จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 491 ถามหาความผิด
หลินหยุนพวกเขาทั้งสามคนเดินกลับไปในห้อง
ถึงแม้ว่าจะไล่ให้กงเห้าและสองพี่น้องโห้จินผิงกลับไปหมดแล้ว แต่ว่าสีหน้าของโห้ซือหนันกลับยังไม่ดีขึ้นเลย
ทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาด้วยจิตใจที่เอ้อระเหย
โห้ซือหนันหันไปมองหลินหยุน: “หลินหยุน นายก็ลงมือหนักเกินไปหน่อยนะ แค่ไล่เขาไปก็พอแล้วไม่เห็นต้องทำร้ายเขาให้บาดเจ็บเลย”
“หลังจากนี้ตระกูลกงจะต้องทำแก้แค้นอย่างสาสมแน่”
อันซินเองก็คิดว่าหลินหยุนลงมือหนักเกินไปเหมือนกัน อีกอย่างผู้หญิงอย่างพวกเธอสองคนก็ใช้ชีวิตในสังคมที่มีสันติภาพมาโดยตลอด ไม่เหมือนกับหลินหยุนที่คุ้นชินกับการเจออุปสรรคมรสุมอะไรแบบนั้น
แต่ถึงอย่างนั้น อันซินเป็นคนที่เชิญหลินหยุนมา เธอจึงไม่สามารถที่จะไปตำหนิอะไรหลินหยุนได้
ใบหน้าของหลินหยุนไร้ความรู้สึก สายตาทอดยาวไปด้านนอกหน้าต่าง: “ไม่ต้องกังวลใจหรอก ถ้าพวกเขาจะมาแก้แค้น งั้นฉันจะช่วยคุณจัดการเขาทิ้งซะ”
โห้ซือหนันคิดว่าคำพูดของหลินหยุนนั้นโอหังเกินไป เพราะนั่นเป็นถึงตระกูลกงแห่งมณฑลซีหนิงเชียวนะ!เจ้าพ่อท้องถิ่นที่ควบคุมทั้งมณฑลซีหนิง แม้แต่ตระกูลโห้อย่างพวกเธอยังไม่กล้าที่จะไปท้าทายเลย หลินหยุนอาจจะมีการมีทักษะการต่อสู้ที่ค่อนข้างดี แต่เขากล้าดียังไงถึงได้พูดจาอวดดีแบบนี้!
แต่จะว่าไป เพื่อที่จะช่วยเหลือเธอแล้วหลินหยุนถึงได้ยอมใช้กำลัง อีกอย่างโห้ซือหนันก็ไม่ใช่ผู้หญิงใจดำแบบนั้นด้วย ถึงแม้หลินหยุนจะกำลังพูดจาโอ้อวด เธอก็ไม่ได้คิดจะเสียดสีกับคำพูดขี้โม้นั้นของหลินหยุน
“อันซิน พวกเธอกลับไปเถอะ!ออกเดินทางคืนนี้เลย แล้วก็พาหลินหยุนกลับไปมณฑลหลิงหนานพร้อมกันด้วยเลย !” โห้ซือหนันลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน แล้วมองอันซินด้วยความจริงจัง
อันซินชะงักนิ่ง แต่เพียงชั่ววินาทีก็สามารถเข้าใจความหมายของโห้ซือหนัน
“แต่ว่าถ้าหากพวกเราไปแล้ว เธอจะทำยังไงล่ะ ?”
โห้ซือหนันตอบกลับ: “พวกเธอวางใจเถอะ ยังไงซะฉันก็เป็นถึงลูกสาวของเจ้าบ้านตระกูลโห้ ต่อให้เขาจะไม่พอใจในตัวฉัน อย่างมากก็แค่กล่าวทำโทษฉันสักยกเท่านั้น”
“อีกอย่างพรุ่งนี้ฉันก็ต้องแต่งงานกับตาเฒ่าหัวงูกงเฉิงยู่แล้วด้วย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะกล้าทำอะไรฉัน”
หลินหยุนแย้งขึ้นมา: “ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย ฉันบอกแล้วนี่ว่าฉันจะช่วยเธออธิบายให้กับตระกูลกงเอง”
โห้ซือหนันขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองหลินหยุนด้วยความตำหนิ จนไม่สามารถอัดอั้นความรู้สึกในใจได้อีก จึงถามกลับไป : “หลินหยุน นายรู้หรือเปล่าว่าอำนาจของตระกูลกงในมณฑลซีหนิงนี้มีความน่ากลัวแค่ไหน ?ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่นายจะมาอวดดี เชื่อที่ฉันพูดเถอะ แล้วรีบหนีไปซะ !”
