จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 517 ซากปรักหักพังแคว้นป้ายเยว่
หลินหยุนยื่นมือออกมา จับมือกับศาสตราจารย์หยาง
จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างแนะนำทำความรู้จักซึ่งกันและกัน
ตอนที่ไอ้อ้วนนั้นแนะนำตัวเอง ท่าทางเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ หลินหยุนก็ไม่ได้ใส่ใจ รู้แต่เพียงว่าคนอื่นเรียกเขาว่าไอ้อ้วนหวาง
คนตัวสูงผอมที่อยู่ติดกับเขาตลอดเวลา ชื่อว่าเหล่าหู
คนหนึ่งในจำนวนนั้น ที่มีหน้าตาสวยงาม เป็นหญิงสาวสวยที่เรียนจบมาจากพม่า ทุกคนเรียกเธอว่าคุณหยาง
หลินหยุนก็แนะนำตัวให้พวกเขา ปู่รองเติ้งมีชื่อว่า เติ้งรอง ส่วนเขาก็ใช้ชื่อเต็มของเขา
โดยที่ทั้งสองคนได้เข้าร่วมกลุ่มนักผจญภัยนี้อย่างเป็นทางการแล้ว
ผู้ช่วยคนหนึ่งถามขึ้นว่า: “ศาสตราจารย์หยาง ที่นี่คือซากปรักหักพังของเมืองโบราณที่พวกเราตามหากันอยู่ใช่หรือไม่? ”
ศาสตราจารย์หยางมองไปโดยรอบ แล้วพยักหน้า: “ถูกต้อง ที่นี่ก็คือซากปรักหักพังแคว้นป้ายเยว่ที่ซึ่งเป็นหนึ่งในยี่สิบแคว้นดินแดนตะวันตก”
“พวกคุณดูสิ่งก่อสร้างหลังนี้ นั่นคือสิ่งก่อสร้างที่ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี บนตลอดเส้นทางที่พวกเราได้เดินกันมา พวกคุณดูว่าสิ่งก่อสร้างหลังนั้นเหมือนกับอะไร? ” ศาสตราจารย์หยางชี้ไปยังสิ่งก่อสร้างที่ปู่รองเติ้งเรียกว่าวัดและได้สอบถามขึ้น
“เหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว! ” หญิงสาวคนนั้นตอบขึ้น
“ถูกต้อง ตามบันทึกในหนังสือโบราณ แคว้นป้ายเยว่ใช้พระจันทร์เสี้ยวเป็นโทเทม ซึ่งที่นั่นก็คงจะเป็นวัดของพวกเขา” ศาสตราจารย์หยางยิ้มและพูดขึ้น
หลินหยุนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังศาสตราจารย์หยาง ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์คนนี้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง เพียงแค่อาศัยรูปทรงภายนอกของสิ่งก่อสร้าง ก็สามารถที่จะสรุปได้ว่าที่นั่นก็คือวัด
“ศาสตราจารย์ เล่าประวัติความเป็นมาของแคว้นป้ายเยว่ให้พวกเราฟังกันหน่อยเถอะ! ” ผู้ช่วย คนหนึ่งพูดขึ้น
ศาสตราจารย์หยางยิ้มและพูดว่า: “ได้เลย”
“แคว้นป้ายเยว่เป็นแคว้นหนึ่งในยี่สิบแคว้นดินแดนตะวันตก มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นเดียวกับแคว้นโหลหลัน แคว้นจิงเจ๋เหล่านี้ แต่ว่า ก็เจริญรุ่งเรืองเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ในที่สุดก็ถูกทับถมอยู่ภายใต้ทรายสีเหลืองที่ตลบอบอวลนี้”
