จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 619 ปล่อยคน
หลินโร่สุ่ยพูดเตือนหลินหยุนด้วยความจริงใจ เธอกังวลว่าหลินหยุนเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ถ้าลงมือจัดการกับเจี่ยงเฉิง แล้วจะต้องเผชิญกับการแก้แค้นของตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนัน
อย่างน้อยในประเทศจีนนั้น นอกจากสี่ตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวงแล้ว อำนาจอิทธิพลของตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันนั้น ก็ยังไม่มีอำนาจใดๆจากที่ไหนจะมาเทียบเคียงได้เลย
หยางเทียนโย่วก็รีบเตือนหลินหยุนอยู่ข้างหลังว่า “ใช่แล้ว อย่าเพิ่งลงมือเลย พวกเราเพียงแต่อยากจะมาช่วยคนเท่านั้น”
ถ้าหากสามารถที่จะไม่เป็นศัตรูกับตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันได้ หยางเทียนโย่วก็ไม่อยากจะไปมีเรื่องกับเขาจริงๆ เขาเพียงแต่อยากจะให้หลินหยุนช่วยพ่อเขาออกมาเท่านั้นเอง
หลินหยุนสามารถที่จะไม่แยแสก็ได้ แต่ว่าหยางเทียนโย่วหวาดกลัวแล้วสิ!
โดยเฉพาะบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้น อยู่ห่างจากอาณาจักรของตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันไม่ไกลนัก อำนาจอิทธิพลของตระกูลเจี่ยงครอบคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ถ้าหากมีปัญหากับตระกูลเจี่ยงแล้ว ต่อไปพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไร?
หลินหยุนมองดูหลินโล่เฉิน ด้วยสายตาที่เรียบเฉย เมื่อชาติที่แล้วหลินโล่เฉินเป็นไอดอลที่เขาได้แต่แหงนมองมาโดยตลอด ทุกครั้งที่เห็นหลินโล่เฉินก็เหมือนแฟนคลับที่ได้เห็นดาราที่ชื่นชอบของตัวเอง กริยาท่าทางทุกอย่างและทุกคำพูดย่างก้าวของหลินโล่เฉิน ล้วนเป็นแบบอย่างให้หลินหยุนเลียนแบบโดยเสมอมา
แต่ว่า ในครั้งนี้ หลินโล่เฉินในสายตาหลินหยุนแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีราศีอะไรเลย แต่กลับรู้สึกน่าขบขันมากกว่า
“หลินโล่เฉินเอ๊ยหลินโล่เฉิน แกก็ยังคงเป็นหลินโล่เฉินคนนั้นเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าฉันกลับไม่ใช่คนเดิมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
“ในสายตาของแก อำนาจของตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันอาจจะะยิ่งใหญ่มาก แม้แต่ตระกูลหลินแห่งอูซุก็ยังไม่กล้าที่จะไปต่อกลอนด้วยเลย”
“แต่ว่า แกกลับไม่รู้ว่าตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันในสายตาของฉันแล้ว ก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสรรพสิ่งทั้งหลายเท่านั้น แค่พลิกฝ่ามือก็สามารถทำลายให้เป็นจุณได้แล้ว”
แน่นอน คำพูดเหล่านี้หลินหยุนไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา หลินโล่เฉินตอนนี้ในสายตาของเขาแล้ว ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว
อีกอย่าง หลินโล่เฉินตอนนี้ก็ไม่ได้รู้จักกับหลินหยุนเลย
หลินโล่เฉินมองดูหลินหยุน ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ว่า ในสายตานั้นกลับรู้สึกไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก
“มันเป็นยังไงกันแน่? สายตาของเขาถึงกับทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาสามารถมองทะลุปรุโปร่งทุกเรื่องในใจของตัวเองเลย!” ในใจหลินโล่เฉินรู้สึกทึ่งเล็กน้อย
หลินหยุนมองไปยังหลินโร่สุ่ยแวบเดียว ด้วยสายตาที่เป็นมิตร “น้องโร่สุ่ยยังคงน่ารักทะลึ่งตึงตังเหมือนเดิมเลย”
ในขณะที่หลินหยุนมองไปยังหลินโร่สุ่ยนั้น สายตาของหลินโร่สุ่ยก็มาประสานกับสายตาของหลินหยุนพอดี
ทันใดนั้น ในใจของหลินโร่สุ่ยก็รู้สึกหวั่นไหว “ทำไมฉันรู้สึกว่าสายตาที่เขามองฉัน ดูเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนเลยล่ะ?”