“พวกเธอคือแขกของฉัน และอันซินก็ยิ่งเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของฉันด้วย ฉันไม่อยากพาพวกเธอต้องลำบากไปด้วย !”
หลินหยุนเอนหลังพิงไปกับเบาะโซฟา สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาเปล่งประกายดุจดวงดาว ถ้อยคำของเขานั้นเชื่องช้าอย่างมาก แต่กลับชัดเจนเอามากๆ
“บางทีตระกูลกงในสายตาของเธออาจจะสูงส่งยากจะแตะต้องได้ แต่ในสายตาของฉันแล้ว สามารถทำลายได้เลยเพียงแค่กระดิกนิ้วเดียว เธอรู้จักแค่อำนาจของตระกูลกง แต่ไม่รู้ถึงฝีมือของฉัน”
“ฉัมขอให้คำมั่นกับเธอเลยว่า นับจากพรุ่งนี้ไป บนโลกนี้จะไม่มีตระกูลกงอีก!”
โห้ซือหนันได้แต่มองหลินหยุนด้วยความอึ้งตะลึง ถ้าหากไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่เหมือนว่าบนร่างของหลินหยุนมีออร่าบางอย่างที่ทำให้คนเกิดความเชื่อมั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้นั้น โห้ซือหนันจะต้องมั่นใจแล้วว่าหลินหยุนเป็นคนสติฟั่นเฟือนที่แสนเย่อหยิ่งแน่นอน!
ตระกูลกงแห่งมณฑลซีหนิง เมื่อเทียบกับทั้งประเทศจีนแล้ว นับว่าเป็นตระกูลมหาอำนาจที่ติดอยู่ในยี่สิบอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ ทว่ากลับถูกหลินหยุนบอกว่าสามารถทำลายได้เพียงกระดิกนิ้วเดียวเท่านั้นซะอย่างนั้น ?
น่าขำเกินไปแล้ว!
แต่เมื่อมองดูท่าทีที่สงบจิตสงบใจนั้นของหลินหยุนแล้ว โห้ซือหนันจึงทำใจไม่ให้เชื่อในคำพูดของหลินหยุน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธอะไรได้
อันซินมองไปยังหลินหยุน แววตาเต็มไปด้วยความเชิดชู
ในช่วงเวลาวิกฤต เขาคนนั้นที่ได้เข้ามาช่วยชีวิตเธอเอาไว้อย่างหลินหยุน ได้กลับมาอีกครั้งแล้ว
“ซือหนัน เธอก็ลองเชื่อหลินหยุนหน่อยเถอะ !” อันซินพูดโน้มน้าว
โห้ซือหนันเหลียวหันไปมองอันซิน พร้อมคำถาม: “เธอเชื่อเขางั้นหรอ?”
“อืม” อันซินพยักหน้าอย่างหนัก
“ก็ได้ ฉันจะลองเชื่อเขาสักครั้งแล้วกัน !แต่ว่าถ้าหากวันนี้ไม่ไป พรุ่งนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ” โห้ซือหนันจ้องหลินหยุน ราวกับกำลังยื่นคำขาดสุดท้ายให้เขา
หลินหยุนลุกขึ้นยืน แล้วถาม: “ห้องของฉันอยู่ทางไหน?”
