จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 401 งานเลี้ยงฉลองของปรมาจารย์หลิน
สามวันต่อมา โรงแรมระดับห้าดาวที่เปิดขึ้นใหม่ในเมืองหลินโจว โรงแรมโล่เฉิน
โดยที่ทั้งโรงแรม ในวันนี้ได้ถูกเจี่ยงสงเหมาจองเอาไว้แล้ว
ด้านนอกโรงแรม ได้เชิญยามจำนวนมากมาจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ยืนประจำการในทุกช่วงระยะห่างห้าก้าว โดยล้อมรอบโรงแรมโล่เฉินเอาไว้ทั้งหมด
มาตรการรักษาความปลอดภัยระดับนี้ ถ้าหากไม่ทราบ คงจะคิดว่าเป็นการพบปะพูดคุยกันของผู้นำระดับสูงของประเทศ เพื่อปรึกษาหารือเรื่องราวระดับชาติ
จากชั้นหนึ่งจนถึงชั้นสาม ปล่อยวางลงทั้งหมด ใช้สำหรับเป็นห้องโถงจัดงานเลี้ยงฉลองในวันนี้
รูปแบบการตกแต่งของโรงแรมโล่เฉิน ทันสมัยเหมาะสมเป็นอย่างมาก คนที่อยู่บนชั้นสองและชั้นสาม สามารถมองเห็นห้องโถงที่ชั้นหนึ่งได้ เหมาะสำหรับใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับแขกผู้มาร่วมงานที่มีจำนวนมาก
แม้ว่าจะอาศัยใช้นามของปรมาจารย์หลิน แต่เจี่ยงสงคือผู้ที่เริ่มต้นคิดจัดงานเลี้ยงฉลองตัวจริง
อีกทั้ง เจี่ยงสงเข้าใจอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายของงานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้
เพื่อที่จะสร้างความสั่นสะเทือนโด่งดังให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้คน เป็นการปูทางเพื่อจำหน่ายน้ำชี่ทิพย์
ดังนั้น เจี่ยงสงจึงได้ส่งบัตรเชิญ ให้กับผู้ที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาทั้งหมดในเมืองหลินโจว
เถียนชุ่ยชุ่ยมาร่วมงานในลักษณะนี้เป็นครั้งแรก แน่นอนว่า ลำพังแค่อาศัยสถานะของเธอ คงไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเข้าร่วมงานที่นี่ได้
แต่ว่า พ่อของเสิ่นหย่งมีชื่ออยู่ในรายชื่อแขกที่เชิญพอดี เธอจึงติดตามเสิ่นหย่ง มาเข้าร่วมงานที่นี่ด้วย
มองไปโดยรอบล้วนเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จที่แต่งกายในชุดสูทที่ภูมิฐาน เถียนชุ่ยชุ่ยตื่นเต้นจนร่างกายอ่อนแรงลง น้ำเสียงที่พูดนั้นก็ไพเราะเป็นพิเศษ
“พี่หย่ง คนนั้นเมื่อครู่ไม่ใช่ท่านรองนายกเว่ยแห่งเมืองหลินโจวของพวกเราเหรอ? เขาก็มาร่วมงานด้วย! ”
เสิ่นหย่งเงยหน้าขึ้น มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ส่วนเถียนชุ่ยชุ่ยที่อยู่ในชุดกระโปรง สีขาว และมือที่ขาวนวลได้ควงแขนของเขาไว้
ขณะที่เดินนั้น เต็มไปด้วยบุคลิกความเป็นสุภาพบุรุษ
“ไม่ต้องตระหนกตกใจไปหรอก ไม่เพียงแค่ท่านรองนายกเว่ยเท่านั้น แม้แต่ผู้นำของมณฑลก็มาร่วมงานกันตั้งหลายท่าน”
