จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 457 ชายในชุดคลุมสีดำ
หลินหยุนไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อย แล้วก็รีบพาซูจื่อเหลียงไปยังภูเขาลมปีศาจด้วยกันทันที
ในสำนักสวนอิน พวกลูกศิษย์ทั้งหลายแต่ละคนต่างก็หน้านิ่วคิ้วขมวดไปกันหมด
พวกเขาถูกกักตัวอยู่บนภูเขานานครึ่งเดือนแล้ว เหมือนกับเป็นนักโทษอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้อาหารยังคงเพียงพอที่จะกินอยู่ แต่อีกไม่นานก็คงจะกินจนหมดแล้ว
ถึงตอนนั้น พวกเขาควรจะทำอย่างไรดี?
ทุกคนอยากที่จะลงจากภูเขาไป แต่คิดถึงความสูญเสียในค่ำคืนนั้น ลูกศิษย์เหล่านี้ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นแล้ว
กำลังกระสุนของทหารดุดันอย่างมาก ในคราวนั้นเป็นช่วงกลางคืน ความแม่นยำในการยิงของ พวกทหารลดลงไปกว่าครึ่ง ถ้าหากเป็นช่วงกลางวัน คาดว่าพวกเขาจำนวนสองในสามส่วนคงจะเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้แล้ว
หมดหนทางที่จะลงจากภูเขา และก็หมดหนทางที่จะประนีประนอม
ตอนเริ่มแรกก็ยังดีอยู่ ต่อมา มีบางคนที่เริ่มจะหงุดหงิดขึ้น จนเกิดความคิดเจตนาอันเลวร้ายตามมา
พวกเขาไม่กล้าที่จะลงจากภูเขาไปคิดบัญชีกับพวกทหาร แต่พวกเขาสามารถที่จะไปหาฉินหลันกับโม่หยู่เพื่อระบายความโกรธแค้นได้
พวกลูกศิษย์บางคนก็เริ่มที่จะไปดูถูกเหยียดหยามฉินหลันกับโม่หยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เพียงแค่พูดว่ากล่าวเท่านั้น ไม่มีใครกล้าที่จะลงมือ
เจ้าสำนักสวนอินต้องการที่จะให้พวกลูกศิษย์ทั้งหลายสามารถระบายความอัดอั้นในใจออกมา เพื่อลดการก่อกบฏ ซึ่งการที่พวกเขาทำการดูถูกเหยียดหยามฉินหลันกับโม่หยู่นั้น เจ้าสำนักเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นโดยเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งไว้
ไม่ว่าอย่างไรการดุด่าคนก็คงไม่ทำให้ถึงกับเสียชีวิต ทำให้ทุกคนมีเรื่องมีราวอะไรทำ ก็สามารถที่จะเบี่ยงเบนความสนใจได้ชั่วคราว หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจ
แต่ว่า ไม่นาน ทุกคนก็เริ่มไม่พอใจต่อการดุด่าฉินหลันกับโม่หยู่อีกแล้ว
ความต้องการของคนไม่มีขอบเขตสิ้นสุด
มีบางคนเริ่มที่จะลงไม้ลงมือแตะต้องพวกเธอสองคนแล้ว
เจียงเฉิงผู้ที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่แห่งสำนักสวนอิน นอกจากเจ้าสำนักแล้วอำนาจของเขา ก็ถือว่า สูงที่สุด
เจียงเฉิงผู้นี้ละโมบในเงินทองและมักในกามารมณ์ ตั้งแต่แรกก็เกิดน้ำลายไหลเยิ้มต่อฉินหลันกับโม่หยู่หญิงสาวสองคนนี้แล้ว แต่ว่าตอนแรกติดขัดอยู่ที่คำเตือนของเจ้าสำนัก จึงไม่กล้าที่จะไป แตะต้องฉินหลันกับโม่หยู่
