จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 571 วิกฤตของตระกูลอี
อ้าวฉางคงผู้มีอิทธิพลอำนาจแห่งกว่างเป่ย ก็มีสีหน้าท่าทางที่สงสัย โดยมองไปยังผู้อาวุโสในชุดสูทสีดำที่ยืนอยู่ด้านข้างผู้นั้น และถามขึ้นอย่างเคารพว่า: “คุณฉี นี่เป็นเพราะอะไรกัน? ”
คุณฉีก็มีสีหน้าท่าทางที่ไม่เข้าใจ: “ข้าก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร อีกทั้งข้าก็ไม่พบเห็นว่ามีใครที่แอบลอบลงมือ สภาพการณ์เช่นนี้ มียอดฝีมือจำนวนมาก หากคิดที่จะแอบลอบลงมือแต่ไม่โดนใครพบเห็นนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย! ”
“นอกจากว่าพลังความสามารถของคนผู้นี้ ถึงระดับขั้นสูงสุดของโลกบู๊ตามที่ตำนานร่ำลือ”
“แต่ว่า นี่มันคงไม่มีทางเป็นไปได้! ”
อ้าวฉางคงพยักหน้า ถ้าหากมีผู้ใดที่มีพลังความสามารถถึงระดับขั้นสูงสุดของโลกบู๊ตามที่ตำนานร่ำลือ ทำไมยังจะต้องมาในสถานที่แบบนี้ด้วย ซึ่งคนผู้นั้น ใครจะสามารถเชิญให้มาได้ล่ะ?
เสิ่นเหยียนขมวดคิ้วและมองไปที่เวทีประลอง ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
เสิ่นมี่ที่อยู่ด้านข้าง คิ้วที่สวยงามขมวดขึ้นเล็กน้อย: “ปรมาจารย์เหยียน มีคนแอบลอบลงมือ ใช่ไหม? ”
ที่นั่งด้านข้าง ผู้อาวุโสคนนั้นที่มีลักษณะท่าทางเหมือนกับอาจารย์สอนหนังสือ ส่ายศีรษะ: “ไม่ใช่ ถ้าหากมีคนแอบลอบลงมือ คงจะไม่มีทางรอดพ้นสายตาคนจำนวนมากในสถานที่แห่งนี้ไปได้”
“หรือว่า เป็นเพราะเดิมทีคุณอู่มีบาดแผลเก่าในร่างกาย เมื่อครู่หลังจากที่ต่อสู้ ก็ทำให้บาดแผลเก่าเกิดอาการกำเริบขึ้น จึงทำให้ล้มลงอย่างกระทันหัน! ”
เสิ่นเหยียนยิ้มและพูดว่า: “หูเหวยซินนั้นโชคร้ายเสียจริง เมืองเวินก่างที่อยู่ในมือ กลับต้องส่งคืนกลับไปแล้ว”
อีหลิงกลับมองไปที่หลินหยุนด้วยความดีอกดีใจ แล้วก็ค่อย ๆ ขยับตัวเขาไปใกล้ กลิ่นความหอมหวลลอยมายังที่หลินหยุน
“คุณช่วยอาฉินไว้ใช่ไหม? ” อีหลิงกระซิบถามขึ้น
“ถูกต้อง” หลินหยุนยอมรับอย่างเปิดเผย แม้ว่าคนอื่นจะได้ยิน เขาก็ไม่เกรงกลัว เพราะว่าในสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครมองออกว่าเขาเป็นคนลงมือ
อีหยุ่นดีใจอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเวทีประลอง และตะโกนพูดกับหูเหวยซินว่า: “หูเหวยซิน นายพ่ายแพ้แล้ว ต่อไปเมืองเฟิงหลันของนายก็ต้องตกเป็นของข้าแล้ว! ”
เมืองที่สามารถนำมาพูดคุยเปรียบเทียบในระดับเดียวกันกับเมืองเวินก่างได้ สำหรับเจียงเป่ยแล้วก็คือเมืองเฟิงหลัน อีกทั้ง เมืองเฟิงหลันตั้งอยู่ที่จุดบรรจบระหว่างเจียงหนานกับเจียงเป่ย ซึ่งตระกูลอีสามารถดูแลปกครองได้อย่างสะดวกและง่ายดาย
หูเหวยซินสีหน้าท่าทางหม่นหมอง: “ทราบแล้ว”
