จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 426 ความในใจของหลินตงหัว
หลินตงหัวพูดเสียงเบาๆ “ฉินหลัน ทำไมพูดเช่นนี้!คนที่เข้ามาเป็นแขก ระวังบุคลิกท่าทางของตัวเองหน่อย!”
หลินหยุนยิ้มแหย่ๆให้ฉินหลัน แสดงถึงความพึงพอใจ
“ค่ะ!” ฉินหลันทำตาเหลือกใส่หลินหยุน จงใจตอบด้วยการลากเสียงยาว
หวางซูเฟินพูดว่า “ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็มาทานอาหารกลางวันด้วยกันสิ!”
“เสี่ยวหลันไปช่วยฉันล้างผัก!”
“โอเคค่ะ!” ฉินหลันกลอกตาใส่หลินหยุน หันหลังและเดินตามหวางซูเฟินเข้าไปในห้องครัว
ดูเหมือนว่าหลินตงหัวจะรู้สึกประทับใจหลินหยุน เขารู้สึกว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ทำให้เขามีความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคย
อดไม่ได้ หลินตงหัวก็คิดถึงลูกที่น่าสงสารของเขา ถ้าหากเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ คงจะอายุเท่ากับหลินหยุน!
เมื่อเห็นหลินตงหัวรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที หลินหยุนสามารถเดาได้ว่าหลินตงหัวกำลังคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้นหลินหยุนก็อมยิ้มเล็กน้อยยิ้ม “เรื่องบางเรื่อง ตราบใดที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องเลวร้าย”
หลินตงหัวตกตะลึง หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้สามารถมองทะลุจิตใจฉันได้?”
คำพูดที่ชาญฉลาดเช่นนี้ ไม่ใช่เด็กหนุ่มเช่นนี้สามารถพูดออกมาได้
“ท่านหลิน คุณคิดว่าผมพูดถูกไหม?” หลินหยุนถามอีกครั้ง
หลินตงหัวหัวเราะและพูดว่า “ถูก พูดได้ดีมาก! ตราบใดที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ ก็ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด”
ความหดหู่ในใจของหลินตงหัวค่อยๆเลือนหายไปเล็กน้อย
“จริงสิ คุณกับฉินหลันรู้จักกันได้ได้อย่างไร?” หลินตงหัวถาม
หลินหยุนพูดว่าตัวเองมีทักษะการต่อสู้เล็กน้อย และบังเอิญฉินหลันพบเห็น จากนั้นก็กลายเป็นบอดี้การ์ดของฉินหลัน ก็เลยได้รู้จักกัน
เกี่ยวกับการประชุมสุดยอดจงโจว เขาไม่ได้พูดถึงมันเลย
บางทีหลินตงหัวรู้จักตัวตนของหวางซูเฟิน แต่เขาไม่รู้ถึงอันตรายที่หวางซูเฟินต้องทนแบกรับเพียงลำพัง ชาติที่แล้วหวางซูเฟินไม่ได้บอกเขา เพราะไม่ต้องการให้ความกดดันที่เขาอยู่ในตระกูลหวางกับตระกูลหลิน เพิ่มแรงกดดันมากขึ้นอีก
ในชาตินี้ หลินหยุนมีความสามารถที่จะปกป้องบริษัทตงหวางกรุ๊ป และแน่นอนว่าจะไม่ให้หลินตงหัวได้รับความกดดันอีก
ทั้งสองคุยกันครู่หนึ่ง หวางซูเฟินและฉินหลันจัดเตรียมกับข้าวเรียบร้อย และเรียก “ทานข้าวกันได้แล้ว!”
หลินตงหัวยืนขึ้น และเดินไปที่โต๊ะอาหาร “ทานข้าวกันก่อน ลิ้มรสฝีมือของฉินหลัน ปกติคุณไม่มีโอกาสได้ทานหรอก!”
