จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 643 สาวน้อยนักสู้หลินโร่สุ่ย
เมื่อชาติที่แล้ว หลินโร่สุ่ยคอยช่วยเหลือหลินหยุนอยู่ไม่น้อยเลย ดังนั้นจึงถูกพ่อแม่เธอด่าทอไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว
แต่ว่า สาวน้อยก็ยังเข้มแข็งที่แบกรับเอาไว้เองอย่างเงียบๆ และก็ยังคงช่วยเหลือหลินหยุนเหมือนเช่นเดิม อีกทั้งยังสนิทสนมกับหลินหยุนอีกด้วย
ต่อให้มีคนของตระกูลหลินจำนวนมากที่ไม่ชอบหน้าหลินหยุนก็ตาม ต่อให้เธอถูกคนของตระกูลหลินโดดเดี่ยวก็ตาม แต่ว่า หลินโร่สุ่ยก็ยังคงยึดมั่นความตั้งใจตั้งแต่แรกมาโดยตลอด ความรู้สึกที่ดีต่อหลินหยุนไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย
ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะว่าทั้งสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้ว ใช้คำพูดตามกระแสนิยมในปัจจุบันว่า ระหว่างพวกเขา ก็เหมือนตกหลุมรักสุดขั้วแล้ว
เมื่อชาติที่เลว หลินหยุนไม่มีความสามารถมากพอ และก็ไม่มีพละกำลังอีกด้วย
ต่อให้มีใจคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ไม่มีความสามารถเช่นนั้น
ได้แต่อาศัยสาวน้อยคนหนึ่งมาคอยปกป้องตัวเอง
แต่ว่าในชาตินี้ หลินหยุนมีพลังความสามารถมากเพียงพอแล้ว
“เสี่ยวสุ่ย คราวนี้ เปลี่ยนเป็นฉันช่วยคุณเถอะนะ!” หลินหยุนพูดรำพึงในใจ
หลังจากที่ได้ชี้แนะวิธีการแก้ปัญหาที่พบในระหว่างการฝึกฝนให้กับซูจื่อเหลียงแล้ว จากนั้นหลินหยุนก็เดินออกไป เตรียมตัวที่จะไปตรวจเยี่ยมสาขาย่อยของบริษัทหวนตี้
นายท่านเสี้ยงอาจารย์ของหยางหยิง ได้มอบโอนหัวหยา กรุ๊ปให้กับหลินหยุนแล้ว หัวหยา กรุ๊ปภายใต้การบริหารจัดการของทีมงานบริหาร ได้เทคโอเวอร์บริษัทหวนตี้และบริษัทเกนเนอร์เอาไว้ได้
ดังนั้น สาขาย่อยของบริษัทหวนตี้ในมณฑลจงโจวนั้น แท้จริงแล้วก็คือบริษัทของหลินหยุนเอง
บริษัทหวนตี้เป็นหนึ่งในสามบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ของประเทศจีน ถ้าหลินโร่สุ่ยจะเปิดบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ขึ้นใหม่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็น่าจะพอรู้เรื่องบ้าง
หลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว หลินหยุนก็จะแอบกำชับให้พวกเขา คอยช่วยเหลือดูแลธุรกิจบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ของหลินโร่สุ่ยอีกแรงหนึ่งได้
สาขาย่อยของบริษัทหวนตี้นั้น ตอนที่หลินหยุนตามหยางหยิงมามณฑลจงโจวครั้งแรกนั้น เคยได้ไปมาครั้งหนึ่งแล้ว
ตอนนั้น แม้แต่พนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่งของบริษัทหวนตี้ก็ยังดูถูกดูแคลนเขาเลย
พวกเขาคิดว่าหลินหยุนเป็นแค่เด็กฝึกงานที่เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆจากสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์
คนที่เหมือนกับหลินหยุนเช่นนี้ พวกเขาได้เห็นมามากมายนักต่อนักแล้ว ช่วงเวลาทุกปีที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์นั้น ก็จะต้องมีคนหนุ่มสาวจำนวนมากมายที่เหมือนหลินหยุนเช่นนี้ ยอมลดตัวลงมาคอยประจบเอาใจคนของบริษัทหวนตี้อยู่เสมอ
ระดับสูงสุดก็ไปถึงท่านประธาน ต่ำสุดลงมาก็เป็นเพียงแค่ยามรักษาความปลอดภัย ต่างล้วนมีคนมาคอยประจบเอาใจ เพื่อหวังให้ช่วยพูดสนับสนุนตัวเองต่อหน้าผู้บริหารชั้นสูงของบริษัทหวนตี้
ทำเช่นนี้แล้ว อาจไม่แน่จะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นก็ได้ จากนั้นก็สามารถโด่งดังในชั่วข้ามคืน
“คิดไม่ถึงเลยว่า บริษัทหวนตี้กลับกลายเป็นบริษัทของฉันเอง”
หลินหยุนยิ้มมุมปากเล็กน้อย แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเย้ยหยัน
เหมารถเดินทางมาถึงประตูใหญ่ของบริษัทหวนตี้สาขาย่อย เมื่อเทียบกับตอนที่มาครั้งแรก ไม่ค่อยเหมือนสักเท่าไรนัก
หลินหยุนจำได้ว่าครั้งแรกที่มาที่นี่ ป้ายชื่อบริษัทหวนตี้ที่เป็นตัวอักษรเคลือบทองตัวใหญ่สี่ตัวนั้น เป็นที่โดดเด่นสะดุดตามาก ก็เหมือนกับพวกสามล้อถูกห้วย
แต่คราวนี้ ตัวอักษรสีทองทั้งสี่ตัวหายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นตัวอักษรตัวใหญ่สีดำมันเงาสี่ตัวที่มีขนาดปกติแล้ว
ดูไปแล้วก็เงียบขรึมกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่หวือหวามาก
“ดูไปแล้ว หลังจากที่ทีมงานบริหารของจ้าวซูเหามารับช่วงบริหารต่อแล้ว ก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนบริษัทหวนตี้ไปบ้างแล้ว”
“แต่ว่า ถ้าหากเป็นการปรับเปลี่ยนเฉพาะภายนอกแล้ว งั้นประสิทธิภาพก็คงไม่ดีเท่าที่ควร ที่สำคัญที่สุด ก็ยังต้องเป็นการปรับเปลี่ยนภายในมากกว่า”
ถ้าคนของบริษัทหวนตี้ ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ที่มักดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น
เช่นนั้นแล้ว การที่ได้เทคโอเวอร์บริษัทหวนตี้มา ก็ถือว่าประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
หลินหยุนกำลังจะเดินเข้าประตูกระจกหมุนอยู่นั้น ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินสองคนที่ยืนอยู่ข้างประตู ก็ทักทายหลินหยุนว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริษัทหวนตี้สาขาย่อยครับ!”