“อะไรนะ! คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า ปรมาจารย์หลินจะมีเกียรติมีหน้ามีตามากขนาดนี้! ” เถียนชุ่ยชุ่ยอุทานขึ้นเบา ๆ จากนั้นก็เอามือป้องปิดที่ปาก แล้วรีบมองไปยังรอบข้าง พบว่าไม่มีใครจ้องมอง มาที่เธอ จึงเบาใจลงได้บ้าง
“เสิ่นหย่ง เถียนชุ่ยชุ่ย! ” ที่บริเวณไม่ไกลนัก หวางหยู่หันได้ปล่อยมือจากพ่อของเธอ แล้วก็วิ่งตรงมาที่เถียนชุ่ยชุ่ยสองคนนั้น
“พวกคุณก็มากันด้วยเหรอ! ” หวางหยู่หันแปลกใจเล็กน้อย เดิมทีเธอคิดติดตามพ่อมาร่วมงานเพื่อที่จะหาประสบการณ์เพิ่มพูนความรู้ แต่หลังจากที่มาถึงแล้ว พบว่าไม่มีคนที่รู้จักเลย
ตอนนี้ได้พบเจอกับเถียนชุ่ยชุ่ย ก็รู้สึกดีใจเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่ต่างแดนในทันที
“หวางหยู่หัน! ” เถียนชุ่ยชุ่ยก็ได้กระซิบถามขึ้นว่า: “คุณก็มาด้วยเหรอ! ”
“อืม” หวางหยู่หันพยักหน้า
“เถียนชุ่ยชุ่ย หวางหยู่หัน! ” ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมาอีก จางเหมิงที่ควงแขนอยู่กับเหยียนเสวเหวิน ก็ได้เดินเข้ามาหา
“จางเหมิง! ” เถียนชุ่ยชุ่ยกับหวางหยู่หันก็ตะโกนเรียกขึ้นเบา ๆ ด้วยความดีอกดีใจ
“คุณก็มาด้วยเหรอ! ” เถียนชุ่ยชุ่ยพูดขึ้น
จางเหมิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดขึ้นว่า: “งานเลี้ยงฉลองของปรมาจารย์หลิน พวกเราจะไม่มาเข้าร่วมได้อย่างไรกันล่ะ! ”
คิดถึงที่ว่าเหยียนเสวเหวินที่อยู่ด้านข้างของจางเหมิง สามารถเชิญปรมาจารย์หลินได้ หวางหยู่หันกับเถียนชุ่ยชุ่ยต่างก็พากันอิจฉา
“พวกเราไปด้วยกันเถอะ! อีกสักครู่ปรมาจารย์หลินก็มาแล้ว ให้เสวเหวินพาพวกเราไปถ่ายรูปร่วมกับปรมาจารย์หลิน! ” จางเหมิงลากไปที่แขนของเหยียนเสวเหวิน และพูดขึ้นอย่างเฉยเมย เหมือนกับว่าเธอสนิทสนมกับปรมาจารย์หลินมากมายอย่างไรอย่างนั้น
เหยียนเสวเหวินที่อยู่ด้านข้างเกิดความกังวลใจ คนอื่นต่างก็คิดว่าพ่อของเขาสามารถพูดคุยกับปรมาจารย์หลินได้ แต่เขาเองนั้นทราบถึงข้อเท็จจริง เรื่องเหล่านี้ต่างก็เป็นสิ่งที่เขาโกหกสร้างเรื่องขึ้นมา ซึ่งในความเป็นจริงพ่อของเขาไม่ได้รู้จักกับปรมาจารย์หลินเลย
เหยียนเสวเหวินหลบสายตาไปมาและพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า: “เหมิงเหมิง คุณพูดเสียงเบาลงหน่อย วันนี้ผู้คนที่มาร่วมงานต่างก็เป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น! ”
จางเหมิงพูดขึ้นโดยไม่เข้าใจว่า: “คนใหญ่คนโตแล้วยังไงกัน? หรือว่าจะมีสถานะใหญ่โตไปกว่าปรมาจารย์หลินงั้นเหรอ? พวกเราเป็นแขกวีไอพีของปรมาจารย์หลิน จะไปเกรงกลัวอะไรล่ะ! ”
เหยียนเสวเหวินยิ่งร้อนใจมากขึ้น มองไปโดยรอบไม่มีผู้ใดจ้องมองมาที่พวกเขา เหยียนเสวเหวินจึงเบาใจลงได้บ้าง