“แต่ว่า แคว้นป้ายเยว่มีตำนานที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งอยู่ ในตำนานเล่าว่า แคว้นป้ายเยว่ไม่ใช่แคว้นดินแดนที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เป็นแคว้นที่สร้างขึ้นโดยเทพที่ลงมาจุติ ดังนั้นคนในแคว้นป้ายเยว่ จะเคารพนับถือพระจันทร์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างหรือว่าสิ่งอื่น ต่างก็ชอบที่จะใช้พระจันทร์เสี้ยวเป็นภาพสัญลักษณ์”
ไอ้อ้วนหวางยิ้มอย่างเหยียดหยามและพูดขึ้นว่า: “นี่ต่างก็เป็นความเชื่องมงายของคนสมัยโบราณ โลกนี้จะมีเทพเทวดามีผีที่ไหนกันล่ะ คิดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์เองก็เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย”
คนอื่นต่างก็พากันหัวเราะเหอะเหอะ ชัดเจนว่าค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับคำพูดของไอ้อ้วนหวาง
ในเมื่อ ตอนนี้เป็นสังคมที่ไม่มีการพูดถึงเทพเทวดา ต่อให้มีสิ่งของหรือเรื่องราวบางอย่างที่เกินกว่าธรรมชาติปรากฏขึ้น ก็คงถูกทางการจงใจที่จะปิดกั้น
ศาสตราจารย์หยางพูดขึ้นว่า: “แคว้นป้ายเยว่จวบจนปัจจุบันมีมานานถึงหนึ่งพันกว่าปีแล้ว ในตอนนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร พวกเราก็ไม่อาจทราบได้ ดังนั้น พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาโบราณคดี พยายามที่จะขุดค้นข้อเท็จจริงในอดีตนั้น”
“ไปกันเถอะ ถ้าหากข้าคาดเดาไม่ผิด สุสานของราชินีแห่งแคว้นป้ายเยว่ คงน่าจะอยู่ด้านล่างของวัดแห่งนี้”
“ที่จริงแล้วนี่ก็คือประวัติความเป็นมาของเมืองผี” หลินหยุนครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามศาสตราจารย์หยางกับคนอื่น ๆ มุ่งหน้าไปยังที่วัดแห่งนั้น
วัดคือสิ่งก่อสร้างที่ยังคงรักษาสภาพเดิมเอาไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในเมืองผี ราวกับว่าในความมืดมิด มีพลังงานลึกลับบางอย่างที่คอยดูแลปกป้องวัดแห่งนี้ เพื่อไม่ให้ถูกพายุทรายพัดกระหน่ำเข้าใส่
ทุกคนมาถึงตำหนักของวัด ภายในตำหนักว่างเปล่า มีเสาหินขนาดใหญ่แปดต้นค้ำยันเอาไว้ โดยบนเสาหินแต่ละต้นนั้น มีการแกะสลักภาพวาดอยู่บ้าง
ศาสตราจารย์หยาง ภาพที่วาดขึ้นพวกนี้คืออะไรเหรอ? คุณหยางใช้ภาษาจีนที่ไม่ชำนาญ สอบถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
ภาพบนฝาผนัง คือหญิงสาวในชุดโบราณที่ในมือถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง โดยที่ลงมาจากพระจันทร์ และด้านล่าง มีคนจำนวนมากที่สวมใส่ผ้าหยาบหนังสัตว์ กำลังคุกเข่าทำการกราบไหว้
ศาสตราจารย์หยางเดินเข้าไป มองไปที่ภาพฝาผนังบนเสาหินนั้นและพูดว่า: “ภาพนี้คงน่าจะเป็นการบอกเล่าว่า เทพจันทราลงมาจุติ สร้างแคว้นป้ายเยว่ขึ้น! ”
จากนั้น ทุกคนก็เดินมากันถึงด้านข้างของเสาหินต้นที่สอง
ภาพวาดบนเสาหินต้นนี้คือหญิงสาวในชุดโบราณคนนั้น ถือแผ่นไม้ไผ่ยาวหลายแผ่น โดยบนแผ่นไม่ไผ่นั้นมีอักษรที่แปลกประหลาด
ศาสตราจารย์หยางพูดว่า: “ภาพนี้คงน่าจะบอกเล่าว่าเทพจันทราคิดค้นตัวอักษรขึ้น และสอนให้พวกเขารู้จักตัวอักษร”
“ดูเหมือนว่าเทพจันทราท่านนี้ น่าจะเป็นผู้ที่มีวิชาความรู้อย่างมาก” เหล่าหูพูดขึ้น
“ฮ่าฮ่า ถ้าอย่างนั้นนายควรที่จะพูดว่ากลุ่มคนของแคว้นป้ายเยว่นี้ เป็นคนป่าเถื่อนไร้อารยะไม่ดีกว่าเหรอ? ” ไอ้อ้วนหวางยิ้มและพูดขึ้นอย่างดูถูก
กี่คนนั้นได้สำรวจดูเสาหินต้นอื่นต่อไป โดยทั่วไปจะวาดภาพผู้คนของสำนักเทพจันทราแคว้นป้ายเยว่ ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
“ศาสตราจารย์หยาง ท่านคิดว่าเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่? เทพจันทราผู้นั้น ที่จริงแล้วก็คือหญิงสาวทั่วไปที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งในตอนนั้นแคว้นป้ายเยว่ยังคงอยู่ในช่วงป่าเถื่อนไร้อารยะ เธอจึงได้นำวัฒนธรรมความรู้ที่ทันสมัยของจีนแผ่นดินใหญ่มาสอนให้กับคนของแคว้นป้ายเยว่”
“หลังจากนั้น คนของแคว้นป้ายเยว่ตกตะลึงคิดว่าเป็นเทพเทวดา จึงเคารพบูชาขึ้นเป็นเทพ”
ศาสตราจารย์พูดว่า: “อาจจะเป็นแบบนี้ก็เป็นได้”
ไอ้อ้วนหวางพูดโต้แย้งขึ้นอย่างไม่พอใจ: “ถ้าหากสอนเพียงแค่เขียนตัวอักษรและวาดภาพ ทำไมถึงจะต้องเคารพบูชาเป็นเทพด้วยล่ะ? ผู้หญิงคนนี้คงจะมีวิธีการที่เก่งกาจล้ำลึกอย่างอื่นเป็นแน่! ”
“ข้าคิดว่าเธอคงน่าจะเป็นนักมายากล สามารถเล่นกลได้ จากนั้นก็หลอกลวงคนป่าเถื่อนของแคว้นป้ายเยว่พวกนี้ได้สำเร็จ” ไอ้อ้วนหยางยิ่งพูดยิ่งรุนแรงขึ้น แม้แต่เขาเองก็แทบที่จะเชื่อแล้ว
“แบบนี้ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน” ศาสตราจารย์หยางพูดขึ้น
“พอได้แล้ว พวกคุณไม่ต้องมาคาดเดามั่วซั่วแล้ว พวกเราค้นหาทางเข้าของสุสานดูว่าอยู่ที่นี่หรือไม่? ” คุณหยางเหมือนกับว่าทนไม่ได้กับการคาดเดาเหตุการณ์ของทุกคน
“ใช่ ค้นหาทางเข้าสุสานให้พบ รอจนพบหลุมฝังศพของราชินีป้ายเยว่แล้ว ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัดเจน” ผู้ช่วยหญิงพูดขึ้น
“เหล่าหู ต้องพึ่งนายแล้ว! ” ไอ้อ้วนหวางผิวปากให้กับชายผู้ที่ผอมสูงคนนั้น ด้วยสีหน้าท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง
เหล่าหูสีหน้าไม่เปลี่ยน และมองสำรวจไปโดยรอบทั้งสี่ทิศ
“ที่นี่นอกจากจะมีเสาแปดต้นแล้ว ก็เหลือเพียงแท่นบูชาทรงกลมด้านหน้านั้น ถ้าหากข้าคาดเดาไม่ผิด ทางเข้าของสุสานคงจะอยู่ที่ด้านบนของแท่นบูชานั้น”
เมื่อเหล่าหูพูดจบ ไอ้อ้วนหวางก็รีบวิ่งตรงมายังด้านข้างของแท่นบูชาทันที มองทั้งด้านบนและด้านล่าง และยังใช้มือเคาะตีไม่หยุด
ศาสตราจารย์หยางกับคนอื่นเดินเข้าไป เหล่าหูถามขึ้นว่า: “เป็นอย่างไรบ้าง? พบเห็นอะไรบ้างหรือไม่? ”
“อะไรก็ไม่เห็นมีเลย! นี่ก็คือแท่นบูชาธรรมดาทั่วไป มีทางเข้าอะไรที่ไหนกันล่ะ! ” ไอ้อ้วนหวางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง
“อย่ารีบร้อนไป ลองดูให้ละเอียดอีกครั้ง ถ้าหากทางเข้าของสุสานอยู่ในวัดแห่งนี้จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นสถานที่แห่งเดียวที่สามารถทำเป็นทางเข้าได้นั้น ก็มีเพียงแค่แท่นบูชานี้” เหล่าหูพูดอย่างมั่นใจ
“เหล่าหู ด้านบนของแท่นบูชานี้มีภาพวาด นายรีบมาดูหน่อย! ” ไอ้อ้วนหวางตะโกนขึ้นด้วยความรีบร้อน
เหล่าหูเดินเข้าไป และมองไปที่ภาพวาดสัตว์ร้ายที่แปลกประหลาดทั้งสี่ตัวบนแท่นบูชานั้น โดยได้แบ่งแยกยึดครองอยู่ทางเหนือใต้ออกตกทั้งสี่ทิศด้วยกัน
ไอ้อ้วนหวางใช้มือไปขยับภาพวาดสัตว์ร้ายเหล่านั้นดู ผลปรากฏว่าขยับได้หนึ่งภาพ
“เหล่าหู! ” ไอ้อ้วนหวางอุทานขึ้น
เหล่าหูพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น: “ดูเหมือนว่านี่ก็คือกุญแจของทางเข้าสุสานแล้ว”
ไอ้อ้วนหวางพูดว่า: “แต่ของสิ่งนี้จะเปิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ? ”
เหล่าหูมองไปที่ภาพวาดทั้งสี่นั้น ขยับจัดวางเล็กน้อย แล้วก็ท่องภาวนาขึ้น: “แผนภูมิสวรรค์ เฉียนคุนขั่นตุ้ย……”
“ไม่ถูกต้องอ่า! ตกลงควรจะเปิดด้วยวิธีการใดกันแน่? ”
เหล่าหูครุ่นคิดอย่างหนัก
หลินหยุนเดินเข้ามา มองดูเล็กน้อย แม้ว่าเขาก็ไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้จะจัดวางอย่างไรถึงจะสามารถเปิดออกได้ แต่จากพลังการมองเห็นของเขา สามารถที่จะมองเห็นร่องรอยที่คนทั่วไปมองไม่เห็นได้
อย่างเช่นกุญแจล็อครหัส ถ้าหากเปิดรหัสล็อคอยู่บ่อยครั้ง ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้บนตัวเลขรหัสที่ใช้อยู่เป็นประจำ จากนั้นก็ยึดตามความเคยชินการกดรหัสของคน โดยทั่วไปจะเริ่มต้นจัดเรียงจากด้านบนลงมาด้านล่าง ก็สามารถที่จะปลดล็อครหัสได้แล้ว
สิ่งของชิ้นนี้ก็เหมือนกัน โดนคนเคลื่อนย้ายอยู่เป็นประจำ โดยภาพวาดทั้งสี่นั้นต่างก็มีร่องรอยของการเคลื่อนย้ายอยู่
แต่ว่า ร่องรอยนั้นค่อนข้างเบาบาง นอกเสียจากว่าจะใช้กล้องจุลทรรศน์จึงทำให้มองเห็นได้
แต่ หลินหยุนมีพลังดวงตาทำลายล้าง สามารถที่จะมองเห็นร่องรอยการเคลื่อนย้ายเหล่านั้นได้โดยง่าย
“ข้าขอทดลองหน่อย” มองไปยังเหล่าหูที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก หลินหยุนก็ได้พูดขึ้น
“นาย? ” ไอ้อ้วนหวางกับเหล่าหู ตกตะลึงเล็กน้อย
ไอ้อ้วนหวางยิ้มอย่างเหยียดหยามและพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “นายก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง จะสามารถเปิดมันได้อย่างไร? อย่ามายุ่งวุ่นวาย ไปเล่นที่อื่นไป! ”