จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 622 แผนถ่วงเวลา
การโต้แย้งของเจี่ยงหลินหลิน ก็เท่ากับว่าเป็นการยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
ถึงขนาดที่ว่า คำพูดของหลินหยุนเกินกว่าครึ่งล้วนเป็นความจริง โดยที่เจี่ยงหลินหลินต้องการที่จะช่วยเหลือนายท่านเจี่ยง จึงได้ตอบตกลงกับเงื่อนไขของเขา
เพียงแต่ว่า จากนิสัยของเจี่ยงหลินหลินแล้ว สำหรับคำมั่นสัญญาในตอนนั้น ชัดเจนว่าเธอไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
โดยถือว่าสัญญาระหว่างเธอกับหลินหยุน เป็นเพียงเช็คเงินสดที่ว่างเปล่าใบหนึ่งเท่านั้น
เจี่ยงจิงเทียนมีสีหน้าท่าทางย่ำแย่อยู่บ้าง: “ทำไมตอนนั้นไม่เคยได้ยินหนูพูดถึงเรื่องนี้เลย”
เจี่ยงเฉิงได้โอกาสซ้ำเติม พลันยิ้มเยาะและพูดขึ้นว่า: “ตอนนั้นคุณหนูบอกว่าได้พบกับยอดฝีมือท่านหนึ่ง โดยได้ใช้ความจริงใจของตัวเธอเองเอาชนะจิตใจของยอดฝีมือนั้นแล้ว จึงได้ขอโอสถมาหนึ่งเม็ด”
“ในตอนนั้น คุณหนูได้รักษาอาการป่วยของนายท่านจนหายเป็นปกติ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เชิดหน้าชูตาอย่างที่สุด แล้วจะมาพูดถึงเรื่องที่อับอายขายหน้าได้อย่างไรกัน”
“ที่จริงแล้วโอสถเม็ดนั้นของคุณหนู ไม่ใช่ได้มาเพราะการร้องขอ แต่ได้ใช้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงของพวกเราแลกมันมา”
“คุณหนูเจี่ยง ใครเป็นผู้ให้สิทธิคุณในการใช้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงเพื่อแลกกับโอสถเม็ดนั้น”
คำถามที่ซักไซ้ไล่เลียงจากเจี่ยงเฉิง ทำให้เจี่ยงหลินหลินถึงกลับเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก
คนของตระกูลเจี่ยงคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องโถง ต่างก็ไม่ชอบที่เจี่ยงหลินหลินอาศัยว่าตัวเธอเองได้ช่วยรักษาให้นายท่านเจี่ยงหายจากอาการป่วยแล้ว อวดอ้างภาคภูมิใจถึงความดีความชอบมาโดยตลอด
ตอนนี้ ได้ทราบว่าเจี่ยงหลินหลินใช้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงไปแลกกับโอสถ ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็เกิดการว่ากล่าวโจมตีขึ้น
“ที่จริงแล้วความจริงใจของคุณหนูเจี่ยง คิดไม่ถึงว่าจะมีมูลค่าเท่ากับขนาดทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงเลย! หากว่านายท่านเจี่ยงรับทราบแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
“พวกคุณเคยคิดกันไหมว่าเหตุการณ์นี้บ่งบอกถึงอะไรบ้าง? ”
“คุณหนูเจี่ยงยังไม่ได้เป็นเจ้าบ้านตระกูลเจี่ยงของพวกเราสักหน่อย แต่ก็ได้ถือเอาตระกูลเจี่ยงทั้งหมดเป็นของเธอไปแล้ว โดยที่นำตระกูลเจี่ยงไปทำการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นตามอำเภอใจ”
“ถ้าหากต่อไปเธอขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลเจี่ยงของพวกเรา คุณคิดว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น? ”