“ฉันนึกไม่ออกเลยว่าเมื่อก่อนเคยเห็นหน้าเขา!”
สุดท้ายแล้ว สายตาของหลินหยุนก็มองไปยังหยางเทียนโย่ว จึงพูดอย่างเรียบๆว่า “แกวางใจเถอะ ต่อให้ตระกูลเจี่ยงไม่มาหาฉัน ฉันก็จะต้องไปตระกูลเจี่ยงสักครั้งหนึ่ง ตระกูลเจี่ยง ยังติดหนี้ฉันอยู่ก้อนหนึ่งเลย”
เมื่อเห็นว่ามีคนช่วยพูดขอร้องแทนเขามากมายเช่นนี้ เจี่ยงเฉิงก็ใจกล้าขึ้นมาทันที พูดด้วยสีหน้าที่เหยียดหยามว่า “แกกำลังล้อเล่นเหรอ? ตระกูลเจี่ยงเป็นหนี้แก จะเป็นไปได้ยังไง!”
หลินหยุนมองเขาแวบเดียวด้วยสายตาที่เรียบเฉย ทำให้เจี่ยงเฉิงเหมือนตกลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็งทันที
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ทำไมยังมีกะจิตกะใจไปช่วยปกป้องตระกูลเจี่ยงอีก?
“ รีบปล่อยคนเดี๋ยวนี้” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ
“ได้ ผมปล่อยแล้วครับ!” คราวนี้เจี่ยงเฉิงก็พูดง่ายขึ้น ยังไงเสียอยู่ในสถานการณ์ที่สู้คนอื่นไม่ได้ ถ้ายังไม่ปล่อยคนอีกละก็ เขากังกลว่าหลินหยุนจะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน
เจี่ยงเฉิงหยิบมือถือขึ้นมา แล้วโทรศัพท์ไปหาลูกน้อง ใช้น้ำเสียงออกคำสั่งพูดว่า “แกพาสิบแปดมงกุฎคนนั้นมาที่ห้องพักผ่อนของฉันเดี๋ยวนี้”
พูดจบ เจี่ยงเฉิงวางสายโทรศัพท์ แล้วมองไปยังหลินหยุน “เดี๋ยวก็มาถึงแล้ว”
“ดี ฉันจะรอ” หลินหยุนจึงเก็บพลังอันน่าสะพรึงกลัวไว้ แล้วนั่งอยู่บนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามเจี่ยงเฉิง
คนตระกูลหลินทั้งสามนั้น ก็แอบสังเกตมองหลินหยุน
หลินโล่เฉินในใจรู้สึกทึ่งเล็กน้อย “เจ้าเด็กนี่ถึงกับสุขุมเยือกเย็นขนาดนี้เชียว อยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ถึงกับควบคุมอาการสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้!”
“เพียงแต่เสียดายที่เหิมเกริมไปหน่อย แม้แต่ตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันก็ยังไม่อยู่ในสายตาเลย ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน แล้วยังจะทำให้ครอบครัวตระกูลตัวเองต้องเผชิญกับการแก้แค้นของตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันอีกด้วย”
ในสายตาของหลินโล่เฉินนั้น หลินหยุนเป็นเพียงอันธพาลที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนหนึ่ง เป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ คนสิ้นคิดที่ไม่รู้จักเห็นแก่ส่วนรวม
ความคิดของหลินโร่หลันนั้น ใกล้เคียงกับของหลินโล่เฉิน “ฉันเกลียดที่สุดก็คือเจ้าเด็กที่ชอบใช้ความรุนแรงอย่างนี้ อาศัยจังหวะที่ตัวเองได้เปรียบ ก็หยิ่งยโสโอหัง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่เห็นแก่หน้าใครที่ไหนทั้งนั้น”
“ทำแบบนี้ ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองและครอบครัวพบกับความวิบัติอย่างไม่จบสิ้น!”