ตอนนี้ เมื่อทุกคนคิดถึงว่าการถูกกักตัวอยู่บนภูเขา ก็เป็นเพราะผู้หญิงสองคนนี้ ก็เกิดความโกรธขึ้นมาในทันที
บวกกับท่าทีของเจ้าสำนักสวนอิน ที่ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายลงไปไม่น้อย พวกที่ดุด่าเหยียดหยามหญิงสาวสองคนนั้น ก็ไม่ได้รับการลงโทษอะไรจากเจ้าสำนักสวนอิน ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้รวมกัน จึงทำให้เจียงเฉิงเกิดความใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมา
วันนี้ในยามค่ำคืน เจียงเฉิงได้แอบลักลอบเข้าไปยังห้องที่คุมขังฉินหลันกับโม่หยู่
โม่หยู่ตกใจตื่นขึ้นทันที แล้วก็ระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ พร้อมกับปกป้องฉินหลันที่อยู่ด้านหลัง
จากที่ได้รู้จักและอยู่ด้วยกันมานาน โม่หยู่กับฉินหลันก็ได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและคุยกันได้ทุกเรื่อง โดยฉินหลันเป็นเพียงคนธรรมดา ส่วนโม่หยู่คือนักบู๊ ดังนั้น ขณะที่มีอันตรายใกล้เข้ามา โม่หยู่ก็จะยืนปกป้องอยู่ด้านหน้าของฉินหลันอย่างเป็นปกติ
“โอ้ว คนสวย ตื่นตัวมากเลยทีเดียวนะเนี่ยะ! ”
เงาร่างของเจียงเฉิง เดินออกมาจากความมืด พร้อมกับรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ และดวงตาสองข้างที่เป็นประกาย
ฉินหลันตื่นตระหนก หลบอยู่ด้านหลังของโม่หยู่ และถามขึ้นว่า: “นายเป็นใคร? คิดที่จะทำอะไร? ”
เจียงเฉิงหัวเราะแหะแหะอย่างเจ้าเล่ห์: “คุณว่าจะทำอะไรหล่ะ? ”
โม่หยู่ตะโกนใส่อย่างเย็นชา: “ไสหัวออกไป! ”
“เหอะเหอะ เป็นหญิงที่ห้าวหาญดุดันเสียด้วย? ข้าชอบ! ” เจียงเฉิงอยู่ดี ๆ เงาร่างก็แวบหายไป โดยมุ่งตรงไปยังโม่หยู่เพื่อจับตัวเธอมา
โม่หยู่เป็นนักบู๊ ซึ่งเมื่อปราบโม่หยู่ได้แล้ว ก็เหลือเพียงแค่ฉินหลันคนเดียว คงจะต้องยินยอมทำตามความต้องการของเขาจะดีกว่า
เจียงเฉิงอยู่ในระดับขั้นแดนพรสวรรค์สูงสุดแล้ว ซึ่งมีระดับสูงกว่าโม่หยู่หลายขั้น เพียงกระบวนท่าเดียว โม่หยู่ก็ถูกเขาบีบเข้าที่ลำคอขาวนวลแล้ว
“ถ้าหากคุณอยากที่จะมีชีวิตรอด ก็ต้องเชื่อฟังทำตามข้ารู้ไหม? ” เจียงเฉิงกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างเจ้าเล่ห์
“ฝันไปเถอะ! ”
“ต่อให้ฉันตายไปก็จะไม่ยอมให้นายอยู่อย่างสบายต่อไปแน่! ”
โม่หยู่ไม่สนใจอะไร ปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง เจียงเฉิงรีบปล่อยมือออก และถอยหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาฆ่าโม่หยู่ไม่ลงจริง ๆ
แต่ว่า หมัดนี้ของโม่หยู่ที่จริงแล้วไม่ได้จะโจมตีใส่เจียงเฉิง
รอจนหมัดบีบบังคับให้เจียงเฉิงถอยร่น ก็ได้ถือโอกาสขณะที่เจียงเฉิงกำลังถอยร่นนั้น หมัดของ โม่หยู่ก็เปลี่ยนทิศทางทันที โดยคิดไม่ถึงว่าจะชกเข้ามาตรงที่หน้าอกของตนเอง
