จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 611 หยางเทียนโย่วขอความช่วยเหลือ
คิดอยากจะผลิตตัวอ่อนยา ก็จำเป็นจะต้องเข้าใจส่วนประกอบของยาทองเสียก่อน รวมทั้งขั้นตอนในการปรุงยาทองของผู้บำเพ็ญเซียนอีกด้วย
คำโบราณกล่าวไว้ว่า: ขอเพียงรักษาปราณฟ้าดินเอาไว้ ก็จะสามารถกลั่นยาวิเศษได้
คำพูดนี้ กล่าวถึงยาทองของผู้บำเพ็ญเซียนนั่นเอง
ยาทองเป็นพื้นฐานของผู้บำเพ็ญเซียน มีแต่ต้องฝึกฝนตนเองจนกลั่นยาทองให้สำเร็จก่อน จึงจะสามารถใช้เวทมนตร์และแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่มีพลังมหาศาลออกมาได้
เช่นเดียวกับหลินหยุนที่อาศัยร่างกษัตริย์เซียนมาเกิดใหม่ ในขณะที่เขายังไม่บรรลุถึงขั้น แดนยาทองนั้น ก็ยังพอจะใช้เวทมนตร์และแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าหากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆแล้ว ก่อนที่ยังไม่บรรลุถึงแดนยาทองนั้น ไม่มีทางที่จะใช้เวทมนตร์และแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่ทรงพลังออกมาได้เลย
ถ้าคิดอยากจะฝึกฝนจนสามารถปรุงยาทองได้สำเร็จ ก่อนอื่น ก็จะต้องเฝ้าระวังรักษาลมปราณเอาไว้
ลมปราณนี้ ไม่ใช่อากาศที่คนใช้หายใจ แต่เป็นลมปราณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากการเริ่มก่อเกิดฟ้าดินและจักรวาลเป็นครั้งแรก
เมื่อชาติที่แล้ว หลินหยุนได้มีโอกาสดักจับ‘ปราณเมฆาม่วงไท่ชิง’ไว้ได้โดยบังเอิญ ‘ปราณ’ชนิดนี้ อยู่ในสามระดับชั้นเหนือ ถึงแม้จะสู้‘ปราณฟ้าดิน’ที่เป็น‘ปราณ’ระดับชั้นฟ้าไม่ได้ก็ตาม แต่ว่า เมื่อเทียบกับลมปราณของผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาทั่วไปที่ใช้ในการหลอมตัวอ่อนยาแล้ว ก็ยังสูงกว่าหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่แล้ว ล้วนสามารถใช้‘ปราณ’ที่อยู่ในสามระดับชั้นต่ำในการหล่อเลี้ยงตัวอ่อนยาไว้เท่านั้น ในขั้นตอนเริ่มต้นเช่นนี้ ก็ถือว่าได้ถูกจัดอยู่ในระดับล่างตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
แต่ว่า ‘ปราณ’ที่อยู่ในสามระดับชั้นเหนือ ถือว่าเป็นระดับชั้นที่ไม่สามารถพบหาได้ง่ายตามที่ใจปรารถนา โดยทั่วไปแล้วมีคนจำนวนน้อยมากที่สามารถจะดักจับไว้ได้
ดังนั้น อาศัยพื้นฐานในชาติที่แล้วของหลินหยุน ก็นับว่าดีกว่าคนอื่นอีกมากมายแล้ว
ในชาตินี้ ถ้าหากหลินหยุนจะเริ่มผลิตตัวอ่อนยาขึ้นมาใหม่ ก่อนอื่น เขาจะต้องดักจับ‘ปราณ’ชนิดหนึ่งให้ได้เสียก่อน
คราวนี้ สิ่งแวดล้อมที่หลินหยุนอยู่นั้น ไม่เหมือนโลกเซียนในชาติก่อนที่โหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง ดังนั้น หลินหยุนสามารถที่จะค้นหา‘ปราณ’ชนิดที่มีคุณภาพระดับสูงมาเป็นพื้นฐานในการผลิตตัวอ่อนยาได้อย่างเต็มที่
แต่ว่า‘ปราณ’ชนิดนี้ เกิดขึ้นก่อนที่มีฟ้าดินเสียอีก จึงไม่ทิ้งร่องรอยในการตามหาไว้ให้เลย ดังนั้น การที่หลินหยุนจะสามารถหาพบหรือไม่นั้น ก็ต้องอาศัยโชคช่วยเท่านั้น
ถ้าหากโชคไม่ดี เมื่อถึงเวลาที่เขาฝึกฝนจนถึงขั้นที่ไม่สามารถที่จะควบคุมไว้ได้แล้ว เขาก็ได้แต่ดักจับ‘ปราณ’ในสามระดับชั้นต่ำชนิดไหนก็ได้มาผลิตตัวอ่อนยาแทนแล้ว
“ถ้าคิดอยากจะดักจับลมปราณระดับชั้นสูงมาผลิตตัวอ่อนยาแล้ว เห็นทีจะต้องไปทางฝั่งชายทะเลแล้ว”
ลมปราณในสามระดับชั้นต่ำ ก็มีให้เห็นกันโดยทั่วไป อย่างเช่น ชี่ทิพย์ ลมปราณห้าธาตุ เป็นต้น ก็สามารถนำมาผลิตตัวอ่อนยาได้เช่นกัน แต่ว่า ประสิทธิผลก็จะด้อยกว่ามากทีเดียว
สุดท้ายแล้ว ระดับคุณภาพของยาทองที่กลั่นออกมา ก็ถูกกำหนดให้อยู่แต่ในระดับล่างเท่านั้น มีเพียงแต่ต้องใช้ลมปราณระดับชั้นสูงมาผลิตตัวอ่อนยาเท่านั้น จึงจะสามารถกลั่นยาทองระดับชั้นยอดออกมาได้
ส่วนลมปราณระดับชั้นสูงพวกนั้น จะไม่สามารถพบเห็นในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดจอแจได้เลย
โดยทั่วไปแล้ว สถานที่ที่ใกล้ชายฝั่งทะเล จะมีอัตราการพบเห็นค่อนข้างมากกว่า
ดังนั้น ถ้าหลินหยุนคิดจะไปตามดักจับลมปราณระดับสูงมาเป็นพื้นฐานการผลิตตัวอ่อนยาแล้ว จำเป็นจะต้องไปยังสถานที่ที่ใกล้ชายฝั่งทะเลให้มากที่สุด
หลินหยุนยืนอยู่บนดาดฟ้า มองดูป่าไม้ที่ยังคงเขียวขจีสดใสเช่นเดิม
เขาจำได้ว่า ช่วงเวลาที่เก็บตัวเพื่อฝึกฝนนั้น เป็นช่วงเวลาต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้ผ่านไปสามเดือนกว่าแล้ว ก็น่าจะย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว
แต่ว่า เป็นเพราะได้รับการหล่อเลี้ยงจากค่ายกลรวมพลังห้าธาตุพรสวรรค์ ต้นไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลทั้งหมดนี้ ก็ยังคงเขียวชอุ่มอยู่ตลอดเวลาเช่นเดิม ไม่มีวี่แววที่จะร่วงโรยไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“ดูเหมือนว่า อยู่ภายใต้สภาวะที่ปกคลุมไปด้วยชี่ทิพย์ ทำให้สิ่งแวดล้อมรอบๆบริเวณนี้ ถึงขั้นที่ว่า ตลอดทั้งปีก็มีเพียงแค่ฤดูใบไม้ผลิฤดูเดียวเท่านั้น”
หลินหยุนก้าวเดินไปข้างหน้า แล้วกระโดดจากดาดฟ้าลงมาสู่พื้นดิน
กลับเข้ามายังคฤหาสน์ หลังจากที่เปิดดูมือถือแล้ว ก็พบว่ามีข้อความส่งมาจำนวนมากมาย
หลินหยุนก็ไม่ได้กังวลใจอะไรเลย ถ้าหากมีเรื่องฉุกเฉินอะไรละก็ ซูจื่อเหลียง ซูหนันและคาร์นอตวิลเลียม ก็จะต้องมาหาเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้น ข้อความในมือถือถึงแม้จะมีจำนวนมากก็ตาม แต่ว่า หลินหยุนรู้สึกว่าไม่น่าจะมีเรื่องด่วนอะไร
หลินหยุนเปิดอ่านข้อความพวกนั้นอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในนั้น มีข้อความที่เจี่ยงสงส่งมาให้ เจี่ยงสงมีเรื่องราวที่อยากจะรายงานให้เขารับรู้
และยังมีอื่นๆอีกมากมาย เป็นข้อความที่หยางเทียนโย่วเพื่อนนักเรียนของหลินหยุนส่งมา เพื่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนจากหลินหยุน
แต่ว่า พวกจางซือจู่ก็ไม่ได้ส่งข้อความมาให้หลินหยุนเลย ดูไปแล้ว หยางเทียนโย่วคงส่งข้อความถึงหลินหยุนเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกจางซือจู่อาจจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ได้
ไม่เช่นนั้น ด้วยนิสัยของจางซือจู่แล้ว จะต้องรีบแจ้นมาบอกหลินหยุนก่อนเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน
“นานแล้วไม่ได้กลับไปที่วิทยาลัยเลย ผ่านพ้นปีนี้ไป ก็จะเรียนจบกันแล้ว”
“ตอนนี้ก็เป็นเทอมสุดท้ายของปี 4 แล้ว”
“ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าสิบแปดมงกุฎนั่นกันแน่”
หลินหยุนเข้าใจนิสัยของหยางเทียนโย่วดี ไอ้หมอนี่เป็นประเภทที่ขอเพียงให้ผ่านไปทีก็พอแล้ว ในบางสถานการณ์ ตัวเองยอมเสียเปรียบก็ไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย
อีกอย่าง ประวัติภูมิหลังตระกูลของหยางเทียนโย่วนั้น พูดไปแล้วก็มีความลี้ลับไปบ้าง ตระกูลพวกเขาเป็นถึงซินแสที่ช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คนทั่วไปเลยทีเดียว
ตามความทรงจำในชาติที่แล้วของหลินหยุนนั้น พ่อของหยางเทียนโย่ว ร่ำเรียนศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยมา ก็นับว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง
อีกอย่าง ลักษณะนิสัยที่มีความเมตตาปรานีเช่นนี้ ไม่น่าจะไปมีเรื่องอะไรกับใครได้
หลินหยุนจึงโทรศัพท์ไปหาหยางเทียนโย่ว
ผ่านไปสักครู่ หยางเทียนโย่วก็รับสาย
“หลินหยุน ในที่สุดแกก็โทรศัพท์กลับมา!” เสียงของหยางเทียนโย่ว ราวกับรู้สึกโล่งใจหนำซ้ำยังแฝงด้วยเสียงสะอื้นอีกด้วย
หลินหยุนพูดว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ? เจอเรื่องยุ่งยากใช่ไหม?”
หยางเทียนโย่วรีบพูดว่า “หลินหยุน บ้านฉันเจอปัญหายุ่งยากใหญ่โตแล้ว แกจะต้องช่วยฉันนะ! เรื่องนี้มีแต่แกเท่านั้นที่ช่วยฉันได้”
หลินหยุนถามว่า “เทพฟ้าผ่ากับฉินโส่วพวกเขาว่ายังไงบ้างล่ะ?”
หยางเทียนโย่วพูดว่า “ฉันไม่กล้าบอกพวกเขา เรื่องนี้พวกเขาช่วยอะไรไม่ได้หรอก ฉันไม่อยากทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?” หลินหยุนไม่ได้ถามหยางเทียนโย่วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เป็นเพื่อนแท้แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องถามเซ้าซี้ ขอเพียงแต่เพื่อนต้องการความช่วยเหลือ ก็จะต้องรีบไปให้เร็วที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก
“ฉันอยู่ที่บ้าน ฉันจะส่งที่อยู่ให้แก แกต้องรีบมานะ มาถึงแล้วฉันจะเล่ารายละเอียดให้แกฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น” หยางเทียนโย่วรีบพูด
“ได้” หลินหยุนตอบ
ผ่านไปหนึ่งนาทีหลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว หยางเทียนโย่วก็ส่งที่อยู่ให้กับหลินหยุน
“มณฑลฝูเจี้ยนเหรอ?”
มองดูที่อยู่ของหยางเทียนโย่วแล้ว แววตาของหลินหยุนก็ส่องประกายวาววับ
“พอดีเลย ฉันกำลังคิดที่จะไปแสวงโชคที่ที่ใกล้กับชายทะเล ดูซิว่าจะสามารถตามหาลมปราณระดับชั้นสูงได้บ้างหรือเปล่า แล้วยังถือโอกาสแวะไปช่วยเหลือหยางเทียนโย่วได้อีกด้วย!”
หลินหยุนก็โทรศัพท์ไปหาเจี่ยงสง
โทรศัพท์ติดต่อได้เร็วมาก น้ำเสียงของเจี่ยงสงเติมไปด้วยความนอบน้อมแฝงด้วยความดีใจ “สวัสดีครับ ปรมาจารย์หลิน!”
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หลินหยุนถาม
“คืออย่างนี้ครับ ผมมีสิ่งของชิ้นหนึ่งอยากจะมอบให้ท่าน ท่านอยู่ที่ทะเลสาบเยว่หยาหรือเปล่า? ผมกำลังจะไปหาครับ” เจี่ยงสงพูดอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องหรอก คุณบอกมาว่าคุณอยู่ที่ไหน” หลินหยุนกำลังจะลงจากเขา เพื่อรีบไปบ้านของหยางเทียนโย่ว แวะผ่านไปเยี่ยมเจี่ยงสงพอดี เพื่อจะได้ถามไถ่สถานการณ์ด้านการค้าขายน้ำแห่งชีวิตว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
เจี่ยงสงพูดว่า “ผมก็อยู่คฤหาสน์ตรงเชิงเขานี่แหละครับ”
“งั้นคุณรอฉันหน่อย อีก10นาทีฉันก็จะไปถึง” หลินหยุนพูด
คฤหัสถ์ของเจี่ยงสง ก็อยู่ตรงเชิงเขาทะเลสาบเยว่หยา ห่างกับหลินหยุนเพียงแค่มองข้ามภูเขาเท่านั้น
ด้วยความเร็วของหลินหยุน ก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
หลังจากแปดนาทีผ่านไป หลินหยุนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าคฤหาสน์ของเจี่ยงสงนั้นแล้ว
ภายในห้องรับแขก เจี่ยงสงรินน้ำชาให้กับหลินหยุนอย่างนอบน้อม “ปรมาจารย์หลิน เชิญดื่มน้ำชาครับ!”
หลินหยุนก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว ยกน้ำชาขึ้นมาจิบไปหนึ่งคำ
รสนิยมของลูกพี่ใหญ่เจี่ยงช่างไม่เลวจริงๆ ใบชานี้ก็ล้วนแต่เป็นยอดใบชาชั้นเยี่ยมทั้งนั้น
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ ฉันยังมีธุระ” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ
เจี่ยงสงรู้นิสัยของหลินหยุนดี ไม่ชอบจุกจิกจู้จี้ ดังนั้น เขาจึงไม่มีพิธีรีตองอีกต่อไป หยิบ บัตรธนาคารสีดำทองใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า
“นี่คือบัตรที่ผมไปเปิดบัญชีไว้ที่ธนาคารต้ารุ่ย เป็นรายได้จากการขายน้ำแห่งชีวิต และยังมีรายได้ที่ได้มาจากเมืองสิบแปดเมืองของมณฑลหลิงหนานด้วย ทั้งหมดอยู่ในบัตรใบนี้แล้ว”
“ใช่แล้ว นี่เป็นสิ่งของที่ใช้แสดงตัวตนของธนาคารต้ารุ่ย”
เจี่ยงสงก็ยื่นแหวนหยกขาววงหนึ่งให้กับหลินหยุน
เจี่ยงสงพูดว่า “แหวนวงนี้สามารถแสดงสิทธิพิเศษระดับวีไอพีของท่านในธนาคารต้ารุ่ยได้ ท่านจะต้องรักษาไว้ให้ดีด้วยนะครับ”
หลินหยุนรับแหวนวงนั้นมา เป็นเพียงแค่หินหยกธรรมดา น่าจะมีราคาสูงทีเดียว แต่ว่าสำหรับหลินหยุนแล้ว หินหยกที่ไม่มีชี่ทิพย์แล้ว ต่อให้มีราคาสูงขนาดไหน ก็ไม่มีคุณค่าอะไรทั้งนั้น