แต่ว่า หลินโร่สุ่ยกลับไม่คิดเช่นนี้ เธอรู้สึกว่าการที่หลินหยุนทำเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนสะใจมากกว่า
“เจี่ยงเฉิงไอ้เวรตะไลนั่น ในที่สุดก็ได้รับผลกรรมแล้ว นี่คือสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้ว มีหนี้ต้องชดใช้ มีแค้นต้องชำระ จะไปสนใจอะไรกับเบื้องหน้าเบื้องหลังพวกนั้น ดูสิว่าคนพวกนี้ต่อไปยังจะกล้าใช้อิทธิพลรังแกคนอื่นอีกไหม”
เด็กสาวมีจิตสำนึกผดุงคุณธรรมที่เต็มเปี่ยม เสียดายที่ว่า กลับไปเกิดอยู่ในครอบครัวที่เห็นแก่ผลประโยชน์เป็นใหญ่ จึงไม่เคยได้รับความสนใจมาโดยตลอด
ในไม่ช้า ข้างนอกก็ได้มีเสียงเคาะประตูแว่วเข้ามา
เจี่ยงเฉิงมองดูหลินหยุน เห็นหลินหยุนไม่แสดงทีท่าอะไร จึงพูดว่า “เข้ามาได้”
ชายหนุ่มคนหนึ่งก็พาชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนคนนั้น หยางเทียนโย่วตะโกนเรียกด้วยน้ำตา “พ่อครับ! ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ชายคนนั้นเมื่อเห็นหยางเทียนโย่วแล้ว รีบด่าทอว่า “เจ้าเด็กเวรที่ไหน ใครเป็นพ่อแก!อย่าคิดจะมานับญาติซี้ซั้วกับฉัน ฉันไม่รู้จักแก!”
พูดพลางส่งสายตาให้กับหยางเทียนโย่ว เพื่อส่งสัญญาณให้หยางเทียนโย่วรีบหนีไป
หยางเทียนโย่วย่อมเข้าใจความหมายของพ่อตัวเองดี จึงรีบพูดว่า “พ่อครับ หมดเรื่องแล้ว เพื่อนของลูกมาช่วยพ่อแล้ว ที่ดินตรงเขารวงสือแปลงนั้น ถูกทางการเวนคืนไปสร้างอนุสาวรีย์รำลึกวีรชนผู้กล้าไปแล้ว”
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงว่าวิญญาณทหารหาญเหล่านั้นจะถูกรบกวนอีกแล้ว พวกเขาได้รับการปลดปล่อยแล้ว”
หยางปี้ต๋าก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย มองไปยังลูกชายอย่างเหลือเชื่อ “ลูกพูดจริงหรือนี่?”
“ใครเป็นคนทำล่ะ?”
สายตาของหยางปี้ต๋าย้ายจากหยางเทียนโย่วย้ายไปยังหลินหยุน
หลังจากนั้น ถามอย่างสงสัยว่า “คงไม่ใช่เป็นเพราะฝีมือคุณหรอกนะ?”
“ดูจากอายุของคุณแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลย!”
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าใครเป็นคนทำ วิญญาณทหารหาญเหล่านั้นได้รับการปลดปล่อยแล้ว ก็ต้องยกความดีให้กับท่านครึ่งหนึ่งด้วย”
หยางปี้ต๋าพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ที่ไหนกัน ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเลย อีกอย่างก็เกือบจะไปรบกวนความสงบของดวงวิญญาณผู้กล้าเหล่านั้น กลายเป็นคนบาปไปเสียแล้ว!”