“คาดหวังเป็นอย่างมาก!” หลินหยุนนั่งลงด้วยรอยยิ้ม
ฉินหลันตักข้าวใส่ชามให้เขา โยนลงตรงหน้าเขา
หลินหยุนไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่มองด้วยความเพลิดเพลิน
ฉินหลันในชาติที่แล้ว ซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้ในใจ อยู่ต่อหน้าเขา ใบหน้าของฉินหลันดูเหมือนจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
ตอนนี้ พ่อกับแม่ยังอยู่ ฉินหลันไม่ต้องแบกรับแรงกดดันมากนัก ดังนั้นเธอจึงไม่ปิดบังอารมณ์ภายในใจของเธอ
ฉินหลันมักจะกลอกตาใส่หลินหยุนตลอด เป็นช่วงอายุที่ร่าเริงแจ่มใสในวัยของเธอ และควรเป็นอารมณ์ที่ควรจะมี
ระหว่างรับประทานอาหาร หลินตงหัวได้รับสายโทรศัพท์ และดูเหมือนว่าเป็นหัวหน้าของเขาโทรมา
หลังจากรับสายกลับมา หลินหยุนพบว่าหลินตงหัวมีความในใจ รู้สึกหดหู่ใจ และทานข้าวไม่ลง
“เกิดอะไรขึ้น?” หวางซูเฟินถามอย่างเป็นห่วง
“เฮ้อ ก็เป็นเพราะเจียงซ่างหมิง โทรมาเพื่อแจ้งว่างานเลี้ยงฉลองครั้งนี้จะจัดล่วงหน้า เปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้ บอกว่าจะมีข่าวดีมาแจ้ง” ใบหน้าของหลินตงหัวรู้สึกเบื่อหน่าย แฝงด้วยความรู้สึกของการประชดประชัน
หวางซูเฟินบ่นเล็กน้อยว่า “พรุ่งนี้เป็นเทศกาลปีใหม่วันที่สอง เป็นเวลาที่ทุกคนต้องพบปะญาติพี่น้อง ในอดีตจะจัดงานเลี้ยงฉลองในวันที่หก ปีนี้เขาเป็นบ้าอะไร!”
ฟังน้ำเสียงของเจียงซ่างหมิง ดูเหมือนจะได้พบกับข่าวดี ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ไปแล้วก็รู้เอง”ดูเหมือนหลินตงหัวไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ต่อ
หลินหยุนรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลองนี้เลย
อย่างไรก็ตาม ฟังชื่อเรียกแล้วคงจะเป็นเรื่องดี! แต่ทำไมดูคุณพ่อเหมือนกังวลใจ?
เพียงแต่ว่า หลินตงหัวไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ หลินหยุนก็ไม่อยากถามเพราะความเกรงใจ
ทานข้าวเสร็จ หลินหยุนก็ขอตัวกลับก่อน
หลินตงหัวและหวางซูเฟินรั้นให้อยู่ต่อ แต่เมื่อเห็นว่าหลินหยุนไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ต่อ ดังนั้นจึงเดินไปส่งหลินหยุนกลับไป
ที่จริงแล้วหลินหยุนต้องการอยู่ต่อให้นานกว่านี้ แต่เมื่อเขานึกถึงงานเลี้ยงฉลองนั้น หลินหยุนจำเป็นต้องไปสอบถามคนอื่น
ตามสัญชาตญาณของหลินหยุน งานเลี้ยงฉลองนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
หลินหยุนนั่งรถแท็กซี่มาถึงแยกถนนเหอผิง เดินไปข้างหน้าประมาณ200เมตร ที่นี่มีร้านกาแฟดีๆร้านหนึ่ง
หลินหยุนหาที่นั่ง สั่งชามาแก้วหนึ่ง และรออย่างเงียบๆ
ร้านกาแฟแห่งนี้ ชาติที่แล้วมู่เฉิงเป็นคนพาเขามา ก็คือตรงนี้ เขาได้พบกับเพื่อนที่ดีอีกสอง คือซูเย่นหนิงและโม่หยู่
โดยทั่วไปพอพวกเขามีเวลาว่าง ก็จะมาที่นี่เพื่อดื่มชาบ่าย
มู่เฉิงเคยบอกพวกเขาว่า ก่อนที่พวกเขาจะรู้จักหลินหยุน พวกเขาสามคนมักมาที่นี่เพื่อพบปะ พูดคุยการดำเนินชีวิต และพูดคุยเกี่ยวกับอุดมคติ
หลินหยุนรู้สึกว่า วันนี้พวกเขาคงจะมา
แน่นอน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงของมู่เฉิง “บริกร ตำแหน่งเดิมสามคน ชาปี้หลัวชุนสามแก้ว!”
หลินหยุนหันหัวไปมอง มู่เฉิงผู้เย่อหยิ่ง ซูเย่นหนิงที่สูงและหล่อเหลา และร่างที่ใส่ชุดสีดำผมยาวคลุมไหล่ รูปร่างที่สูงโปร่งของโม่หยู่
“เฮ้ย คุณทำไมมาอยู่ที่นี่!” มู่เฉิงพูดก่อน ขณะที่เดินผ่านหลินหยุน ดวงตาของเขาก็มีแสงสว่างขึ้น และตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“รอนายอยู่” หลินหยุนพูดเบาๆ
มู่เฉิงหันกลับมา และแนะนำให้ซูเย่นหนิงและโม่หยู่ให้รู้จัก “นี่คือผู้มีพระคุณของตระกูลเรา วันนี้ที่นัดพวกเธอออกมา เพื่อแนะนำให้พวกเธอรู้จัก!”