“คุณถ่อมตัวลงหน่อยจะได้ไหม ผู้คนที่มาในวันนี้ต่างก็เป็นแขกวีไอพีที่ปรมาจารย์หลินเชิญมาทั้งนั้น คุณอยากให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะว่าพวกเราไม่รู้จักกาลเทศะอย่างนั้นเหรอ! ”
จางเหมิงก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงใด ๆ อีกทันที หากว่าเกิดความอับอายขายหน้าขึ้นในงานวันนี้ คงจะกลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตอย่างแน่นอน
พวกวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้เดินชมภายในบริเวณห้องโถง และก็ได้พบเจอกับหลี่หงถูกับฉินโส่ว ทำให้กลุ่มของพวกเขายิ่งมีจำนวนคนเพิ่มมากขึ้นอีก
วันนี้ กลุ่มเล็กแบบพวกเขานี้มีอยู่มากพอสมควร เซี่ยหยู่เวยกับเว่ยเทียนหมิงก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มเล็กเช่นกัน
แน่นอนว่า เซี่ยหยู่เวยไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมงานได้ แต่เว่ยเทียนหมิงเป็นลูกชายของรองนายกเมืองหลินโจว ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมงานได้อย่างแน่นอน
จงเฟยหยู่กับเสิ่นจงซู ก็เป็นกลุ่มเล็กอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน
บุคคลผู้ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทั่วทั้งเมืองหลินโจว ต่างก็มาร่วมงานเกือบทุกคนแล้ว
แม้ว่าเจี่ยงสงจะได้ทำการเหมาจองทั้งโรงแรมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เขาก็ประเมินอิทธิพลบารมีของปรมาจารย์หลินต่ำเกินไป ซึ่งแขกผู้มีเกียรติที่มาในวันนี้ มากเกินกว่างบประมาณที่ตั้งเอาไว้เกือบสองเท่า
ดังนั้น พนักงานของโรงแรมจึงไม่ค่อยจะมีพอใช้งานสักเท่าไหร่
ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสูทสีขาวแบบสั้น คือพี่โล่โล่ที่มีบุคลิกสง่างามโดดเด่น คล่องแคล่วมีความสามารถ กำลังเดินต้อนรับอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
เธอก็คือเจ้าของโรงแรมแห่งนี้
หลินหยุนมาร่วมงานเพียงลำพัง
โดยที่ปฏิเสธคนขับรถที่เจี่ยงสงได้จัดเตรียมเอาไว้ให้
เมื่อหลินหยุนเดินเข้าสู่ห้องโถง ก็พบเห็นพี่โล่โล่ในชุดสูทสีขาว เธอกำลังถือถาดอาหาร และพูดคุยอะไรกับพนักงานอยู่
“ใช่พี่โล่โล่จริง ๆ ด้วย! ” หลินหยุนตกใจอยู่ที่ตรงนั้น โดยตกตะลึงขึ้นบ้างเล็กน้อย
ในตอนแรกที่เขาได้ยินเจี่ยงสงพูดถึงโรงแรมโล่เฉินนั้น เขาก็สงสัยแล้วว่าโรงแรมแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพี่โล่โล่หรือไม่อย่างไร
ดูเหมือนว่าเขาจะทายมันได้ถูกต้องแล้ว
สำหรับที่ว่าทำไมพี่โล่โล่ถึงได้เปิดกิจการโรงแรมขนาดใหญ่อย่างนี้ เพียงครู่เดียวหลินหยุนก็คิดออกได้ถึงเรื่องราวความเป็นมาแล้ว
