จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 560 ต่อจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า
โล่เสว่ฉีจ้องมองสนามที่เหล่าเจ้าบ้านตระกูลใหญ่ล้อมรอบร่างที่ผอมแห้งเอาไว้ ใบหน้าที่เฉยชา เผยความกังวลออกมา
“สกปรก คนพวกนี้กล้าเรียกตัวเองว่านักบู๊อยู่อีกงั้นเหรอ?”
“เพื่อต่อกรกับคนนอกแค่คนเดียว คนทั้งโลกบู๊เจียงหนานกลับลงมือทั้งหมด!”
ถึงแม้จะโมโห แต่สิ่งที่มีมากกว่าก็คือความเป็นห่วง
“เขา เขาจะสู้ได้ไหม?”
ถึงแม้โล่เสว่ฉีจะเคยเห็นฝีมือของหลินหยุน แต่ นั่นเป็นแค่ตอนที่เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสของสำนักอู๋จี๋ แต่ตอนนี้คนที่เขากำลังเผชิญอยู่เป็นเหล่าเจ้าบ้านทุกตระกูลของโลกบู๊เจียงหนาน
คนพวกนี้ ล้วนแต่เป็นหนึ่งในยอดฝีมือของโลกบู๊เจียงหนาน
หลินหยุนแทบจะไม่มีหวังที่จะชนะในการต่อสู้ครั้งนี้
“ไม่ได้ ข้าจะปล่อยให้เขาตายแบบนี้ไม่ได้!”
ใบหน้าที่งดงามของโล่เสว่ฉี เผยความแน่วแน่ออกมา
เป็นครั้งแรก ที่โล่เสว่ฉีหันไปมองโล่อู๋หมิงด้วยตัวเอง
นี่เป็นพ่อของเธอ แต่ ก็เป็นคนที่เธอเกลียดที่สุดเช่นกัน
ถ้าเกิดไม่จำเป็นจริงๆ โล่เสว่ฉีก็ไม่อยากพูดกับเขา
“เมื่อกี้ท่านต้องการจะดึงเขาเข้ามาในตระกูลถูกไหม?” จู่ๆโล่เสว่ฉีก็พูดขึ้นมา
แววตาของโล่อู๋หมิงเผยความตกใจออกมา ดูเหมือนจะแปลกใจที่ จู่ๆโล่เสว่ฉีก็เปิดปากพูดออกมา
“ใช่ เจ้าอยากให้ข้าช่วยเขางั้นเหรอ?” น้ำเสียงของโล่อู๋หมิง แฝงความดูถูกอยู่เล็กน้อย
“ช่วยเขา แล้วข้าจะยอมร่วมมือกับท่านทุกๆอย่าง! ฟังให้ชัดนะ คือร่วมมือ” โล่เสว่ฉีพูดด้วยใบหน้าเย็นชา
โล่อู๋หมิงจ้องโล่เสว่ฉี มองเธออยู่เป็นนาที อึ้งไปสักพักจากนั้นก็หัวเราะออกมา “เจ้าชอบเขางั้นเหรอ”
“นึกไม่ถึงจริงๆ เจ้ากลับมีคนที่ชอบอยู่ด้วย”
“แต่ว่า เขายังไม่มีค่าถึงขั้นที่ข้าต้องไปมีเรื่องผิดใจกับเหล่าเจ้าบ้านทั่วทั้งโลกบู๊เจียงหนาน ต่อให้เป็นตระกูลโล่ ก็ทำไม่ได้!”
โล่อู๋หมิงปฏิเสธโดยไร้เยื่อใย
“ถ้าเกิดเขาสามารถรอดพ้นศึกครั้งนี้ไปได้ ข้าสามารถคิดเรื่องที่จะดึงเขาเข้ามายังตระกูลโล่ได้” โล่อู๋หมิงจ้องมองร่างของหลินหยุนที่อยู่ในสนาม แล้วยิ้มด้วยเสียงดูถูก “แต่ว่า นั่นคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
โล่เสว่ฉีหลับตาลง ขนตายาวสั่นไม่หยุด แต่ กลับทำอะไรไม่ได้
“หลินหยุน ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ถ้าเกิดเจ้าตาย งั้นข้าก็ไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว พวกเราค่อยไปเจอกัน ตรงปรโลก”
สาวน้อยเย่จื่อเชี่ยน ลุกขึ้นมา หันไปตะโกนด่าพวกที่อยู่ในสนามว่า “สกปรก ไร้ยางอาย พวกแกคนจากโลกบู๊เจียงหนาน เป็นพวกขี้แพ้ของโลกบู๊!”
“รวบรวมคนจากทั่วโลกบู๊เจียงหนาน เพื่อไปต่อกรกับชายหนุ่มแค่คนเดียว คนจากโลกบู๊เจียงหนานอย่างพวกแก ไม่คิดที่จะเหลือหน้าเอาไว้บ้างหรือไง!”
“พวกแกยังกล้าเรียกตัวเองว่านักบู๊อยู่อีกเหรอ เกียรติยศของนักบู๊โดนพวกแกทำลายไปจนหมดแล้ว”
เย่จื่อเชี่ยนโมโหจนขึ้นสมอง ถึงแม้เธอจะเป็นลูกหลานที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แต่ความยุติธรรมและเกียรติยศยังคงมีอยู่
ไม่เหมือนเหล่าเจ้าบ้านตระกูลใหญ่พวกนั้น ที่ในแววตามีเพียงแค่ผลประโยชน์
คำพูดของเย่จื่อเชี่ยน ทำให้เหล่านักบู๊มากมายต้องหน้าแดง หน้าร้อนผ่าว ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด
แต่ว่า ฉีเฉิงคุนและเหล่าเจ้าบ้าน ยังไงซะเมื่อคนอายุมากก็จะกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ เพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย พวกเขาไม่เลือกวิธีการ ไม่ว่าจะขาวสะอาดหรือสกปรก ขอแค่บรรลุเป้าหมายได้ก็พอ
“อย่าไปสนใจนาง รอให้ฆ่าเจ้าหนูนี้ก่อน ค่อยไปจัดการนางทีหลัง!” ฉีเฉิงคุนตะโกนเสียงต่ำ
“เพื่อป้องกันไม่ให้ศึกยืดเยื้อ รีบจัดการให้เสร็จๆเถอะ!”
พอได้รับคำสั่งด้วยเสียงที่เย็นชาฉีเฉิงคุน เหล่าเจ้าบ้านก็เหมือนกับเหล่านักบู๊ทั้งสิบแปดคนเมื่อกี้ เริ่มด้วยการโจมตีที่รุนแรงที่สุด
ปล่อยท่าไม้ตายที่ซ่อนเอาไว้ของตัวเองออกมา
การโจมตีครั้งนี้ เมื่อเทียบกับการโจมตีที่นักบู๊ทั้งสิบแปดคนปล่อยออกมา มันรุนแรงมากกว่าสิบเท่า
ทั้งสนามกีฬา เต็มไปด้วยชี่ทิพย์ที่รุนแรง ส่งเสียงเพล้งดังไปทั่วอากาศ นั่นเป็นเสียงที่เกิดจากชี่แท้ที่รุนแรงจนทะลุผ่านอากาศ
การโจมตีนี้ แทบจะรวมท่าไม้ตายของยอดฝีมือทั่วทั้งโลกบู๊เจียงหนานเอาไว้
หลินหยุนยืนอยู่ที่เดิม ราวกับเป็นเรือที่จู่ๆก็เจอกับคลื่นทะเลรุนแรง ทำให้เรือพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของยอดฝีมือที่รวบรวมมาจากโลกบู๊เจียงหนาน หลินหยุนก็ไม่กล้าประมาท
ก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว มือทั้งสองข้างวาดรูปวงกลมกลางอากาศ
น้ำเสียงเรียบๆ ราวกับเป็นเสียงที่ส่งผ่านมาจากทั่วทิศทาง “ท่าห้ามสิ่งวายชนม์!”
ทันใดนั้น ทุกคนที่ปล่อยการโจมตีออกมา ต่างก็ถูกแช่แข็ง
แม้แต่พวกชี่แท้ที่ปล่อยออกมา ก็ถูกแช่อยู่ที่เดิม
ทั้งฟ้าและดิน ราวกับว่าหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง
“สถานการณ์อะไรกัน แปลกเกินไปแล้ว!” สีหน้าของทุกคนที่อยู่รอบๆ เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“ทำไม่จู่ๆพวกเขาถึงไม่ขยับล่ะ!”
ไม่เพียงแค่พวกเขาที่ไม่เข้าใจ แม้แต่เหล่าเจ้าบ้านตระกูลใหญ่พวกนั้นที่ถูกแช่แข็งอยู่บนสนาม ในเวลานี้ต่างก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ตอนนี้พวกเขา มีเพียงแค่ดวงตาที่ยังสามารถขยับได้
ดวงตาจ้องมองหลินหยุนที่ค่อยๆยกมือออกมา
“กระบวนท่าที่หกของสิบแปดท่าต้าเต๋า ดาวยักษ์ตก!”
จ้องมองหลินหยุนที่หายตัวไปจากสนามหญ้า
ดวงตาจ้องมองจุดดำๆที่ร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า ความเร็วรวดเร็วจนถึงขีดสุด แล้วกระแทกเข้าที่หัวของพวกเขา
บึ่ม !
ทั้งสนามกีฬาดูเหมือนจะสั่นไหวไปชั่วขณะหนึ่ง
พื้นที่รัศมีรอบๆสิบเมตร ถูกทุบจนจมลงไปเจ็ดนิ้ว เหล่าเจ้าบ้านตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็กระอักเลือดออกมาในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้น
พวกเจ้าบ้านตระกูลเล็กที่มีความแข็งแกร่งต่ำที่สุด สลบตายคาที่
ฉีเฉิงคุนจ้องมองหลินหยุนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จนลืมเช็ดเลือดที่ติดอยู่ในมุมปาก แล้วบ่นกับตัวเองว่า “นี่มันเป็นไปได้ยังไง เป็นไปได้ยังไง?”
ฉีเฉิงคุนไม่มีทางคาดคิด ขนาดรวบรวมยอดฝีมือระดับแถวหน้ามาเกือบทั่วทั้งโลกบู๊เจียงหนาน แต่ก็ยังรับการโจมตีเดียวของหลินหยุนเอาไว้ไม่หยุด
“ความแข็งแกร่งของเขา ไปถึงขั้นไหนแล้วกันแน่?”
“หรือว่า ไปถึงแดนปรมาจารย์ระดับใหญ่แล้ว? หรือไม่บางที อาจจะถึงปรมาจารย์สูงสุด!”
ฉีเฉิงคุนไม่กล้าทายต่อ เขาใช้เวลาหลายสิบปี กว่าจะทะลุไปถึงแดนปรมาจารย์ระดับเล็ก จากนั้นก็ใช้เวลามานานขนาดนี้แต่ก็ไม่มีความก้าวหน้า
แดนปรมาจารย์ระดับใหญ่ เป็นหนทางยาวไกลที่เขาไม่มีวันไปถึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแดนปรมาจารย์สูงสุด
แต่ว่า ถ้าเกิดปรมาจารย์ระดับใหญ่ที่มีอายุแค่ยี่สิบต้นๆ หรือบางทีอาจจะเป็นปรมาจารย์สูงสุด……
ฉีเฉิงคุนจินตนาการไม่ออก ต่อให้เป็นเทพแห่งทวนโล่อู๋จี๋ในตอนนั้น เทพกระบี่เยนหนานเทียน เทพสงครามเจียงร่อโจ๋ ก็ยังห่างชั้นอยู่มาก
“หรือว่าเจ้าเด็กนี้ต้องการจะเหนือกว่านักบู๊ทั่วโลกนี้ ต้องการเป็นคนแรกที่จะไปให้ถึงแดนในตำนานนั้น!”
ลู่หนันสุนและซิงจื่อเย่ทั้งคู่ต่างก็ตัวแข็งทื่อ
ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็คงจินตนาการไม่ออก ความแข็งแกร่งของหลินหยุนจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้!
แค่คนเดียว สามกระบวนท่า ก็ล้มยอดฝีมือของทั่วทั้งโลกบู๊เจียงหนานลงได้
สิบแปดคนก่อนหน้านี้ใช้แค่หนึ่งกระบวนท่า ต่อมาก็เป็นเหล่าเจ้าบ้านตระกูลใหญ่ ใช้ไปสองกระบวนท่า
หลินหยุนแค่คนเดียว ก็สามารถกดทับจนโลกบู๊ทั่วทั้งเจียงหนานเงยหน้าไม่ขึ้น
ฉีซือหย่วนร้องเสียงตกใจเหมือนกับเห็นผี “เขา เขาใช้วิชามารอะไรกันแน่! คนมากมายขนาดนั้นสู้กับเขาที่มีแค่คนเดียว ไม่มีทางที่เขาจะสามารถเอาชนะมาได้!”
คาร์นอตวิลเลียม แดร็กคิวล่าเองก็อ้าปากค้าง มารยาทผู้สูงศักดิ์ของเขา ความสง่างามและความสูงส่งของเขา ล้วนลืมไปจนหมดสิ้น
ในเวลานี้ ไม่มีประโยคไหนที่จะสามารถอธิบายความตกใจที่อยู่ในใจของคาร์นอตวิลเลียม แดร็กคิวล่าได้อีกแล้ว
ถ้าเกิดจำเป็นต้องใช้คำคำหนึ่งเพื่อมาเปรียบเทียบอารมณ์ตอนนี้ของคาร์นอตวิลเลียม แดร็กคิวล่าแล้วล่ะก็ นั่นก็คือคำที่เขาเพิ่งได้เรียนมาจากประเทศจีนเมื่อไม่นานมานี้
“รื่อ!”
คำนี้ เดิมที่ใช้เพื่อแสดงออกถึงแสงสว่างและความหวังจากดวงอาทิตย์ แต่ว่าอารยธรรมของประเทศจีนล้ำลึกเกินไป พัฒนาจนตอนนี้ คำนี้สามารถเอามาใช้เป็นคำนาม และสามารถเอามาใช้เป็นคำกริยา และยังสามารถเอามาใช้เป็นคำอุปมาอุปไมยได้อีก
อีหลิงเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา “ฉันรู้อยู่แล้ว หลินหยุนจะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน!”
ใบหน้าเย่จื่อเชี่ยนที่อยู่ข้างๆเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ปรมาจารย์หลินสมแล้วที่เป็นปรมาจารย์หลิน! เก่งกาจเกินไปแล้ว เก่งกาจเกินไปแล้ว!”
“เฮิง เจ้าพวกต่ำช้าของโลกบู๊เจียงหนาน พวกแกคิดว่ามีจำนวนที่มากกว่าแล้วจะสามารถเอาชนะปรมาจารย์หลินได้งั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!”
โล่เสว่ฉีได้เตรียมใจพร้อมที่จะตายไปกับหลินหยุนเอาไว้แล้ว แต่ว่า หลินหยุนกลับชนะมาได้
ราวกับเป็นปาฏิหาริย์ที่สามารถคว้าชัยชนะมาได้
เวลานั้นโล่เสว่ฉี ก็นึกถึงตอนที่อยู่หน้าประตูทางเข้าวังเทพจันทรา ภาพที่หลินหยุนปกป้องเธอจากการโจมตีของผู้อาวุโสสำนักอู๋จี๋
ทันใดนั้น น้ำตาก็อาบทั่วใบหน้า