อีกคนหนึ่งพูดว่า: “ยังจะต้องคิดอีกเหรอ? ถึงเวลานั้นตระกูลเจี่ยงคงจะต้องเป็นของเธอเพียงคนเดียว แล้วยังจะมีอะไรที่หลงเหลือสำหรับพวกเราเหล่านี้อยู่อีกล่ะ! ”
เจี่ยงหลินหลินพูดโต้แย้งเสียงดังด้วยความโมโห: “พวกคุณอย่าได้มาตอกย้ำซ้ำเติมกันอีกเลย ในตอนนั้นฉันเพียงแค่ต้องการโอสถเพื่อช่วยคุณปู่ ดังนั้นจึงตอบตกลงเขาไป โดยที่ฉันไม่เคยคิดที่จะทำตามคำตกลงที่ให้ไว้ แล้วฉันจะมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงให้กับคนอื่นได้อย่างไรกันล่ะ! ”
“อีกทั้ง ต่อให้ฉันใช้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงเพื่อแลกกับโอสถ แล้วยังไงล่ะ? หรือว่าในใจของพวกคุณ ชีวิตของคุณปู่ยังสำคัญไม่เท่ากับทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงอย่างนั้นเหรอ? ”
เผชิญกับการซักถามของเจี่ยงหลินหลิน ซึ่งไม่มีใครสักคนของตระกูลเจี่ยงที่กล้าโต้แย้งขึ้น
ทุกสิ่งทั้งหมดของตระกูลเจี่ยง แทบจะเป็นนายท่านเจี่ยงเพียงคนเดียวที่ก่อร่างสร้างขึ้น โดยสถานะของนายท่านเจี่ยงในตระกูลเจี่ยง ก็คือเทพ
ไม่ต้องพูดถึงทรัพย์สินครึ่งหนึ่ง ต่อให้นำทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลเจี่ยงไปแลกกับชีวิตของนายท่านเจี่ยง ก็ไม่มีใครที่จะกล้าพูดโต้แย้งอะไร
เจี่ยงเฉิงสีหน้าย่ำแย่ คิดไม่ถึงว่าใกล้ที่จะทำให้เจี่ยงหลินหลินกลายเป็นเป้าหมายโจมตีของทุกคนแล้ว แต่กลับถูกเธอใช้คำพูดเพียงคำเดียวแก้ไขสถานการณ์ไปได้
ต่อให้ในจิตใจของทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะใช้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งไปแลกกับชีวิตอีกไม่กี่ปีของนายท่าน แต่คำพูดแบบนี้ก็คงไม่มีใครที่จะกล้าพูดออกมา
ในตระกูลเจี่ยงหากมีใครกล้าที่จะไม่เคารพนายท่าน ผู้นั้นก็คือคนทรยศ ซึ่งจะถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลเจี่ยง
เจี่ยงจิงเทียนตะโกนขึ้นอย่างเย็นชา: “พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรกันแล้ว”
ได้ยินเจ้าบ้านเอ่ยปากพูดขึ้น ทุกคนก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกในทันที
เจี่ยงจิงเทียนมองไปที่หลินหยุน และพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “คุณท่าน ถ้านายเป็นคนที่ให้โอสถกับ ลูกสาวของฉันจริง ฉันขอเป็นตัวแทนตระกูลเจี่ยงขอบคุณบุญคุณของนาย”
เจี่ยงจิงเทียนเปลี่ยนน้ำเสียงพูดทันที: “แต่ว่า ถ้าหากนายจะอาศัยเพียงแค่โอสถธรรมดาเม็ดเดียว แล้วคิดที่จะนำเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยงไป แบบนี้มันคงน่าขำขันไปหน่อย”
เจี่ยงเฉิงยิ้มเยาะอยู่ด้านข้างและพูดขึ้นว่า: “ไอ้หนุ่มน้อย นายรู้ไหมว่าทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยง มันมีจำนวนเทียบเท่ากับอะไรไหม? ”
“เทียบเท่ากับภาษีหนึ่งปีของทั่วทั้งจีน! ”
“นายคิดจะใช้โอสถธรรมดาเม็ดเดียวเพื่อแลกกับทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยง ช่างคิดเพ้อเจ้อเกินไปหน่อยแล้ว! ”
