จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 452 แผนที่หนึ่งแผ่น
เขาเก็บภาพหนึ่งแผ่นขึ้นได้ ซึ่งก็คือแผนที่หนึ่งแผ่น
แผนที่แผ่นนี้แปลกประหลาดมาก ด้านบนวาดภูเขาหนึ่งลูก บนภูเขาวาดกระบี่เล็กหนึ่งเล่ม ด้านล่างภูเขาเป็นเมฆหมอก
เป็นแผนที่ที่แปลกประหลาดมาก
“นี่คือสถานที่ที่ไหนเหรอ? ที่มีภูเขาสูงตระหง่านในหมู่เมฆแบบนี้? ”
ผู้อาวุโสหน้าเขียว มองไปยังแผนที่ ด้วยสีหน้าที่สงสัย
“ข้าต้องการแผนที่แผ่นนี้” เสียงของหลินหยุนดังผ่านเข้ามา
ผู้อาวุโสรีบเก็บแผนที่นั้นขึ้น แล้วจ้องไปที่หลินหยุน: “ทำไมต้องให้นายด้วย! นี่เป็นสิ่งที่ข้าพบเจอ! ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “ตามสัญญาที่ให้ไว้ สิ่งของในที่แห่งนี้ ข้าสามารถที่จะเลือกได้สามชิ้นตามที่ต้องการ”
“ผู้อาวุโสเก้า ข้าพูดถูกต้องไหม? ”
ผู้อาวุโสเก้าพูดอย่างหนักแน่นว่า: “ถูกต้อง ก่อนที่เพื่อนเต๋าหลินหยุนยังไม่ได้คัดเลือกเสร็จสิ้น สิ่งของที่พวกเราพบเจอทั้งหมดนั้น เขามีสิทธิที่จะนำไปได้! ”
“น่าขัน นั่นเป็นทางสำนักอู๋จี๋ของพวกนายที่สัญญาตกลงกับเขาไว้ ส่วนข้าไม่ได้ตกลงสัญญาเอาไว้สักหน่อย! ” ผู้อาวุโสยิ้มและพูดขึ้นอย่างเย็นชา
ผู้อาวุโสเก้าพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า: “นายคิดที่จะเป็นศัตรูกับสำนักอู๋จี๋ของเราอย่างนั้นเหรอ? ข้าเตือนนายให้รีบนำแผนที่มอบให้กับหลินหยุนเดี๋ยวนี้ สำนักอู๋จี๋ของเราพูดจริงทำจริงมาโดยตลอด อย่าได้บีบบังคับให้ข้าต้องลงไม้ลงมือกับนายเลย”
ผู้อาวุโสผู้นั้นมีสีหน้าท่าทางที่โมโหอย่างมาก แต่ว่าเมื่อมองไปยังผู้อาวุโสหลายท่านของสำนักอู๋จี๋ที่กำลังจ้องมองอย่างละโมบนั้น จึงต้องยอมที่จะนำแผนที่มอบให้กับหลินหยุนด้วยท่าทางที่อับอายและโกรธแค้น
คนของสำนักอู๋จี๋ ในตอนนี้เขายังไม่สามารถที่จะล่วงเกินได้
รับรู้ได้ถึงสายตาที่หม่นหมองของผู้อาวุโสคนนั้น หลินหยุนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ถ้าหากเขากล้าที่จะคิดแผนการชั่วร้ายอะไร นั่นก็คงเป็นการรนหาที่ตาย
ดูแผนที่แล้ว หลินหยุนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแผนที่ที่ไม่ได้ทำสัญลักษณ์บ่งบอกอะไรนี้ตกลงกำลังบอกถึงสถานที่แห่งไหนกันแน่ แต่ว่าในเมื่อเป็นสิ่งของที่อยู่ในวังเทพจันทรา และยังไม่ได้ถูกไฟเผาไหม้ แสดงว่าแผนที่แผ่นนี้ไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไปเป็นแน่
หลินหยุนจึงเก็บมันใส่ไว้ในแหวนเก็บของ
ทุกคนต่างก็สำรวจท่ามกลางซากปรักหักพังกันต่อไป แต่ว่าคราวนี้ทุกคนต่างก็มีเจตนาแฝงไว้ ซึ่งต่อให้พบเห็นสิ่งของอะไร ก็จะแกล้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น
หลินหยุนเพิ่งได้สิ่งของเพียงสองชิ้น ยังขาดอยู่อีกหนึ่งชิ้น ต่อให้พวกเขาพบเจอแล้ว ก็เหมือนเป็นการช่วยหลินหยุนค้นหาสิ่งของ
แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคนต่างก็ได้ค้นหาสำรวจไปในทุกซอกทุกมุมของตำหนักแล้ว ก็ไม่พบเจอสิ่งของชิ้นใดที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้นอีกสักชิ้นเลย
