จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 612 ข่าวคราวของตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนัน
หลินหยุนก็หยิบแหวนหยกขาววงนั้นสวมไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง คู่กับแหวนเก็บของวงนั้นพอดี ดูแล้วก็รู้สึกมีความสมดุลดีทีเดียว
“ถ้าให้คนอื่นเก็บแหวนวงนี้ไปได้ แล้วสามารถถอนเงินออกจากบัตรใบนี้ได้หรือเปล่า?” หลินหยุนถาม
เจี่ยงสงพูดว่า “ได้ครับ แหวนวงนี้เป็นของพิเศษอย่างหนึ่ง จะต้องรักษาไว้ให้ดี แหวนวงนี้สามารถใช้แสดงสิทธิประโยชน์ของท่านได้ทุกอย่าง รวมทั้งถอนเงินออกมาได้ด้วย”
“ดังนั้น ผมจึงขอเตือนท่านว่าจะต้องรักษาไว้ให้ดี”
“ความจริงแล้ว ลูกค้าทั่วไป มักจะไม่มีแหวนแบบนี้ทั้งนั้น มีเพียงแต่ลูกค้าระดับชั้นพิเศษ VIP เท่านั้น จึงจะมีสิทธิที่ได้รับของแสดงตัวตนแบบนี้ ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ไม่สะดวกในการเปิดเผยตัวเอง ถ้าเวลาอยากจะถอนเงินละก็ เพียงแค่เอาแหวนให้คนอื่นไปก็ได้แล้ว”
หลินหยุนพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
“ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอเหล่า?”
เจี่ยงสงพูดว่า “ไม่มีแล้วครับ ธุรกิจการขายน้ำแห่งชีวิตไปได้ราบรื่นมาก ถึงแม้ท่านกำหนดราคาที่ต่ำมากก็จริง แต่ว่า ก็ยังคงเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้อย่างดีเลยทีเดียว”
“เพราะว่าน้ำชี่ทิพย์พวกนั้น ดูเหมือนว่าไม่มีวันที่จะเหือดแห้ง ใช้ไม่มีวันหมดสิ้น การค้าขายของพวกเราก็เหมือนไม่ต้องลงทุนอะไรเลย”
“ตอนนี้ มีนักธุรกิจชาวต่างชาติจำนวนมาก อยากจะเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำแห่งชีวิตแล้ว พวกเขายอมที่จะจ่ายค่าตัวแทนที่สูงลิ่วเลยทีเดียว”
“ท่านคิดว่าเมื่อไหร่สามารถที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้บ้างไหม?”
หลินหยุนพูดว่า “น้ำแห่งชีวิตมีจุดประสงค์ต้องการสร้างความสุขให้กับประชาชนชาวจีนนับหมื่นนับแสนเท่านั้น นี่คือคำมั่นสัญญาที่ฉันให้ไว้กับวีรบุรุษท่านนั้น สำหรับคนพวกนั้นที่นอกเหนือจากชาวจีนแล้ว ฉันยังไม่มีความคิดที่จะไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
“งั้นก็น่าเสียดายมากจริงๆ” ในใจของเจี่ยงสงแอบถอนหายใจ ถ้าหากน้ำแห่งชีวิตสามารถขยายกิจการไปยังตลาดต่างประเทศแล้ว ถึงเวลานั้นผลกำไรที่เกิดขึ้น ก็น่าจะสูงกว่าตอนนี้เป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว
เพราะว่า หลินหยุนควบคุมราคาจำหน่ายภายในประเทศที่ต่ำมาโดยตลอด เป็นเพราะว่าเขาไม่คิดหวังผลกำไร หวังเพียงแต่ว่าสามารถช่วยลดความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บปวดของโรคร้ายให้กับประชาชนชาวจีนทั้งหลายเท่านั้นเอง
แต่ว่า สำหรับต่างประเทศแล้ว งั้นก็กำหนดผลประโยชน์ง่ายๆขึ้นมา ถึงเวลานั้นราคาจำหน่ายของน้ำแห่งชีวิต ก็ย่อมสูงกว่าภายในประเทศจีนเป็นร้อยเท่าอย่างแน่นอน
อีกอย่าง ถึงแม้ราคาจะสูงขึ้นเป็นร้อยเท่าก็ตาม ราคานี้ก็ยังนับว่าไม่แพงจนเกินไป
ก็เหมือนกับยาที่ใช้รักษาโรคเม็ดเลือดขาวเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว นักธุรกิจชาวต่างชาติพวกนั้น ปั่นราคาในประเทศจีนจนสูงลิบลิ่ว
ทำให้คนป่วยในประเทศจีนจำนวนมาก ต้องล้มละลายเพราะกินยาชนิดนี้
ถ้าสามารถส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ เจี่ยงสงก็มีความมั่นใจว่า ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ก็จะสามารถทำให้หลินหยุนกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆของโลกได้
หลินหยุนลุกขึ้นยืน “ฉันไปก่อนแล้วนะ”
“ผมจะไปส่งท่านครับ!” เจี่ยงสงพูด
ในวันนั้นเอง หลินหยุนก็นั่งรถไฟฟ้าไปยังมณฑลฝูเจี้ยน
มาถึงสถานีรถไฟฟ้าในเวลากลางคืนสามทุ่มกว่า หลินหยุนก็ยังไม่หยุดพัก เหมารถยนต์ในราคาที่สูงคันหนึ่ง แล้วเดินทางต่อไป จนถึงบ้านของหยางเทียนโย่วในเวลารุ่งสางตีหนึ่ง
หลินหยุนโทรศัพท์ไปหาหยางเทียนโย่ว หยางเทียนโย่วก็ลงมารอรับหลินหยุนตรงหน้าปากทางเข้าอพาร์ทเม้นท์
เมื่อเห็นขอบตาทั้งสองข้างของหยางเทียนโย่วที่ดำคล้ำเหมือนตาหมีแพนด้าแล้ว คาดเดาว่าเขาคงไม่ได้นอนเลย
“ถึงเร็วขนาดนี้เชียว! ฉันนึกว่าแกยังไงก็ต้องมาถึงวันพรุ่งนี้แล้ว” เมื่อเห็นหลินหยุนแล้ว หยางเทียนโย่วก็พูดด้วยความดีใจ
หลินหยุนไม่ได้พูดอะไร มองดูรูปร่างที่ซูบผอมลงไปมากของหยางเทียนโย่วแล้ว สีหน้าก็รู้สึกเคร่งเครียดเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทีของหยางเทียนโย่วแล้ว แสดงให้เห็นชัดว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ประสบกับความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัส ไม่เช่นนั้นแล้ว ด้วยนิสัยที่ยอมทุกอย่างเพื่อขอให้เรื่องผ่านไปด้วยดีของเขา จะไม่อิดโรยได้ถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน
หลินหยุนเดินตามหยางเทียนโย่วขึ้นลิฟต์ไป แล้วเข้าไปยังบ้านของหยางเทียนโย่ว
เป็นบ้านพักอาศัยที่มีสามห้องนอนแบบธรรมดามาก ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ก็เหมือนกับครอบครัวชาวจีนทั่วๆไป
“เชิญนั่งตามสบายเลย ที่บ้านไม่มีใคร ก็มีแต่ฉันคนเดียวที่อยู่บ้าน” หยางเทียนโย่วพูดพลางริมน้ำชาให้กับหลินหยุน
หลินหยุนนั่งลงตรงโซฟา แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
“เรื่องนี้ พูดมาแล้วมันยาว ต้องเริ่มพูดจากอาชีพของบรรพบุรุษตระกูลพวกฉันก่อน”
หยางเทียนโย่วยกแก้วน้ำชา มาถึงตรงข้ามหลินหยุน แล้ววางลงบนโต๊ะน้ำชา
หยางเทียนโย่วมองดูหลินหยุน แล้วก็หยุดชะงัก ดูเหมือนว่ารู้สึกเขินที่จะเอ่ยปากพูดต่อไป
หลินหยุนเข้าใจดี เขาคงเป็นเพราะสาเหตุวิชาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลตัวเอง กังวลใจว่าหลินหยุนจะหัวเราะเยาะ
“วิชาความรู้ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลพวกแก เกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ยเสวี๋ยนเสียสินะ!” หลินหยุนถามขึ้นมาเอง
หยางเทียนโย่วรู้สึกตกใจ “แกรู้ได้ยังไง?”
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย “พอดีฉันไปเจอยอดฝีมือคนหนึ่ง เคยสอนฮวงจุ้ยเสวี๋ยนเสียให้ฉันด้วย”
หยางเทียนโย่วตบขาตัวเอง “โอ๊ย แกดูหัวสมองฉันสิ ถึงกับลืมไปว่าแกเป็นถึงปรมาจารย์หลินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง! ฮวงจุ้ยเสวี๋ยนเสียเล็กน้อยแค่นี้ เมื่อเทียบกับปรมาจารย์หลินอย่างแกแล้วมันจิ๊บจ๊อยเกินไปแล้ว!”
“คืออย่างนี้ ตระกูลพวกเรามีศาสตร์วิชาความรู้เรื่องฮวงจุ้ยที่สืบทอดมาจากสมัยราชวงศ์ถัง หลังจากนั้น ตระกูลพวกเราก็ได้ถ่ายทอดศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยนี้จากรุ่นสู่รุ่นในทุกยุคทุกสมัยมาโดยตลอด ไม่มีวันที่จะหยุดยั้งไปได้เลย”
“ตอนแรกก็เป็นเพราะว่าฉันไม่อยากจะสืบถอดศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยนี้ต่อไปแล้ว จึงได้ประชดหนีไปเรียนที่วิทยาลัยแสดงการแสดงเมืองหลิน”
“แต่ว่า พ่อฉันกลับมีอาชีพเป็นซินแสดูฮวงจุ้ย ช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คนโดยเฉพาะช่วงเวลาหลายปีมานี้ ก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในวงการนี้”
“แต่แล้ว เรื่องราวก็เกิดจากที่นี่”
“เมื่อเดือนที่แล้ว พ่อของฉันได้รับเชิญจากคนของบริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อไปดูฮวงจุ้ยให้กับที่ดินแปลงใหม่ของพวกเขา”
“ผลสุดท้ายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อฉัน หลังจากที่ไปดูสถานที่ที่ดินแปลงนั้นของบริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดแล้ว กลับไม่ยอมดูให้อีกต่อไป”
“แม้แต่ค่ามัดจำก็คืนเขาไปหมดเลย”
“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนของบริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก็ยิ่งหงุดหงิดไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากนั้น พวกเขาก็บังคับให้พ่อฉันพูดสาเหตุที่มาที่ไปออกมา”
“พ่อฉันก็พูดได้แต่ว่าที่ดินผืนนี้ห้ามไปแตะต้อง อย่างอื่นเขาก็ดูไม่ออกแล้ว แต่ว่า คนของบริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดกลับไม่ยอมเลิกรา พวกเขาเสียเงินจำนวนมากมายเพื่อซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้ ถ้าหากห้ามแตะต้องแล้ว พวกเขาก็คงต้องขาดทุนย่อยยับเลย!”
“ดังนั้น พวกเขาจึงบังคับให้พ่อฉันอธิบายเหตุผลออกมาให้ได้ พ่อฉันพูดไม่ออก พวกเขาก็บังคับให้พ่อฉันชี้จุดตำแหน่งที่จะต้องเริ่มขุดดิน”
“พ่อฉันถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก จึงได้แต่อาศัยประสบการณ์ ชี้จุดตำแหน่งสองจุดไว้ เพื่อให้พวกเขาทดลองลงมือขุดดิน”
“แต่ว่าพูดไปแล้วก็น่าแปลกมาก คนของบริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก็ได้เจาะจงเลือกฤกษ์งามยามดีโดยเฉพาะ เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสอากาศปลอดโปร่งสดใส ไม่มีเมฆหมอกบังเลย แล้วใช้เครื่องขุดเจาะเตรียมพร้อมที่จะขุดดิน แต่ว่าขณะที่เครื่องขุดเจาะกำลังเริ่มขุดนั้น ก็เกิดลมพายุพัดโหมกระหน่ำขึ้นมาทันที เมฆหมอกดำมืดมิดไปหมด จากนั้น ก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางวันแสกๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก”
“เกิดขึ้นอย่างนี้ติดต่อกันถึงสามครั้ง ทำให้คนของบริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดตกใจมาก จึงไม่กล้าที่จะไปแตะต้องที่ดินผืนนั้นอีก”
“ในเวลานี้เอง คนของบริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก็นึกถึงคำพูดของพ่อฉัน จากนั้นก็ถามพ่อฉันว่านี่เป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่ว่า พ่อฉันก็ไม่รู้ เขาเพียงแต่รู้สึกว่าที่ดินแปลงนั้นห้ามไปแตะต้องเท่านั้นเอง”
“แต่ว่าคนของบริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดกลับไม่เชื่อ คิดว่าพ่อฉันแอบเล่นกลตุกติก จึงจับพ่อฉันไป แล้วบังคับให้พ่อฉันทำให้ที่ดินแปลงนั้นคืนสู่สภาพปกติเหมือนเดิมให้ได้”
“แต่ว่า พ่อฉันก็แค่ดูฮวงจุ้ยเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นไปได้ยังไงที่จะไปควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศได้? ฉันก็ไปหาพวกเขาเพื่อเจรจาเหตุผล แต่กลับถูกพวกเขารุมซ้อมแล้วไล่ฉันออกไป”
“แม่ฉันก็วิ่งเต้นอยู่ข้างนอกไปทั่วทุกที่ คิดหาทางจะช่วยพ่อฉันออกมา แต่ว่า บริษัท เจียเฉิง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดนั้นมีธุรกิจใหญ่โตมาก ได้ข่าวว่าเบื้องหลังยังมีตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันถือหุ้นอยู่ด้วย ตระกูลเจี่ยงจากเกาะหนันนั่น เป็นถึงมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศจีนเลยทีเดียว พวกเราไม่มีทางที่จะไปต่อกรกับพวกเขาได้หรอก!”
“ฉันไม่มีทางเลือก จึงได้ขอความช่วยเหลือจากแกนี่ไง!”
หลินหยุนในใจรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย “ตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันเหรอ?”
ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยง ยังมีหนี้ที่ยังไม่ได้คืนมาให้เลย ไม่ใช่เพราะคราวนี้มาหาหยางเทียนโย่วแล้ว เขาแทบจะลืมไปหมดแล้ว
ตอนนั้นเขาได้สังหารเจียวร้ายสองหัว แล้วช่วยชีวิตของคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยงไว้ได้ อีกทั้งยังมอบยาวิเศษให้กับคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยงไปหนึ่งเม็ด เพื่อเอาไปช่วยชีวิตปู่ของเธออีกด้วย
ตอนนั้น หลินหยุนให้เธอเอาทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงมาแลก คุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยงก็ตอบตกลง
แต่ว่า เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว คุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยงก็ปิดปากเงียบไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องคืนหนี้อีกเลย ดูไปแล้วเหมือนกำลังคิดจะเบี้ยวหนี้เสียแล้ว
“แกพาฉันไปดูที่แปลงนั้นก่อน” หลินหยุนรู้สึกแปลกใจมาก ที่ดินผืนนั้นมีความวิเศษอะไรกันแน่ ถึงกับแตะต้องไม่ได้เลย
“ไปตอนนี้เลยเหรอ?” หรือไม่ก็รอพรุ่งนี้ก่อนเถอะ!” หยางเทียนโย่วพูด
“ไปตอนนี้เลย” หลินหยุนพูด
“ถ้างั้นก็ได้ ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”