“ตอนนี้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องแนะนำแล้ว”
“สวัสดี ฉันชื่อหลินหยุน” หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย
“สวัสดี!” โม่หยู่ตอบอย่างสบายๆ โดยไม่ได้เอ่ยชื่อตัวเอง ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยอยากต้อนรับหลินหยุน
พูดอย่างตามความจริง ไม่ใช่ว่าเธอไม่ต้อนรับหลินหยุน แต่เธอไม่ต้อนรับคนแปลกหน้าทั้งหมด
ซูเย่นหนิงมองไปที่หลินหยุน ด้วยสีหน้าแปลกใจ “นายเป็นผู้มีพระคุณของมู่เฉิง? นายอย่าพึ่งพูด ให้ฉันเดาดูว่านายเป็นใคร และมาจากไหน?”
มู่เฉิงโบกมือ และพูดอย่างจนปัญญา “เขาชื่อซูเย่นหนิง ผู้ซึ่งอ้างตนว่าเป็นอาจารย์ทำนายที่ยิ่งใหญ่ แต่คำทำนายของเขาดูเหมือนจะไม่เคยแม่นยำ!”
“สำหรับสาวงามคนนี้ เธอชื่อโม่หยู่ เป็นคนจิตใจดี แต่ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้า คุณอย่าถือสานะ”
ซูเย่นหนิงกลอกตาให้มู่เฉิง “มู่เฉิง อย่าพูดไร้สาระ ไม่ใช่ว่าฉันทำนายไม่แม่น นั่นเรียกว่าความลับสวรรค์ห้ามเปิดเผย!”
สายตาของหลินหยุน มองไปที่ซูเย่นหนิง ในชาติที่แล้วเขาเหมือนกับมู่เฉิง รู้สึกว่าซูเย่นหนิงเหมือนพวกสิบแปดมงกุฎ
เพียงแต่ว่า คราวนี้ หลินหยุนเห็นความแตกต่างเล็กน้อยในตัวของซูเย่นหนิง
ร่างกายของซูเย่นหนิงมีพลังพิเศษ แต่พลังนี้เป็นพลังที่มองไม่เห็นและไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับซูเย่นหนิงได้ ซูเย่นหนิงในตอนนี้ยังคงเป็นเพียงคนธรรมดา
อย่างไรก็ตาม พลังนี้สามารถนำไปใช้ในทางอื่นได้ อย่างเช่นลางสังหรณ์
ผู้คนในโลกนี้ ล้วนแต่แปลกประหลาด และในร้อยล้านชีวิตคน จะมีการกลายพันธุ์เพียงไม่กี่ครั้งที่ดำรงอยู่
ซูเย่นหนิงเป็นหนึ่งในนั้น และความสามารถของเขานั้น เป็นพรสวรรค์ แตกต่างจากนักบู๊และผู้บำเพ็ญเซียน ได้มาจากพรแสวงที่ผ่านการฝึกฝน
หลินหยุนอยากรู้มากเกี่ยวกับซูเย่นหนิง มันเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้นดวงตาของหลินหยุนกลายเป็นสีขาวดำ พลังดวงตาทำลายล้าง ความแตกต่างของซูเย่นหนิงกับคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีความทุกข์ใดๆ
ขณะที่หลินหยุนมองมู่เฉิง มู่เฉิงก็กลายเป็นเส้นด้ายสีดำที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ ก่อตัวหนาแน่นจนกลายเป็นร่างมนุษย์ เชื่อมความว่างเปล่าเข้าด้วยกัน
เพียงแต่ว่า เส้นด้ายสีดำที่ประกอบเป็นร่างของซูเย่นหนิง มากกว่ามู่เฉิงมาก ถ้าเส้นไหมสีดำที่ประกอบเป็นมู่เฉิงมีหนึ่งล้าน แสดงว่าของซูเย่นหนิงมีเป็นร้อยล้าน
แล้วด้ายสีดำที่เกินออกมานี้มีประโยชน์อะไร?
หากเส้นด้ายสีดำเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นเส้นด้ายที่ประกอบขึ้นเป็นชะตากรรมของบุคคล แสดงว่าเส้นด้ายแห่งชะตากรรมของซูเย่นหนิงมีมากกว่าคนทั่วไป อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถทำนายอนาคตได้