จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 460 นี่ก็คือโลกของผู้บำเพ็ญฝึกฝน
เจ้าสำนักสวนอินเหมือนกับนักแสดงคิวบู๊มืออาชีพจากคณะนักแสดง ร่างกายลอยกระเด็นไปในอากาศ
แล้วก็พุ่งไปชนเข้ากับกำแพง ร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างรุนแรง
ถ้าหากเขาไม่ได้กระอักเลือดออกมา เพื่อยืนยันว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้แกล้งทำ พวกลูกศิษย์ทั้งหลายของเขาก็คงจะไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน เจ้าสำนักที่เก่งกาจไร้คู่ต่อกรมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะถูกหนุ่มน้อยคนหนึ่งชกหมัดเข้าใส่จนกระเด็นลอยไปไกล และยังกระอักเลือดออกมาด้วย
“นาย ตกลงนายเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้! ” เจ้าสำนักสวนอินสีหน้าท่าทางหวาดผวา ซึ่งในอันดับรายชื่อปรมาจารย์นั้นเขาอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด นอกจากเจียงร่อโจ๋รวมถึงผู้อาวุโสแปลกประหลาดที่เป็นเทพกระบี่ที่ไม่เปิดเผยตัวตนเหล่านั้น ทั่วทั้งโลกบู๊แล้วผู้ที่สามารถเอาชนะเขาได้นั้นมีเพียงไม่กี่คน
ต่อให้เป็นเทพกระบี่เยนหนานเทียน รวมถึงเทพแห่งสงครามเจียงร่อโจ๋ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะเขาได้ภายในหมัดเดียว
แต่ว่า ไอ้หนุ่มน้อยที่อยู่เบื้องหน้านี้ทำมันได้สำเร็จ
“ใช่แล้ว ข้ายังมีอีกชื่อหนึ่งว่า หลินชางฉอง” หลินหยุนพูดขึ้น
“หลินชางฉอง! ” เจ้าสำนักสวนอินมีท่าทางเหมือนกับเจอผีขึ้นในทันทีอย่างไรอย่างนั้น ร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ การตะโกนในครั้งนี้ส่งผลกระทบไปยังอาการบาดเจ็บ จึงทำให้กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
“นายก็คือหลินชางฉองปรมาจารย์อันดับหนึ่งในการจัดอันดับปรมาจารย์! ”
“มิน่าล่ะถึงได้แข็งแกร่งมากขนาดนี้! ”
เจ้าสำนักสวนอินเผยรอยยิ้มอย่างขมขื่นที่บริเวณมุมปาก
พวกลูกศิษย์ทั้งหลายของเขา ได้ยินชื่อหลินชางฉอง ก็มีสีหน้าท่าทางที่หวาดกลัวขึ้นโดยพลัน
“อะไรนะ! เขาก็คือหลินชางฉอง! ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? เขาก็คือปรมาจารย์อันดับหนึ่งในใต้หล้า! ”
“นี่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยอยู่เลย! ”
“คิดไม่ถึงว่าพวกเราได้ล่วงเกินหลินชางฉองแล้ว คราวนี้ต้องแย่แน่เลย! ”
เจ้าสำนักสวนอินมองไปที่หลินหยุน: “หลินชางฉอง อย่าได้ฆ่าข้าเลย เดิมทีนายกับข้าไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน อีกทั้งแม้ว่าข้าจะจับตัวผู้หญิงสองคนนั้นมา แต่ข้าก็ไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีต่อ พวกเธอ โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ ต่อไปหากมีเรื่องอะไรให้ข้ารับใช้ ข้าเต็มใจที่จะกระทำตอบแทนอย่างเต็มที่! ”
“วางใจได้ ตอนนี้ข้ายังไม่คิดที่จะฆ่านาย! ” หลินหยุนพูดขึ้น
“จริงเหรอ! ” เจ้าสำนักสวนอินแสดงอาการดีใจออกมา
“ข้าจะให้นายได้เห็นกับตาของนายเองว่าข้านั้นได้ทำการฆ่าสังหารคนของสำนักสวนอินทุกคนโดยไม่หลงเหลือใคร” หลินหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เฉยชา
การใช้น้ำเสียงที่เฉยชาพูดถึงเจตนาอาฆาตแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าจะยิ่งน่าหวาดกลัวกว่าการพูดโดยใช้สีหน้าท่าทางที่โหดเหี้ยมเสียอีกเป็นไหน ๆ
เจ้าสำนักสวนอินไม่พูดไม่จาอะไร ลูกศิษย์ของสำนักสวนอินในสายตาของเขาแล้ว ไม่มีมูลค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย หลินหยุนคิดจะฆ่าก็เชิญฆ่าได้ตามสบาย
เพียงแค่เขามีชีวิตรอดอยู่ต่อก็เพียงพอ เขาคิดถึงขนาดที่ว่า ถ้าหากหลินหยุนฆ่าลูกศิษย์สำนัก สวนอินทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็เหมือนกับได้ระบายอารมณ์ความโกรธออกมาแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้นเขาค่อยอ้อนวอน เป็นไปได้ที่หลินหยุนอาจจะไว้ชีวิตเขา?
หลินหยุนเงาร่างแวบหายไป ต่อเบื้องหน้าของเจ้าสำนักสวนอิน
เพียงชั่วครู่ ด้านนอกก็เกิดมีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ราวกับตกลงไปในขุมนรก
ยี่สิบนาทีผ่านไป เสียงที่ดังด้านนอกนั้นได้สงบลง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
จิตใจของเจ้าสำนักสวนอินรู้สึกวังเวง แม้ว่าตอนที่เขารับพวกลูกศิษย์นั้น ก็ไม่ได้มีความผูกพันอะไร เพียงแค่ต้องการใช้ผลประโยชน์จากพวกเขา เพื่อทำให้สำนักสวนอินยิ่งใหญ่ ตอบสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงของตนเอง
แต่ว่า จากการที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน ก็ยังคงมีความผูกพันธ์อยู่บ้าง
เมื่อคิดถึงว่าภูเขาที่ใหญ่ขนาดนี้ เหลือเพียงแค่ตนเองที่เป็นผู้นำที่โดดเดี่ยวคนเดียว ใบหน้าของ เจ้าสำนักสวนอินก็อดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา
“ความโลภ ได้ทำลายตัดขาดการสืบทอดของสำนักสวนอิน อาจารย์ บูรพาจารย์ในแต่ละยุคสมัย ข้าผิดไปแล้ว! ”
เจ้าสำนักสวนอินค่อย ๆ ยกฝ่ามือขึ้น คิดที่จะลงมือปลิดชีวิตของตนเอง แต่สุดท้ายก็ยังทำไม่ลง
“ข้าจะช่วยนายเอง! ”
น้ำเสียงที่เฉยชาของหลินหยุนดังขึ้น ซึ่งภายในตำหนักที่ว่างเปล่าก็ทำให้ได้ยินเสียงอย่างชัดเจนขึ้น
เจ้าสำนักสวนอินมองไปที่หลินหยุน ยิ้มอย่างน่าเวทนา: “คงจะจบสิ้นแล้ว? ”
“จะไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดไปได้” หลินหยุนพูดขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า……แหะแหะ……” เจ้าสำนักสวนอินหัวเราะขึ้นโดยพลัน โดยทั้งไอและหัวเราะไปด้วย จนไอออกมาเป็นเลือด
“ลงมือเถอะ! ” เขาค่อย ๆ หลับตาลง เขารู้ว่า หลินหยุนคงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่
หลินหยุนสีหน้าไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก แล้วชี้นิ้วออกไป เจ้าสำนักสวนอินตายคาที่อย่างน่าเวทนา
หลินหยุนหันหลังเดินกลับออกมาอย่างเงียบ ๆ โดยเดินกลับตามเส้นทางเดิม ซึ่งเส้นทางที่เดินผ่านนั้น พืชพรรณที่เหี่ยวเฉาก็ได้เบ่งบานกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“ความคิดชั่วครู่เหี่ยวเฉา ความคิดชั่วครู่เบ่งบาน! ”
นี่สามารถเข้าใจถึงหลักธรรมความเป็นมาของเต๋าได้แล้ว
หลินหยุนกลับไปยังเต็นท์ที่อยู่ด้านล่างภูเขา โดยฉินหลันได้พบเจอกับหลินตงหัวและหวางซูเฟินแล้ว ซึ่งทั้งสองแม่ลูกกำลังโอบกอดและร้องไห้กันอยู่
ฉินหลันเป็นลูกสาวบุญธรรมของหวางซูเฟิน
หลินตงหัวที่อยู่ด้านข้างได้ปลอบใจอย่างไม่หยุด ส่วนซูจื่อเหลียงก็ยืนอยู่ที่ประตูห่างไกลออกไป
เห็นสภาพแบบนี้แล้ว หลินหยุนจึงตัดสินใจยืนอยู่ที่ประตู รอทั้งสองคนจิตใจสงบลงบ้างแล้วค่อยเดินเข้าไป
ฉินหลันเห็นหลินหยุน จึงรีบหยุดร้องไห้ทันที แล้วลุกยืนขึ้นพูดกับหวางซูเฟินว่า: “ท่านประธานกรรมการ ท่านพักผ่อนสักครู่ก่อน ส่วนฉันมีเรื่องขอตัวไปหาหลินหยุน”
“ตกลง อย่าได้ไปไหนไกลนะ! ” หวางซูเฟินพูดเตือนขณะที่จิตใจยังหวาดผวาอยู่
“อืม ท่านวางใจเถอะ พวกเราพูดคุยกันด้านนอกนี้”
ขณะที่ฉินหลันพูด ก็ค่อย ๆ เดินไปทางหลินหยุน
“นายตามฉันมา” ฉินหลันเดินผ่านข้างกายของหลินหยุน ขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่หลินหยุน พร้อมกับกระซิบพูดขึ้น
หลินหยุนก็เดินตามไป
ทั้งสองคนเดินกันมายังด้านนอกที่เป็นบริเวณป่าที่เปล่าเปลี่ยว
ฉินหลันหยุดฝีเท้าลงที่ด้านหน้าของต้นสนที่มีลำต้นขนาดใหญ่ แล้วหันหลังกลับมามองที่หลินหยุน ด้วยสีหน้าท่าทางที่เคร่งเครียด
หลินหยุนรีบพูดขึ้นว่า: “พี่ฉินหลัน ทำไมถึงมีสีหน้าท่าทางแบบนี้ด้วย? ฉันยอมรับผิดที่ครั้งนี้สร้างความเดือดร้อนให้กับคุณ ฉันขอโทษ และฉันจะขอรับรองกับคุณว่า ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นอีกอย่างแน่นอน”
ฉินหลันพูดว่า: “ฉันไม่ได้ตำหนินายสักหน่อย ที่ฉันมาพบนายเพราะว่ามีเรื่องอย่างอื่น”
“เรื่องอะไรเหรอ? ” หลินหยุนถามขึ้น
“เพื่อนที่ช่วยเหลือฉัน แล้วถูกพวกเขาจับตัวขึ้นมาบนภูเขา เธอชื่อว่าโม่หยู่” ฉินหลันได้เล่าเรื่องราวที่โม่หยู่ถูกชายในชุดคลุมสีดำจับตัวไป แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เธอเกือบจะถูกเจียงเฉิงย่ำยี ซึ่งเกรงว่าจะไปกระตุ้นให้หลินหยุนเกิดความโกรธแค้น
หลินหยุนขยับสายตาเล็กน้อย: “สำนักเหยอู สำนักป๋ายอู บุตรศักดิ์สิทธิ์ ธิดาศักดิ์สิทธิ์? ”
“น่าสนใจไม่น้อย”
“คุณอย่าได้กังวลใจไปก่อน จากที่คุณได้เล่ารายละเอียด โม่หยู่ตอนนี้คงยังไม่เป็นอะไร ฉันจะรีบคิดหาวิธีช่วยเหลือเธอ”
ฉินหลันมีสีหน้าท่าทางที่กังวล: “หลินหยุน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม และไม่สนว่าจะลำบากยากเย็น แค่ไหน จะต้องช่วยเหลือโม่หยู่ออกมาให้ได้! ไม่อย่างนั้น จิตใจของฉันคงจะเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิตแน่! ”
“เพื่อนของพี่ฉินหลัน ก็คือเพื่อนของฉัน ฉันจะช่วยชีวิตเธอกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน” หลินหยุน พูดรับรอง
ต่อให้ฉินหลันไม่พูด หลินหยุนก็จะต้องไปช่วยโม่หยู่อยู่แล้ว เพราะในชาติที่แล้ว โม่หยู่คือหนึ่งในจำนวนเพื่อนที่แท้จริงเพียงไม่กี่คนของหลินหยุน
ในชาตินี้เขาจึงไม่ยอมที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจอย่างแน่นอน
แต่คิดไม่ถึงว่า เป็นโม่หยู่ที่ได้ช่วยชีวิตฉินหลันเอาไว้
สำนักสวนอินช่างสมควรตาย แม้ว่าจะทำลายพวกเขาอย่างราบคาบแล้วหลินหยุนเองก็ยังไม่ได้ระบายความคับแค้นใจออกมาทั้งหมด
หลินหยุนและฉินหลันกลับมาสู่เต็นท์ ไม่นานนัก เจียงซ่างหมิงก็ถูกพวกทหารประคองตัวเข้ามา
หลินตงหัวถามขึ้นอย่างเคร่งเครียด: “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ท่านเจียงได้รับบาดเจ็บเหรอ? ”
ทหารมีสีหน้าที่แปลกประหลาด: “เปล่าไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่สยดสยองอย่างนั้นมาก่อน ที่เหมือนกับโรงฆ่าสัตว์ชูร่าอย่างไรอย่างนั้น ท่านเจียงมีการตอบสนองที่ค่อนข้างรุนแรง อ้วกอาเจียนไม่หยุด คาดว่าร่างกายคงจะขาดน้ำแล้ว จำเป็นต้องรีบพาส่งไปโรงพยาบาลโดยด่วน”
หลินตงหัวมีสีหน้าที่แปลกประหลาด: “ท่านเจียงเป็นถึงผู้รับผิดชอบอำเภอจีหมิง จะไม่เคยเห็นเคยผ่านเหตุการณ์ที่ใหญ่โตอะไรได้อย่างไรกัน ไม่น่าถึงขนาดนี้นะ? ”
ทหารคนนั้นพูดว่า: “บริเวณที่เกิดเหตุนั้นช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นทหารของพวกเราเอง ก็มีหลายคนที่ทนเห็นไม่ได้ ที่ท่านเจียงแสดงอาการออกมาเท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว”
ฉินหลันมองไปที่หลินหยุนด้วยความสงสัย กระซิบถามขึ้นว่า: “นายไปทำอะไรมา? ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “เปล่าไม่มีอะไร ก็แค่ฆ่าคนพวกนั้นจนหมดเกลี้ยง”
ฉินหลันหน้าซีด พูดอะไรไม่ออกสักคำ แม้ว่าเธอจะไม่เห็นภาพเหตุการณ์นั้นด้วยตาของตัวเอง แต่ก็สามารถนึกภาพขึ้นได้
ทันใดนั้น ฉินหลันเองก็เกิดความเห็นใจในตัวของเจียงซางหมิงแล้ว
แต่ว่า ฉินหลันยังคงกังวลว่า: “เรื่องราวแบบนี้คงสมควรที่จะส่งมอบเรื่องให้กับทางฝ่ายกฎหมายของจีน ถ้าเป็นแบบนี้แล้วนายจะมีอันตรายอะไรไหม? ”
“คนที่กฎหมายของจีนไม่สามารถบังคับควบคุมได้ ฉันจะเป็นผู้ดูแลควบคุมเอง วางใจเถอะ ฉันไม่มีปัญหาอะไรหรอก นี่ก็คือโลกของผู้บำเพ็ญฝึกฝน” หลินหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางเฉยเมย