินเทคนิคทางการแพทย์แบบนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย! วันนี้ต้องได้ประสบการณ์สุดวิเศษกลับไปแน่ๆเลยล่ะ!”
“เจ้าหนู นายช่วยแสดงความสามารถ การมองโรคมะเร็งตับได้ในพริบตาให้ดูหน่อยซิ!”
เย่เทียนเหาทำสีหน้าเยาะเย้ยดูถูกเต็มที่
“นี่…” ซูชิงเหยียนรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก เรื่องที่หลินหยุนสามารถมองโรคมะเร็งตับออกได้ในพริบตาครั้งนั้น แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าหลินหยุนไม่มีทางเล่นตุกติก แต่ถ้าพูดกันตามตรง กระทั่งตัวเขาเอง ก็ยังแอบสงสัยอยู่ในใจเหมือนกัน
มะเร็งตับในระยะแรก ไม่สามารถตรวจพบได้อย่างแม่นยำ ต่อให้ใช้เครื่องมือประสิทธิภาพสูงหลายอย่างร่วมด้วยก็ตาม แต่หลินหยุนนั้นสามารถสรุปได้ทันทีว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับ การล้มล้างความรู้ทางการแพทย์อันเป็นทฤษฎีพื้นฐานเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถไขข้อข้องใจนี้ให้บรรเทาได้
คล้ายว่าหลินหยุนจะเห็นความลำบากใจของอธิการบดีซู จึงพูดเรียบ ๆ ว่า: “ไม่เป็นไร ผมก็แค่ทำตามเงื่อนไขของพวกเขาก็พอแล้วนี่”
เย่เทียนเหาทำหน้าเหมือนมีชัยขึ้นมาในทันใด: “เจ้าหนู ช่างไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาซะจริงนะ ! เดี๋ยวถ้ามองไม่ออกขึ้นมา ก็อย่ามาพูดอะไรเหลวไหลไร้สาระต่อหน้าชั้นล่ะ!”
นักศึกษาส่วนใหญ่ในห้องเรียน ต่างพากันมองหลินหยุนอย่างมีความสุข บนความทุกข์ของผู้อื่น ต่างรอดูเรื่องตลกของหลินหยุนกันโดยถ้วนหน้า
หลินหยุนเดินลงจากโพเดียมไป ราวกับว่าไม่เห็นใครอื่นในห้อง ปรายตามองหญิงสาวตัวเตี้ยที่นั่งโต๊ะด้านหลังทางซ้ายสุด บนใบหน้าของหญิงสาว มีรอยไฝฝ้าจุดด่างดำหลายจุด
หลินหยุนไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น แค่พูดเสียงเรียบเรื่อยว่า: “หน้าด่างดำมีฝ้ากระ ร่างกายอ่อนแอ เลือดคั่งมากเกินไป ให้ความสนใจกับการขุดลอกสิ่งอุดตันหน่อย”
ผู้หญิงคนนั้นสะดุ้งและหน้าแดง เธอก้มหน้าลงแล้วพูดในลำคอเสียงเบาราวกับยุงว่า: “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะมีวิธีลอกสิ่งอุดตันไหมคะ?”
หลินหยุนเดินเข้าไปหาเธอ หยิบปากกาบนโต๊ะขึ้นมา แล้วเขียนใบสั่งยาลงไปในสมุดจดของเธอ
“ยึดตามใบสั่งยาและปริมาณนี้ วันละสามครั้ง ห้าวันจะเห็นผล!”
หญิงสาวพิจารณาใบสั่งยาที่หลินหยุนเขียนให้ กอดไว้ด้วยความรู้สึกยินดีเป็นที่สุด
เธอมักมีอาการร่างกายเย็น ทุกครั้งที่เมนส์มา เธอจะรู้สึกไม่สบายเนื้อตัวอย่างยิ่ง และเธอก็อายที่จะพูดให้ใครฟัง ถ้าหลินหยุนสามารถรักษาอาการนี้ของเธอได้จริง ๆ ก็เท่ากับว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของเธอเลยทีเดียว
จากนั้น หลินหยุนก็มองไปที่ชายหนุ่มคนต่อไป ซึ่งใบหน้าออกสีแดงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเขาตื่นเต้นมากไป หรือเพราะนั่นคือสีหน้าแต่เดิมของเขากันแน่
“ผิวแดงเรื่อ เส้นชีพจรไม่เป็นระเบียบ อาการร้อนในรุนแรง ริดสีดวงทวารเริ่มมีเลือดออกแล้ว!”