หลินหยุนก็ยังคงไม่พบเจอเบาะแสข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเทพจันทรา ซึ่งถ้าหากไม่เกิดไฟไหม้ขึ้น บางทีอาจจะพบเจอสิ่งของบางอย่าง เพื่อเป็นข้อมูลบ่งบอกถึงสถานะของเทพจันทราที่ชัดเจนได้
“ที่นี่ไม่มีสิ่งของที่มีมูลค่าอะไรอีกแล้ว”
หลินหยุนพูดขึ้น แล้วก็หันหลังเดินออกไปจากตำหนัก
ผู้อาวุโสสำนักอู๋จี๋หลายท่านต่างก็มีสีหน้าท่าทางที่ไม่ยินยอม โดยที่สำนักอู๋จี๋ของพวกเขาเฝ้าปกป้องอย่างลำบากยากเข็ญมาเป็นเวลานาน สูญเสียพลังมากมายเพื่อทำลายค่ายกล ตอนนี้ในที่สุดก็ทำลายค่ายกลลงได้ แต่ว่ากลับไม่ได้สิ่งของอะไรสักอย่างเลย
หากข่าวสารแพร่กระจายออกไป สำนักอู๋จี๋คงจะถูกคนหัวเราะเยาะเย้ยอย่างแน่นอน
“โธ่ ที่จริงแล้วก็เหมือนเป็นการเสียแรงเปล่าโดยที่ไม่ได้รับผลอะไรตอบแทนเลย! ” วัยรุ่นคนหนึ่งถอนหายใจและพูดขึ้นอย่างประหลาด
“นายไม่ได้ฝ่าด่านอะไรสักหน่อย ต่อให้ภายในที่แห่งนี้มีสิ่งล้ำค่าของเซียน ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนายแม้แต่น้อย นายจะมาถอนหายใจทำไมกัน? ”
“ข้าก็เพียงแค่รู้สึกแทนคนอื่นว่ามันไม่คุ้มค่าเลยจริง ๆ! ลำบากยากเข็ญมาตั้งนาน ผลสุดท้ายสิ่งของสองชิ้นนั้น กลับถูกคนอื่นนำเอาไป นายว่า นี่มันน่าตลกน่าขันไหมล่ะ? ”
“ช่างน่าขันจริงด้วย เรื่องนี้ถ้าหากว่าแพร่กระจายออกไป สำนักอู๋จี๋เกรงว่าคงจะกลายเป็นตัวตลกของโลกบู๊โบราณเป็นแน่! ”
ได้ยินคำเยาะเย้ยเสียดสีเหล่านี้ ผู้อาวุโสหลายท่านของสำนักอู๋จี๋ต่างก็มีสีหน้าที่ย่ำแย่ลงไปอีก
“ที่นี่ไม่มีสิ่งของอะไรแล้ว พวกนายยังจะไม่กลับออกไปอีกเหรอ ยังจะอยู่ที่นี่พูดจาไร้สาระอะไรกันอีก! ” ผู้อาวุโสเก้าตะโกนใส่อย่างเย็นชาด้วยสีหน้าท่าทางที่ย่ำแย่
“ไปกันเถอะ คนของสำนักอู๋จี๋โมโหแล้ว! ”
“รีบไปกันเถอะ! ”
วังเทพจันทราได้ถูกเปิดขึ้นแล้ว ที่นี่ไม่มีเรื่องราวและสิ่งของอะไรที่ควรค่าแก่การรำลึกนึกถึง เพียงครู่เดียวทุกคนก็ทยอยเดินออกมากันหมด
หยางเฟยเย่นจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสของสำนักอู๋จี๋เหล่านั้นด้วยความโกรธแค้น จิตใจแค้นเคืองเป็นอย่างมาก: “พี่ นายจะต้องตายฟรีจริง ๆ ด้วย! ”
จากนั้น ก็มองไปที่หลินหยุนอย่างไม่พอใจ แล้วก็เดินจากไป
หลี่อู๋จี๋มองไปที่พวกผู้อาวุโสสำนักอู๋จี๋ด้วยสายตาที่แปลกประหลาด จากนั้นก็มองไปที่หลินหยุน โดยที่มุมปากเผยรอยยิ้มที่แปลกประหลาดออกมา
“พวกเราก็ไปกันเถอะ! ”
หลี่อู๋จี๋พูดขึ้นอย่างเกียจคร้านขึ้นคำหนึ่ง แล้วก็พาลูกน้องของเขาเดินจากไป
โล่เสว่ฉีแอบกระซิบเตือนที่ข้างหูของหลินหยุนว่า: “คุณจะต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ด้วย”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “คุณก็เช่นกัน”
“ลาก่อน! ” จิตใจของโล่เสว่ฉี กลับมีความรู้สึกที่ไม่อยากจะต้องลาจากไป
“อืม”
เพียงพริบตาเดียว คนจำนวนนับร้อยก็เดินจากไปทั้งหมด เหลือเพียงแค่หลินหยุนกับคนของสำนักอู๋จี๋ไม่กี่คน