แน่นอนว่าหลังจากที่เขาได้แสดงฝีมือความสามารถในบาร์แล้ว ทำให้คนจำนวนมากต่างก็ตกตะลึงและเกรงกลัวเขา กิจการของพี่โล่โล่ก็ยิ่งดีวันดีคืน จากนั้นก็เลยถือโอกาสขยายกิจการให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
พี่โล่โล่ที่กำลังอบรมพนักงานใหม่คนหนึ่งอยู่ เหมือนกับมีความรู้สึก จึงหันมองไปทางหลินหยุน
ทันใดนั้น พี่โล่โล่ก็ตกตะลึงขึ้น
จากนั้น พี่โล่โล่ก็เดินเข้ามาหาหลินหยุน ด้วยสีหน้าท่าทางดีอกดีใจ
พี่โล่โล่ยื่นมือไปแตะที่บ่าของหลินหยุนเล็กน้อย และพูดขึ้นด้วยท่าทางที่องอาจ: “เสี่ยวหยุน นายมาที่นี่ทำไมเหรอ? ”
หลินหยุนรับรู้ได้ว่า พี่โล่โล่คงยังไม่ทราบถึงสถานะของเขา จึงยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ฉันติดตามเพื่อนมาเพื่อร่วมฉลองงานเลี้ยงกับพวกเขาด้วย”
“อืม นายเดินชมเดินเล่นตามสบายเลย วันนี้มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเราเมืองหลินโจวจะจัดงานเลี้ยงฉลองกันที่นี่ ฉันขอตัวไปยุ่งก่อน รอมีเวลาว่างแล้วพวกเราค่อยมาพูดคุยกัน! ” พี่โล่โล่พูดขึ้นอย่างรีบเร่ง
ด้านหลัง พนักงานคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า: “พี่โล่โล่ เก้าอี้ตรงจุดนี้ไม่พอแล้ว ในโกดังก็ไม่มีแล้ว ผู้จัดการหวางบอกให้ข้ามารายงานให้คุณรับทราบ! ”
“เก้าอี้ได้วางอยู่ในโกดังใหม่แล้ว ผู้จัดการหวางไม่รู้หรอกเหรอ? นายไปเอาเก้าอี้กับฉันเดี๋ยวนี้เลย! ”พี่โล่โล่พูดตะโกนใส่พนักงานคนนั้น
หลินหยุนยิ้มและพูดว่า: “พี่โล่โล่ คุณมีธุระก็ไปยุ่งธุระก่อนได้เลย! ”
“อืม ค่อยคุยกันในครั้งหน้า! ” พี่โล่โล่รีบเดินไปหาพนักงานคนนั้น แต่ว่าเดินไปได้แค่สองก้าว ก็เดินกลับมาแล้ว
“นายช่วยฉันถืออันนี้หน่อยได้ไหม! คงไม่ถือสาอะไรนะ? ” พี่โล่โล่ยิ้มแล้วก็นำถาดอาหารที่อยู่ในมือ ซุกเข้าไปที่อ้อมอกของหลินหยุน แววตาเผยถึงท่าทีที่รู้จักสนิทสนมกันมาก่อนแวบหนึ่ง
“ไม่ถือสาแน่นอน คุณไปยุ่งก่อนเถอะ ฉันจะรอคุณอยู่ที่นี่” หลินหยุนถือถาดอาหารอย่างชำนาญ ยิ้มและพูดขึ้น โดยความคิดล่องลอยกลับไปถึงช่วงเวลาในปีนั้นตอนที่เขาทำงานอยู่ที่บาร์โล่เฉินแห่งนี้
“อืม รอฉันสักครู่ ไม่นานฉันก็กลับมาแล้ว! ” พี่โล่โล่พูดจบ ก็รีบเดินพาพนักงานคนนั้นเดินไปยกเก้าอี้อย่างรวดเร็ว
หลินหยุนถือถาดอาหาร และพอดีที่ในวันนี้เขาใส่ชุดกีฬาสีดำ ซึ่งเหมือนกับชุดพนักงานของที่นี่เลย
มีหลายคนที่เดินผ่านไปมา ก็คิดว่าเขาเป็นพนักงานไปแล้ว
หลินหยุนหาที่หลบมุมเพื่อนั่งลง รออยู่อย่างเงียบ ๆ จนกว่าพี่โล่โล่กลับมา
แต่ว่า เสียงหัวเราะเยาะเย้ย ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน: “หลินหยุน คิดไม่ถึงว่านายจะมาเป็นพนักงานของที่นี่! ”
เถียนชุ่ยชุ่ย หวางหยู่หันและคนอื่น ๆ มองไปที่หลินหยุนด้วยความตกตะลึง ในสายตาแฝงไปด้วยความเหยียดหยามอย่างมาก