“โม่หยู่! ” ฉินหลันอุทานขึ้น คิดที่จะห้ามเอาไว้ แต่ไม่มีทางทันอย่างแน่นอน
เจียงเฉิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป รีบพุ่งตัวเข้ามาทันที และตะโกนอย่างรีบร้อนว่า: “อย่า มีอะไรก็พูดกันดี ๆ ได้! ”
แต่ว่า ความรวดเร็วของเจียงเฉิงก็ชัดเจนว่าคงไม่สามารถที่จะขัดขวางโม่หยู่ที่คิดจะฆ่าตัวตายได้
เห็นโม่หยู่หญิงสาวสวยใกล้ที่จะเสียชีวิต ฉินหลันก็รู้สึกได้ว่ามีเงาดำแวบผ่านออกมาจากความมืด มีคนผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำ ซึ่งมีความรวดเร็วอย่างสายฟ้าแลบ มายืนอยู่เบื้องหน้าของโม่หยู่ และใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่หมัดนั้นของโม่หยู่
ชายในชุดคลุมสีดำมีเสียงที่เย็นชาหยิ่งผยอง เหมือนกับว่าไม่มีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์แม้แต่น้อย: “ครั้งหน้าหากพบเจอปัญหา อย่าใจร้อนจะได้ไหม”
“คุณมาได้อย่างไร? ” มองเห็นคนที่มา ใบหน้าของโม่หยู่ก็เผยความตกตะลึงออกมา
“คุณหายตัวไปเป็นครึ่งเดือนแล้ว ฉันตรวจสอบเล็กน้อยก็ทราบได้ว่าคุณถูกคนของสำนักสวนอินจับตัวไป” ชายในชุดคลุมสีดำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
โม่หยู่บ่ายหน้าหนี เหมือนว่าไม่กล้าที่จะสบตากับชายในชุดคลุมสีดำ: “งั้นคุณคงจะมาตั้งนานแล้วใช่ไหม? ทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้ถึงได้แสดงตัวออกมา? ”
ชายในชุดคลุมสีดำพูดว่า: “พวกเรากับสำนักสวนอินต่างก็ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะกันมาโดยตลอด ครั้งนี้เป็นคุณที่ไปขัดขวางพวกเขาก่อน ดังนั้นจะต้องให้คุณทุกข์ทรมานบ้าง ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอีก! ”
เจียงเฉิงที่อยู่ด้านข้าง เห็นว่าโม่หยู่ไม่เป็นอะไร ก็เบาใจลงได้บ้าง
แต่ว่า เมื่อเห็นชายในชุดคลุมสีดำพูดคุยกับโม่หยู่แบบที่ไม่สนใจคนรอบข้าง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเพียงแค่อากาศ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เจียงเฉิงไม่ค่อยจะพอใจ
“เฮ้ย นายเป็นใครกัน? ทำไมถึงเข้ามาที่นี่ได้? ” การเป็นลูกศิษย์ใหญ่ของสำนักสวนอิน เจียงเฉิงไม่เคยเห็นชายในชุดคลุมสีดำคนนี้มาก่อนเลย
ชายในชุดคลุมสีดำหันหน้ากลับมา ดวงตาสองข้างเปล่งแสงเรืองรองสีเขียว แล้วเดินทีละก้าวทีละก้าวเข้ามาหาเจียงเฉิง: “เมื่อครู่นายคิดที่จะทำอะไร? ”
เจียงเฉิงถูกเขาจ้องมองจนเกิดความหวาดกลัว อดไม่ได้ถึงกับต้องถอยหลังกี่ก้าว แต่พอคิดอีกที ที่นี่คือสำนักสวนอิน เขาก็เป็นถึงลูกศิษย์ใหญ่ของสำนักสวนอิน เขาจะต้องไปเกรงกลัวอะไรด้วย!