เจี่ยงจิงเทียนไม่พูดไม่จา และก็ไม่ได้ขัดขวางเจี่ยงเฉิงที่กำลังเหยียดหยามหลินหยุน ซึ่งคำพูดของเจี่ยงเฉิงนั้น ก็คือความหมายของเขาเช่นกัน
หลินหยุนสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก ซึ่งเขาคาดเดาเอาไว้ก่อนแล้วว่าคนของตระกูลเจี่ยงไม่มีทางที่จะยอมทำตามคำตกลงโดยง่ายอย่างแน่นอน
“หากเป็นเช่นนี้ ตระกูลเจี่ยงก็คงคิดที่จะเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้าน ๆ แล้ว”
เจี่ยงหลินหลินตวาดขึ้นอย่างเย็นชา: “หลินหยุน นายอย่ามาพูดอะไรที่ไม่น่าฟังแบบนี้ ใครคิดที่จะเล่นลูกไม้กันล่ะ ในตอนนั้นนายใช้ชีวิตของปู่ฉันเพื่อมาข่มขู่ฉัน ฉันจึงได้ตกลงตามเงื่อนไขที่ไร้มารยาทของนาย ซึ่งไม่ถือว่ามีผลอะไร”
“อีกทั้ง ตอนนั้นพวกเราก็แค่พูดตกลงกันแค่คำพูด ต่อให้นายไปขึ้นศาลเพื่อฟ้องร้องฉัน ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันอะไร”
“แต่ว่า เห็นแก่ที่นายได้ช่วยเหลือฉันและปู่ของฉัน ฉันให้เงินนายหนึ่งล้าน ถือว่าเป็นเงินที่ใช้สำหรับซื้อโอสถ”
“หนึ่งล้าน” หลินหยุนยิ้มเยาะ
“โอสถของข้า ไม่ได้มีราคาที่ต่ำแบบนี้”
“ในเมื่อพวกคุณไม่ยอมที่จะจ่ายเงิน อย่างนั้นข้าก็คงต้องนำโอสถนั้นกลับคืน”
นำโอสถกลับคืน?
คนตระกูลเจี่ยงตกใจ โอสถกินเข้าไปอยู่ในท้องหนึ่งปีกว่าแล้ว จะเอากลับคืนได้อย่างไรกัน?
เจี่ยงหลินหลินมองไปที่หลินหยุนด้วยความสงสัย: “นายหมายความว่าอย่างไร? ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “ใครกินโอสถของข้า ข้าก็เอาชีวิตของคนนั้น สำหรับเวลาหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ถือว่าแถมฟรีให้กับพวกคุณแล้วกัน”
“บังอาจ! ”
“เหลวไหล! ”
“หลงระเริง! ”
คนของตระกูลเจี่ยงต่างพากันตะโกนขึ้นด้วยความโมโห นายท่านเจี่ยงเป็นผู้ที่กินโอสถเข้าไป แบบนี้หลินหยุนคิดต้องการที่จะเอาชีวิตของนายท่านอย่างนั้นเหรอ!
ครั้งนี้ แม้แต่เจ้าบ้านเจี่ยงจิงเทียนก็แสดงอาการโกรธแค้นขึ้น
เจี่ยงหลินหลินพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า: “หลินหยุน โอสถนั้นคุณปู่ของฉันเป็นคนที่กินเข้าไป ความหมายของนายคือต้องการที่จะฆ่าคุณปู่ใช่หรือไม่? ”
เจี่ยงเฉิงหัวเราะเสียงดังและพูดว่า: “ไอ้หนุ่มน้อย นายพูดอย่างไม่ละอายใจเสียจริง! นายรู้หรือไม่ว่า นายท่านคือเทพของพวกเราตระกูลเจี่ยง นายคิดที่จะฆ่าเทพของพวกเราตระกูลเจี่ยง นี่คิดที่จะล้มล้างตระกูลเจี่ยงของพวกเราเลยอย่างนั้นเหรอ! ”
เจี่ยงจิงเทียนพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ข้าถือว่านายได้รักษาอาการป่วยของนายท่าน ซึ่งมีบุญคุณกับตระกูลเจี่ยงของพวกเรา อีกทั้งจะไม่ถือสากับความผิดที่นายพูดดูถูกเหยียดหยาม ถ้าหากนายต้องการที่จะแก้ไขปัญหาจริง ๆ อย่างนั้นก็เสนอวิธีการที่จริงใจออกมา โดยไม่ต้องมาพูดอะไรที่ไร้ประโยชน์อยู่อย่างนี้”
หลินหยุนมีสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก คนของตระกูลเจี่ยงทั้งหมด ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย: “คำพูดของข้าไม่เคยพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง จะทำตามข้อตกลง หรือจะให้ข้านำโอสถกลับคืนมา พวกนายสามารถเลือกได้หนึ่งข้อ”
“ช่างหลงระเริงเกินไปแล้ว! ”
“ไอ้หนุ่มนี้ ช่างเป็นคนที่บ้าระห่ำเสียจริง! ”
“เจ้าบ้าน ยังจะต้องเกรงใจเขาอยู่อีกทำไมกัน สั่งให้คนมาจับตัวเขาออกไปเลยสิ! ”
“ใช่เลย กับคนที่หลงระเริงแบบนี้จะมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกล่ะ โอสถธรรมดาเม็ดเดียว คิดที่จะต้องการทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเจี่ยง ทำไมนายไม่ปล้นชิงทรัพย์เลยล่ะ! ”
“พอได้แล้ว! ” เจี่ยงจิงเทียนตะโกนขึ้นอย่างเย็นชา ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็หุบปาก ห้องโถงเงียบสงบลงในทันที
เจี่ยงจิงเทียนมองไปที่หลินหยุน สีหน้าท่าทางจริงจัง: “หากพูดแบบนี้ ระหว่างพวกเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดคุยต่อรองกันอีกแล้วใช่ไหม? ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “นายสามารถที่จะเข้าใจในแบบนี้ได้”
เจี่ยงจิงเทียนค่อย ๆ กำหมัดแน่นขึ้น นับตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเจี่ยง คนอื่นต่างก็เคารพนอบน้อมต่อเขา ยังไม่เคยมีใครที่กล้าจะโต้แย้งกับเขาแบบนี้
เวลานี้ เจี่ยงจิงเทียนต้องการที่จะออกคำสั่ง ให้คนจับตัวหลินหยุนออกไป
แต่ว่า การที่เป็นเจ้าบ้าน เขาจำเป็นต้องใจเย็น ไม่สามารถที่จะกระทำการใด ๆ ตามอารมณ์ได้
ในเมื่อไอ้หนุ่มนี้กล้าที่จะมาตระกูลเจี่ยงเพื่อทวงหนี้เพียงลำพังคนเดียว แน่นอนว่าจะต้องมีที่พึ่งมีคนคอยหนุนหลัง ซึ่งถ้าหากยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับไพ่ใบสุดท้ายของเขาอย่างชัดเจนเสียก่อน เจี่ยงจิงเทียนก็ไม่สามารถที่จะลงมือเปิดศึกกับเขาได้ตามอำเภอใจ เพราะเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลลัพธ์ที่ยากจะแก้ไขกลับคืนได้
“เรื่องนี้ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ข้าเองก็ไม่สามารถที่จะเป็นผู้ตัดสินได้ จำเป็นที่จะต้องพูดคุยปรึกษากับนายท่านก่อน เจี่ยงจิงเทียนตัดสินใจที่จะยืดเยื้อเวลาออกไปก่อนชั่วคราว รอจนสำรวจเบื้องหลังของหลินหยุนให้ชัดเจนเสียก่อนแล้ว จึงค่อยทำการตัดสินใจ”
หลินหยุนถามขึ้นว่า: “นายต้องการเวลานานเท่าไหร่ในการพูดคุยปรึกษา? ”
เจี่ยงจิงเทียนพูดขึ้นว่า: “สามวัน หลังจากสามวันแล้ว ข้าจะให้คำตอบแก่นาย! ”
“ตกลง”
“สามวันหลังจากนี้ ข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
พูดจบ หลินหยุนก็หันหลังเดินจากไป ซึ่งการที่ต้องเผชิญหน้ากับคนของตระกูลเจี่ยงที่จ้องมองมาทางเขาอย่างดุดันนั้น หลินหยุนมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น แล้วเดินออกมาอย่างสงบนิ่ง