“……” โห้ซือหนันถึงกับหมดคำพูด เขาคนนี้ไม่ใช่คนเย่อหยิ่งธรรมดาทั่วไปจริงๆ
“เป็นห้องที่อยู่ด้านในสุดนั้นเลย พวกเครื่องนอนและชุดนอนต่างๆ ล้วนเป็นของใหม่หมดเลย แล้วก็ด้านในมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำภายในตัวด้วย”
โห้ซือหนันตอบกลับ
“อืม” หลินหยุนเดินตรงเข้าไปด้านใน
โห้ซือหนันเฝ้ามองดูแผ่นหลังอันผอมเพรียวนั้นของหลินหยุน สีหน้าแสดงความสับสนออกมา จนผ่านไปสักพัก เธอจึงถอนหายใจออกมายาวๆ
“อันซิน คืนนี้นอนห้องฉันนะ !ฉันมีเรื่องมากมายที่ไม่รู้จะไปปรึกษากับใครดี”
“ได้สิ” อันซินตอบด้วยสีหน้าเห็นใจ
ในคืนนั้น หลินหยุนนั่งฝึกบำเพ็ญอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ
ตอนนี้ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนอนอีกต่อไปแล้ว แม้แต่การไม่ได้กินไม่ได้ดื่มอะไรเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนก็ไม่ได้มีผลกระทบกับเขาด้วย
ซึ่งระยะทางสู่แดนบี้กู่ ก็นับว่าอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
ในค่ำคืนอันแสนสงบ จิตวิญญาณของเขาขยายออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด เขาสามารถได้ยินเสียงของเหล่าแมลง และเสียง “ซู่ซ่า” ของใบไม้ที่ปลิวไสวไปตามสายลม
และแน่นอนว่ารวมถึงบทสนทนาด้วยเสียงต่ำๆ ของสองหญิงสาวที่อยู่ภายในห้องอีกห้องหนึ่งด้วย
เมื่อพูดคุยกันจนถึงเที่ยงคืน หญิงสาวทั้งสองถึงค่อยนอนหลับ โดยที่โห้ซือหนันนั้นร้องไห้เกือบทั้งคืน ดูแล้วผู้หญิงคนนี้คงจะได้รับแรงกดดันมากมายในแต่ละวันอย่างมาก
ในวันถัดมา หญิงสาวทั้งสองตื่นสาย ถึงขั้นที่หลินหยุนสามารถมองเห็นถุงใต้ตาคล้ำของหญิงสาวทั้งสองอย่างชัดเจนเลย
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ล้างหน้าทำความสะอาดตัว ด้านนอกก็มีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังขึ้นมาก่อน : “นังคนเดรัจฉาน รีบไสหัวเธอออกมาเดียวนี้ !”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของโห้ซือหนันก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันที
“พ่อฉันมาแล้ว”
อันซินพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง: “ซือหนันไม่ต้องกลัวนะ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ก็เห็นชัดอยู่ว่าพวกเขาทำไม่ถูกต้อง ฉันกับหลินหยุนจะช่วยเป็นพยานให้กับเธอเอง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณพ่อของเธอจะไม่ถามหาเหตุผลก็เอาผิด แล้วตำหนิโทษทุกอย่างให้เธอแบกรับ !”
โห้ซือหนันส่ายหน้า พร้อมตอบกลับด้วยสีหน้าที่หมองคล้ำ: “เธอไม่รู้หรอก ในสายตาของพ่อแล้วฉันไม่ได้มีความชิดเชื้ออะไรด้วยเลย เป็นเพียงแค่ผลประโยชน์ของตระกูลเท่านั้น ตอนนี้ฉันไปสร้างเรื่องบาดหมางกับกงเห้า แน่นอนว่าเขาจะต้องโยนความผิดทุกอย่างมาไว้ที่ฉัน”
“……” อันซินถึงกับพูดไม่ออก : “จะมีพ่อแบบนี้ได้โลกนี้ได้ยังไงกัน!”
“ฉันจะไปเปิดประตู ถ้าจะหลบก็คงหลบไม่พ้นอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ถูกตีสักยก เพราะยังไงเขาก็ยังคงหวังให้ฉันแต่งงานกับตระกูลกงอยู่ดี” โห้ซือหนันรวบรวมความกล้า ก่อนจะเดินลงไปด้วยใบหน้าที่เปลือยเปล่าอย่างนั้น
“ฉันจะไปกับเธอด้วย” อันซินร้องตะโกน พลางรีบเดินตามโห้ซือหนันลงไปชั้นล่าง
ในขณะนั้น หลินหยุนก็เดินตามหลังสองสาวลงไปชั้นล่างด้วยเหมือนกัน
ด้านนอกประตู มีชายสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่ง เป็นชายอายุราวๆ หกสิบปี พร้อมกับลูกน้องอีกจำนวนหนึ่ง กำลังยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าที่โกรธเคืองอย่างมาก
ด้านหลังของเขา ยังมีโห้จินผิงและโห้จินเย่นสองพี่น้องที่กำลังยิ้มเยาะด้วยใบหน้าที่มีความสุขเมื่อได้เห็นโห้ซือหนันกำลังเดือดร้อน
โห้ซือหนันเปิดประตู พร้อมก้มหน้าเรียก : “พ่อ!”