เจียงเฉิงยืดอกวางมาดขึ้นทันที แล้วตะโกนอย่างเย็นชาว่า: “ข้าทำอะไร นายจะมายุ่งอะไรด้วย! นายไม่ใช่คนของพวกเราสำนักสวนอินล่ะสิ? พูดมานะว่า ที่นายแอบลักลอบเข้ามาในสำนัก สวนอินของพวกเรานั้น มีจุดประสงค์อะไรกันแน่? ”
“เธอคือธิดาศักดิ์สิทธิ์สำนักป๋ายอู นายคิดว่าที่ข้ามาสำนักสวนอินของพวกนายมีจุดประสงค์อะไรล่ะ? ชายในชุดคลุมสีดำเดินต่อไปข้างหน้า ชุดคลุมสีดำพลิ้วไสวขึ้นโดยที่ไม่มีลมโบกพัด กลิ่นอายของความหนาวเหน็บ อยู่ดี ๆ ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง”
เจียงเฉิงตกตะลึงขึ้นในทันที พูดบ่นพึมพำกับตัวเอง: “ธิดาศักดิ์สิทธิ์สำนักป๋ายอู! ”
เขานึกขึ้นได้โดยพลันว่าเคยได้ยินเจ้าสำนักสวนอินพูดถึงชื่อดังกล่าวนี้มาก่อน
เจียงเฉิงตกใจอย่างกะทันหัน คิดถึงเรื่องอะไรออกบ้างแล้ว จึงชี้ไปยังเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำนั้น แล้วอุทานขึ้นว่า: “นายคือบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ! ”
“ในเมื่อรับรู้แล้ว งั้นก็ไปตายซะเถอะ! ”
เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำเพิ่มความเร็วขึ้นโดยพลัน ในขณะที่เจียงเฉิงยังไม่ทันได้ระวังตัว ฝ่ามือ ข้างหนึ่งก็บิดหักเข้าที่ลำคอของเขา
“อ่า! ”
เจียงเฉิงกรีดร้องอย่างทรมาน ร่างกายมีควันดำพ่นออกมา เลือดในร่างกายเหมือนกับถูกระเหยออกไปจนหมด และกลายเป็นศพแห้งไปในทันที
“นี่มัน……” ฉินหลันตกใจจนหน้าซีด เพราะเธอเป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไป จะไปเคยเห็นสภาพเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองแบบนี้ได้อย่างไรกัน
ชายในชุดคลุมสีดำกลับตัวโดยพลัน แล้วมองไปที่ฉินหลันด้วยแววตาสีเขียวที่เป็นประกาย แล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก: “คุณเห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น ก็จงไปตายซะเถอะ! ”
“หยุดก่อน! ”
โม่หยู่มายืนบังอยู่เบื้องหน้าของฉินหลัน แล้วจ้องมองชายในชุดคลุมสีดำด้วยความโกรธ
“ห้ามทำร้ายเธอเด็ดขาด! ”
ชายในชุดคลุมสีดำหยุดฝีเท้าลง แล้วจ้องไปที่โม่หยู่ ด้วยแววตาสีเขียวที่เป็นประกาย: “คุณไม่ควรที่จะมีอารมณ์ความรู้สึกต่อคนธรรมดาทั่วไป คุณควรที่จะรับรู้และเข้าใจถึงสถานะตัวตนของคุณ”
โม่หยู่พูดว่า: “นายไม่ต้องมายุ่ง ฉันทราบดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่! ”
น้ำเสียงของชายในชุดคลุมสีดำมีความโมโหอยู่บ้าง: “ระมัดระวังน้ำเสียงการพูดของคุณด้วย อีกไม่นานคุณก็ต้องเป็นคนของฉัน ฉันคิดจะทำอะไร คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งเด็ดขาด! ”
ชายในชุดคลุมสีดำได้เคลื่อนไหวอีกแล้ว ราวกับปีศาจร้ายอย่างไรอย่างนั้น แวบเดียวก็มาอยู่ที่ด้านข้างของฉินหลัน มือข้างหนึ่งยื่นไปบิดหักที่ลำคอขาวนวลของฉินหลัน