“เพื่อนเต๋าหลินหยุน ทำไมนายถึงยังไม่กลับไปล่ะ? ” ผู้อาวุโสเก้าหันไปถามหลินหยุน
หลินหยุนพูดว่า: “ข้ายังขาดสิ่งของชิ้นหนึ่งที่ยังไม่ได้ ข้าคิดว่าจะลองค้นหาดูอีกครั้ง”
ผู้อาวุโสหลายท่านต่างก็สบตาซึ่งกันและกัน แล้วก็พยักหน้าเบา ๆ
ผู้อาวุโสเก้าพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นนายก็ลองค้นหาต่อไปเถอะ พวกเราขอตัวไปก่อนแล้ว! ”
คนของสำนักอู๋จี๋ก็กลับไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงแค่หลินหยุนกับซูจื่อเหลียง
ซูจื่อเหลียงพูดขึ้นเบา ๆ ว่า: “อาจารย์ คนสำนักอู๋จี๋พวกนี้แฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย! ”
“มองออกแล้ว” หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง และสีหน้าท่าทางที่ไม่ได้ใส่ใจ
“แล้วทำไมท่านถึงยังคงอยู่ที่นี่อีกล่ะ? ” ซูจื่อเหลียงแสดงสีหน้าที่ไม่เข้าใจ
หลินหยุนมองไปโดยรอบ แล้วพูดว่า: “ที่นี่ยังคงมีสิ่งของที่สำคัญชิ้นหนึ่ง ก็คือศูนย์กลางพลังงานสำคัญของค่ายกลนี้! ”
“ค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลพรสวรรค์ ไม่สามารถที่จะอาศัยพลังทิพย์จากฟ้าดินในการขับเคลื่อนค่ายกลเองได้ ค่ายกลนี้ผ่านเวลามานับร้อยนับพันปี คงน่าจะมีศูนย์กลางพลังงานที่แข็งแกร่งมากที่คอยส่งมอบพลังให้กับค่ายกลนี้”
“ถ้าหากพวกเราสามารถค้นพบศูนย์กลางพลังงานนี้ได้ ก็จะช่วยเหลือในการบำเพ็ญฝึกฝนของข้าเป็นอย่างมาก”
ซูจื่อเหลียงพูดขึ้นทันทีว่า: “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ”
“แต่ว่าศูนย์กลางพลังงานนั้นอยู่ที่ไหน ท่านทราบแน่ชัดหรือไม่? ”
หลินหยุนส่ายศีรษะ: “แม้ว่าข้าจะคุ้นเคยกับค่ายกลประเภทนี้ แต่ศูนย์กลางพลังงานของค่ายกล สามารถที่จะมีได้ในหลายลักษณะรูปแบบ และสามารถจัดวางได้ตามที่ต้องการ โดยค่ายกลนิรันดร์กาลนี้ครอบคลุมกว้างขวาง ซึ่งรวมไปถึงภูเขากู่ลูกนี้และหมู่บ้านเปากู่ที่อยู่ภายนอก แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่ทราบว่าตำแหน่งของศูนย์กลางพลังงานนั้นอยู่ที่ไหน! ”
“สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสไหม? ซูจื่อเหลียงขมวดคิ้ว อาณาเขตที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าหากว่าใช้กำลังคนในการค้นหา ราวกับเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรอย่างไม่ต้องสงสัย”
“โดยทั่วไปศูนย์กลางพลังงานจะเป็นฐานสำคัญในการรักษาการขับเคลื่อนของค่ายกล ผู้ที่วาง ค่ายกลต่างคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่จะปกปิดศูนย์กลางของพลังงาน ป้องกันไม่ให้คนค้นพบ ซึ่งจากระดับการบำเพ็ญฝึกฝนของข้าในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะรับรู้ได้ถึงตำแหน่งของศูนย์กลางพลังงานได้”
ซูจื่อเหลียงไม่พูดไม่จาอะไรอีก ยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบเงียบ แล้วมองดูหลินหยุนเดินไปเดินมา
พื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ หากคิดที่จะตามหาศูนย์กลางพลังงาน มันช่างยากเย็นเสียจริง!
หลินหยุนครุ่นคิดถึงความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับค่ายกลนิรันดร์กาล รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับ ค่ายกลนิรันดร์กาลที่เย่เยว่เคยได้พูดให้เขาฟัง
รวมไปถึงการดำเนินชีวิตประจำวันและงานอดิเรกความชอบต่าง ๆ ของเย่เยว่
ถ้าหากค่ายกลนี้คือเย่เยว่เองที่เป็นคนจัดวางขึ้น ถ้าอย่างนั้นหลินหยุนสามารถที่จะค้นพบตำแหน่งของศูนย์กลางพลังงานได้อย่างแน่นอน
“เย่เยว่มีนิสัยเฉื่อยชาราวกับน้ำ ถ้าหากค่ายกลนี้เธอเป็นคนจัดวางขึ้น เธอคงจะไม่นำศูนย์กลางพลังงานไปแอบซ่อนไว้ในบริเวณที่ห่างไกลจากวังเทพจันทราเป็นแน่”
หลินหยุนค้นหาอย่างไม่หยุด ในบริเวณโดยรอบทั้งสี่ทิศของตำหนัก ซึ่งจุดที่น่าสงสัยทุกแห่ง เขาก็ไม่ละเลยที่จะไปค้นหา
แต่ว่า ก็ยังคงไม่ได้ผลอะไร
หลินหยุนหลับตาทั้งสองข้างโดยพลัน แล้วก็ลืมตาขึ้น โดยใช้พลังดวงตาทำลายล้าง ดวงตาขาวและดำทั้งสองข้างได้ปรากฏขึ้น
ทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าดวงตากลายเป็นรูปทรงเส้นด้ายสีดำ ลักษณะของภูเขาที่อยู่โดยรอบ ล้วนกลายเป็นเส้นด้ายสีดำที่ถี่ยิบ
หลินหยุนได้ตั้งชื่อให้กับเส้นด้ายสีดำเหล่านี้ว่าเส้นด้ายกฎเกณฑ์ โดยที่เส้นด้ายสีดำเหล่านี้ก็เหมือนกับพลังของกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่พัฒนาการทุกสิ่งทุกอย่างของชั้นฟ้าและชั้นดิน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมด รวมไปถึงซูจื่อเหลียง ก็กลายเป็นพลังดั้งเดิมของชั้นฟ้าและชั้นดิน
ลักษณะของภูเขาในบริเวณโดยรอบภายใต้พลังดวงตาทำลายล้าง ก็ยังคงไม่มีอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิม หลินหยุนทำได้เพียงค่อย ๆ เดินเข้ามาด้านในตำหนักวังเทพจันทรา โดยหวังว่าศูนย์กลางของพลังงานจะแอบซ่อนอยู่ในตำหนักแห่งนี้
แต่ว่า หลังจากที่หลินหยุนใช้พลังดวงตาทำลายล้างค้นหาไปทั่วตำหนักแล้ว แม้แต่โครงกระดูกของเซียนป้ายเยว่ที่อยู่บนพื้นก็กลายเป็นเส้นด้ายกฎเกณฑ์สีดำ แต่ก็ยังคงไม่พบเจออะไร ราวกับว่าศูนย์กลางพลังงานนั้นไม่มีอยู่อย่างไรอย่างนั้น