โห้หมิงตะคอกอย่างดุดัน: “อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ ในสายตาของเธอยังมีฉันคนนี้เป็นพ่ออยู่อีกงั้นหรอ ?คนตระกูลกงเธอยังกล้าไปท้าทาย ยังเห็นฉันคนนี้อยู่ในสายตาอยู่หรือเปล่า ?”
โห้ซือหนันนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ แล้วยืนอยู่กับที่อย่างนั้น พร้อมใบหน้าที่หม่นหมอง
โห้จินเย่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มเยาะออกมา: “ไม่ใช่ท้าทาย แต่คือการตอน ตอนไข่ของกงเห้าต่างหาก คาดว่านายท่านกงเฉินยู่คงจะไร้ผู้สืบสกุลแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนี้สีหน้าของโห้หมิงยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น ที่ตัวเขานั้นต้องการจะเอาใจกงเฉิงยู่ ก็เพื่อให้เขาไม่ขัดขวางตระกูลโห้ในการขายน้ำแห่งชีวิต ดังนั้นเขาถึงได้ยอมส่งลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนให้แต่งงานกับตาเฒ่าอายุหกสิบกว่าปีคนนั้น
แต่ตอนนี้ ลูกสาวของตัวเองดันไปตัดตอนลูกชายของกงเฉิงยู่เสียอย่างนั้น !
แล้วจากนี้ควรทำอย่างไรถึงจะดี?
โห้หมิงจ้องโห้ซือหนันเขม็ง พร้อมพูดด้วยเสียงเข้ม : “เธอไปแต่งตัวซะ แล้วไปรับผิดกับนายท่านกงพร้อมกับฉัน!”
“จะเป็นหรือจะตายก็ขึ้นอยู่กับชะตาของเธอแล้ว”
โห้ซือหนันตอบรับอย่างเศร้าหมอง: “ค่ะ”
อันซินไม่สามารถมองดูอีกต่อไปได้แล้ว ก่อนที่จะเดินลงมา ถึงเธอจะได้ยินแล้วว่าคุณพ่อของโห้ซือหนันคนนี้มีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร แต่ตอนแรกเธอกลับยังแอบหวังอยู่เล็กๆ ว่าบางทีโห้ซือหนันอาจจะเข้าใจพ่อของตัวเองผิดไปหรือเปล่า?
แต่ว่า หลังจากที่อันซินได้เห็นกับตาตัวเอง ในที่สุดเธอก็เข้าใจความสิ้นหวังอันล้ำลึกนั้นของโห้ซือหนัน ว่ามันมาได้อย่างไรทันที
“เดี๋ยวก่อนค่ะ มีสิทธิ์อะไรต้องให้ซือหนันเป็นคนรับผิดด้วยคะ!”
“ขอถามหน่อยค่ะ ว่าซือหนันทำผิดตรงไหนคะ?เป็นเพราะไอ้คนเลวตระกูลกงคนนั้นที่เข้ามาหาเรื่องซื่อหนันถึงที่ก่อนต่างหาก ลูกสาวสองคนนี้ของคุณนอกจากจะไม่ช่วยห้ามแล้ว ยังจะมีหน้ามาเป็นคนสมรู้ร่วมคิดแดกดันเธออีก คุณไม่ไปกล่าวโทษพวกเขา แต่กลับวิ่งมาตำหนิซือหนันตั้งแต่เช้าแบบนี้แทน แล้วยังจะให้ซือหนันไปยอมรับผิดกับไอ้คนสารเวลานั่นอีก !”
“ฉันอยากจะถามคุณสักคำ นี่ซือหนันไม่ใช่ลูกสาวของคุณหรือไงคะ ?