“พ่อครับ ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับพูดคุยกัน มีปัญหาอะไร พวกเรากลับบ้านไปก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ!” หยางเทียนโย่วเป็นห่วงว่าถ้าอยู่นานไปอาจจะเกิดเรื่องขึ้น จึงคิดอยากจะรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“ดีเลยลูก!” หยางปี้ต๋ามองไปยังเจี่ยงเฉิงถามอย่างระวังว่า “เถ้าแก่เจี่ยง ฉันกลับบ้านได้แล้วยังล่ะ?”
เจี่ยงเฉิงพูดด้วยสีหน้ายิ้มเล็กน้อยว่า “ก็ย่อมได้สิ”
รอยยิ้มแบบนี้ เป็นรอยยิ้มที่อาบยาพิษชัดๆเลย!
หลินหยุนมองดูเขาแป๊บเดียว ไม่ไปสนใจอีกเลย เขารู้ว่าเจี่ยงเฉิงพึ่งอำนาจบารมีของตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนัน รอให้เขาจัดการกับตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันเสียก่อน เจี่ยงเฉิงก็ย่อมจะสงบเสงี่ยมไปเอง
“ไปกันเถอะ!” หลินหยุนหันหลังแล้วเดินจากไป
หยางปี้ต๋ามองไปยังเจี่ยงเฉิงอย่างระมัดระวัง แต่เมื่อเห็นแววตาที่ดุร้ายของเจี่ยงเฉิงแล้ว ในใจก็รู้สึกสั่นสะท้าน จึงรีบเร่งฝีเท้าก้าวเดินออกไป
ในขณะที่หลินหยุนเดินผ่านคนตระกูลหลินทั้งสามนั้น หลินโร่สุ่ยก็มองไปยังหลินหยุนทันที แล้วพูดด้วยเสียงเบาว่า “พี่ชายท่านนี้ ต่อไปออกจากบ้านให้ระวังตัวด้วยนะคะ!”
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย เขารู้ว่านี่เป็นการเตือนทางอ้อมของหลินโร่สุ่ย ให้ระวังการแก้แค้นของเจี่ยงเฉิงไว้ด้วย
“เข้าใจแล้วครับ”
หลินโร่หลันทำตาเขม็งใส่หลินโร่สุ่ย เมื่อเห็นน้องสาวไม่พูดอะไรอีก จึงมองไปยังหลินหยุนด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วพูดว่า “เด็กชอบพูดจาเหลวไหล อย่าไปใส่ใจเลยนะคะ”
หลินโล่เฉินมองไปยังหลินหยุน พูดอย่างเย็นชาว่า “เพียงแค่อารมณ์สะใจชั่ววูบ ต่อจากนี้ไป แกก็จะต้องเผชิญกับการแก้แค้นจากคนทั้งตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนันแล้ว!”
หลินหยุนไม่ได้หยุดเดิน และไม่ได้ตอบโต้อะไรกับสองคนนั้นเลย ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของคนทั้งสองนั้น
ในใจของหลินโร่หลันรู้สึกโกรธเล็กน้อย ยังไม่มีผู้ชายคนไหนที่ทำเมินเฉยกับคำพูดของเธอเลย!
“ฮึ เจ้าเด็กจองหอง อีกไม่นานแกก็จะต้องชดใช้อย่างสาสมจากความเหิมเกริมของแกแล้ว!”
หลินโร่หลันรู้ดีว่า เจี่ยงเฉิงจะไม่ปล่อยหลินหยุนไปอย่างแน่นอน
หลินโล่เฉินพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเขาเลย คนแบบนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าทำอะไรไม่สำเร็จหรอก อย่าไปถือสาหาความกับเขาเลย”
หลินโร่สุ่ยรู้สึกไม่ค่อยพอใจ พูดบ่นพึมพำด้วยเสียงเบาว่า “ฉันกลับรู้สึกว่าพี่ชายคนนั้นตรงไปตรงมาดี แถมยังความเป็นวีรบุรุษมากเสียด้วย!”
หลินโร่หลันค้อนใส่เธอ แล้วพูดอย่างเสียไม่ได้ว่า “แกเห็นใครที่ไม่มีความเป็นวีรบุรุษบ้างล่ะ?”