อาฉินอดทนยืนหยัดเดินลงมาจากเวทีประลอง เมื่อมาถึงด้านหน้าของอีหยุ่น อาฉินก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
ร่างกายอ่อนยวบ แล้วก็ล้มลงไปที่พื้น
ยังดีที่ลูกน้องของอีหยุ่นมีสายตาและมือที่ว่องไว ประคองอาฉินเอาไว้ได้
อีหยุ่นพูดขึ้นด้วยความกังวลว่า: “อาฉิน นายได้รับบาดเจ็บแล้วใช่ไหม? ”
“ไม่เป็นไร พักผ่อนเล็กน้อยก็ดีขึ้นแล้ว! ” อาฉินกล่าว
“งั้นก็ดีแล้ว! ” อีหยุ่นยังคงมีความกังวลอยู่บ้าง: “รีบประคองอาฉินนั่งลง! ”
“รับทราบ! ”
ปรมาจารย์ป๋ายเห้อมองไปที่หลินหยุนโดยพลัน ในแววตาเผยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ขึ้นแวบหนึ่ง
“ไอ้หนุ่มน้อย เมื่อครู่นายบอกว่าอาฉินคงจะยืนหยัดต้านทานการจู่โจมของคุณอู่ได้ไม่เกินสามกระบวนท่าไม่ใช่เหรอ?” ปรมาจารย์ป๋ายเห้อถามขึ้นอย่างแปลก ๆ
ไม่ว่าใครต่างก็มองออกว่า ปรมาจารย์ป๋ายเห้อกำลังยุยงให้เกิดการแตกแยกกัน
หลินหยุนมองไปที่เขาเล็กน้อย แววตาเผยความเยือกเย็นออกมา: “ใช่ข้าเป็นคนพูดเอง”
“แล้วตอนนี้ล่ะ? ” ปรมาจารย์ป๋ายเห้อยิ้มอย่างเย็นชา
หลินหยุนไม่พูดไม่จาอะไร ถ้าหากว่าเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วย การบำเพ็ญฝึกฝนของอาฉินคงจะถูกทำลายสูญสิ้นไปแล้ว
แต่ว่า เรื่องแบบนี้เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ และถึงจะพูดออกมาแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ
เห็นว่าหลินหยุนอับอายขายหน้าเล็กน้อย อาฉินจึงรีบช่วยแก้ต่างให้กับหลินหยุน: “ปรมาจารย์ ป๋ายเห้อ ครั้งนี้ที่ข้าสามารถเอาชนะได้ เป็นเพราะความโชคดี ไม่ใช่ว่าคุณหลินคาดการณ์ไม่แม่น! ”
“ทำไมนายถึงมักพูดแทนเขาอยู่เป็นประจำ! หรือว่าพวกนายจะเชื่อจริง ๆ ว่าเขาเป็นปรมาจารย์อะไรนั่น? ฮึ ข้าเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนหลอกลวง” ปรมาจารย์ป๋ายเห้อยิ้มอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าท่าทางที่เหยียดหยาม
เมื่อครู่ที่โดนหลินหยุนดูถูก โดนคาร์นอตวิลเลียมเหยียดหยาม ในที่สุดก็หาโอกาสแก้แค้นกลับคืนได้แล้ว
เวลานี้ อ้าวฉางคงลุกยืนขึ้นอย่างกะทันหัน มองไปที่อีหยุ่น ทำมือแสดงความเคารพและพูดว่า:“อีหยุ่น บัญชีความแค้นระหว่างเราทั้งสอง ถึงเวลาที่จะคิดบัญชีกันได้แล้ว”
อีหยุ่นพูดขึ้นว่า: “ครั้งนี้ยังคงเป็นจำนวนตัวเลขเดิมนั้นใช่ไหม? ”
อ้าวฉางคงพูดขึ้นว่า: “ครั้งนี้จากจำนวนตัวเลขเดิมนั้น เพิ่มจำนวนมากขึ้นไปอีกหนึ่งเท่า”
อีหยุ่นตกใจเล็กน้อย ตัวเลขในครั้งก่อนนั้นก็เพิ่มขึ้นจนถึงสองพันล้านแล้ว ส่วนจำนวนตัวเลขที่พวกเขาพูดกันหนึ่งเท่าก็คือหนึ่งพันล้าน โดยในครั้งนี้เพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่งเท่า นั่นก็คือจำนวนสามพันล้านแล้ว
นี่เป็นการท้าพนันวางเดิมพันครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ว่า อีหยุ่นทำได้เพียงแค่ตอบรับ: “ตกลง อย่างนั้นก็ยึดเอาตามจำนวนตัวเลขที่นายบอกแล้วกัน”
“ปรมาจารย์ป๋ายเห้อ ครั้งนี้คงต้องลำบากท่านแสดงฝีมือแล้ว! ” อีหยุ่นพูดขึ้นอย่างเกรงใจ
“คุณอีวางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” ปรมาจารย์ป๋ายเห้อมองไปที่หลินหยุน ส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา แล้วก็ตีลังกาไปตรงที่เวทีประลองด้วยความแม่นยำ
อ้าวฉางคงพูดกับคุณฉีที่อยู่ข้างกายของเขาว่า: “ต้องรบกวนคุณขึ้นประลองในยกนี้แล้ว! ”
“ตกลง” คุณฉีก็ตีลังกาขึ้นไปบนเวทีเช่นกัน โดยไปยืนอยู่ตรงข้ามของปรมาจารย์ป๋ายเห้อ
ทันใดนั้นหลินหยุนก็ได้มองไปที่พ่อลูกตระกูลหูแห่งกลุ่มเจียงเป่ย
เห็นเพียงแต่หูเฟย ที่มีหน้าตาหม่นหมอง แล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเดินออกไปยังทิศทางหนึ่ง
ซึ่งในทิศทางนั้น พอดีมีคนผู้หนึ่งกำลังเดินไป นั่นคือเหอช่าง
“ดูเหมือนว่าตระกูลหูเตรียมที่จะลงมือจัดการกับเหอช่างแล้ว”
หลินหยุนพูดกับอีหลิงขึ้นว่า: “ฉันขอตัวออกไปสักครู่”
“ตกลง” อีหลิงพยักหน้า
หลินหยุนเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
ที่มุมหนึ่งใกล้ ๆ กับห้องน้ำของตำหนักสี่วีรบุรุษ เหอช่างกำลังรับสายโทรศัพท์อยู่
หูเฟยที่หลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ได้แสดงท่าทางเชือดคอให้กับลูกน้องสองคนของเขา
ลูกน้องทั้งสองคนได้นำดาบสั้นซ่อนไว้ในแขนเสื้อ แล้วก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้กับเหอช่าง
หลินหยุนเดินออกมาเพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ข้ามผ่านระยะทางกว่าหลายสิบเมตรแล้ว เหมือนกับว่าในเวลาอันสั้นได้มาปรากฏตัวอยู่ที่ข้างกายของเหอช่างแล้ว
โดยได้จับดาบสั้นของชายหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังจะแทงเข้าไปที่ท้องของเหอช่างได้อย่างพอดิบพอดี
“พวกนายเป็นใคร? ” เหอช่างตกใจอย่างมาก
“คนของตระกูลหู” หลินหยุนได้ลงมือทำร้ายสองคนนั้นจนสลบลงไป และสายตาได้มองไปยังหูเฟย ที่อยู่ในมุมห้อง
หูเฟยแอบด่าลับ ๆ แล้วก็เดินจากไป
เหอช่างมีสีหน้าท่าทางที่หวาดกลัว: “ข้าคาดเดาไว้ว่าคนของตระกูลหูจะต้องลงมือทำร้ายข้า แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าบ้าบิ่นได้ถึงขนาดนี้ ในช่วงกลางวันแสก ๆ และต่อหน้าต่อตาของคนจำนวนมากมาย พวกเขากลับกล้าที่จะลงมือ! ”
หลินหยุนมองไปที่เขาเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า: “ครั้งนี้ถือว่านายยังโชคดี ที่พบกับข้า ถ้าหากต้องการที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ ข้าขอเตือนว่านายจะต้องออกจากบ้านไปสักระยะเวลาหนึ่ง”
ในที่สุดเหอช่างก็เริ่มที่จะยอมรับในคำพูดของหลินหยุน: “ข้าจะพิจารณาดู”
“ขอบคุณนายมาก! ”
หลินหยุนหันหลังแล้วเดินจากไป เพียงแค่หวังว่าการยื่นมือเข้าช่วยในครั้งนี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตของเขา
บริเวณเวทีประลอง ปรมาจารย์ป๋ายเห้อได้พ่ายแพ้แล้ว โดยได้เดินลงจากเวทีประลองไปอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม และนั่งลงที่ด้านข้างของอีหยุ่น
“คิดไม่ถึง นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์! ” ปรมาจารย์ป๋ายเห้ออุทานขึ้น: “คุณอี ข้าทำให้คุณต้องผิดหวัง! ”
อีหยุ่นพูดขึ้นว่า: “ชนะหรือแพ้เป็นเรื่องปกติธรรมดา ปรมาจารย์ป๋ายเห้อได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว”
คุณฉียืนอยู่บนเวทีประลอง โดยที่ยังไม่ได้ลงมา
อ้าวฉางคงทำมือแสดงความเคารพต่ออีหยุ่นและพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า: “อีหยุ่น ขอบคุณที่ ออมมือให้! ”
“กล้าที่จะพนันก็กล้าที่จะแพ้! ” อีหยุ่นพูดอย่างจริงจัง
อ้าวฉางคงยิ้มอย่างประหลาด และก็พูดขึ้นโดยพลันว่า: “อีหยุ่น เมืองซานหยางของนาย ข้าต้องการมันแล้ว! ”
อีหยุ่นสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป เมืองซานหยางคือหนึ่งในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของเขา โดยกิจการจำนวนหนึ่งในสี่ของเขาต่างก็ปักหลักอยู่ในเมืองซานหยาง ซึ่งคิดไม่ถึงว่าจะถูกอ้าวฉางคงเพ่งเล็งเอาไว้แล้ว
แต่ว่า อีหยุ่นไม่กลัว เพราะว่าเขายังมีหลินหยุนคอยควบคุมสถานการณ์
“คุณหลิน ครั้งนี้เกรงว่าคงจะต้องรบกวนคุณแล้ว” อีหยุ่นพูดขึ้น
แต่ว่า ยังไม่ทันรอหลินหยุนตอบกลับ
อีหยุ่นก็หันหน้ากลับมามอง พร้อมกับอุทานขึ้นว่า: “คุณหลินล่ะ? ”
อีหลิงพูดขึ้นว่า: “หลินหยุนเพิ่งจะจากไปเมื่อสักครู่ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไร”
“นี่……ทำไมเขาถึงต้องจากไปในเวลานี้ด้วย! ” อีหยุ่นยิ้มอย่างขมขื่น: “เขาได้บอกเอาไว้ไหมว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่? ”
อีหลิงส่ายศีรษะ: “คงน่าจะใกล้แล้ว! ”
อีหยุ่นพูดว่า: “แต่ว่า ตอนนี้อ้าวฉางคงได้ยื่นคำท้าประลองกับข้าแล้ว ถ้าหากคุณหลินยังไม่ปรากฏตัว พวกเราก็ไม่มีผู้ใดที่จะขึ้นเวทีประลองแล้ว”
อีหลิงขมวดคิ้วและพูดว่า: “งั้นควรจะทำอย่างไรดี? ฉันจะลองโทรศัพท์หาหลินหยุนดูหน่อยแล้วกัน”
“โทรเลยสิ! ”
หลินหยุนที่เพิ่งจะช่วยชีวิตเหอช่าง และเตรียมที่จะเดินทางกลับไปนั้น ก็ได้รับสายโทรศัพท์ของ อีหลิง
“หลินหยุน อีกนานไหมที่คุณจะกลับมา? ” อีหลิงถามขึ้นด้วยความเคร่งเครียด
“อีกสักครู่ก็จะกลับไปแล้ว” หลินหยุนกล่าว
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คุณพ่อยอมแพ้ก่อน” อีหลิงพูดขึ้น
“ได้” หลินหยุนกล่าว