หลินหยุนพยักหน้า แล้วเดินตรงไปยังหน้าเคาน์เตอร์
ขณะที่หลินหยุนเพิ่งเดินถึงหน้าเคาน์เตอร์นั้น กำลังเตรียมจะสอบถามพนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ที่สีหน้ายิ้มแย้มว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบที่นี่
ทันใดนั้น ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น ประตูหน้าลิฟต์ทางด้านซ้ายก็เปิดออก
โป้ง!
ต่อจากนั้น ก็มีของสิ่งหนึ่งกลิ้งออกมา
เมื่อมองดูให้ชัดอีกที ถึงกับเป็นคนเป็นๆคนหนึ่ง
“ยาม ยามรีบเข้ามาเร็ว!”
“หน้าเคาน์เตอร์ ยืนซื่อบื้อดูอะไรอยู่อีก รีบแจ้งตำรวจเร็ว”
นั่นคือชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบต้นๆ มีพุงเล็กน้อย สวมแว่นสายตา ท่าทางแลดูสุภาพเรียบร้อยมาก
แต่ว่า เสียงร้องของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่า กำลังเผชิญกับเรื่องราวที่น่ากลัวมาก
ติดตามมาด้วย สาวสวยใส่ชุดแซกสีขาวทั้งชุดคนหนึ่ง เดินออกมาจากลิฟต์
สีหน้าของหญิงสาวแปลกประหลาด สายตาที่มองดูผู้ชายคนนั้น ด้วยอาการหยอกเย้าเล็กน้อย
“ยังจะให้ฉันไปเปิดห้องกับแกอีกไหม!”
หญิงสาวมือทั้งสองกอดอก เสียงแหลมชัดใส ชนิดที่ว่าเมื่อผู้ชายได้ยินแล้วรู้สึกคล้ายมีพลังพิฆาตแบบนั้น
แต่ว่า ในสายตาของผู้ชายวัยกลางคนนั้นกลับฟังดูแล้วเหมือนเสียงเรียกของปีศาจ ตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด รีบส่ายหน้าไปมา “แก แกอย่าเข้ามานะ! ฉันบอกแกนะว่า ฉันให้คนไปแจ้งตำรวจแล้ว ยามรักษาความปลอดภัยก็อยู่นี่ ถ้าแกกล้าแตะต้องฉัน แกต้องตายแน่!”
หญิงสาวคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เธอคือหลินโร่สุ่ยนั่นเอง
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ในสมองของหลินหยุนก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้แล้ว
ฟังน้ำเสียงของผู้ชายคนนี้แล้ว น่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของบริษัทหวนตี้
หลินโร่สุ่ยน่าจะมาหาผู้ชายคนนี้ เพื่อติดต่องานของบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ที่เปิดใหม่ของตัวเอง หลังจากนั้นคาดเดาว่าผู้ชายคนนี้คิดไม่ซื่อ ฉวยโอกาสคิดจะลวนลามหลินโร่สุ่ย
“เมื่อชาติที่แล้ว เสี่ยวสุ่ยเพื่อช่วยฉันต่อสู้แล้ว ถึงกับแอบไปหัดเรียนวิชาเทคนิคป้องกันตัวมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการต่อสู้แบบซานต้า มวยไทย เทควันโดเป็นต้น ผู้ชายคนหนึ่งที่มัวเมาลุ่มหลงสุรานารีเช่นนี้ ต้องถูกเสี่ยวสุ่ยเตะต่อยเหมือนชกกระสอบทรายเลยทีเดียว”
ในไม่ช้า ยามรักษาความปลอดภัยที่อยู่หน้าประตูทั้งสองคนก็รีบวิ่งเข้ามา
“ผู้จัดการจางครับ นี่คุณเป็นอะไรไปเหรอ?” ยามรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งตะโกนถามด้วยความตกใจ
ผู้ชายใส่แว่นคนนั้นตะคอกใส่ว่า “แกตาบอดหรือไง! เธอกำลังทำร้ายฉัน! พวกแกไม่เห็นหรือไง? ยังไม่รีบไปจับเธออีก!”
ยามรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนมองไปยังหลินโร่สุ่ยแล้ว ต่างก็หันมามองหน้ากันเอง
สาวน้อยที่บอบบางน่ารักเช่นนี้ ใครทำร้ายใครกันแน่?
“ผู้จัดการจางครับ คุณแน่ใจเหรอว่าถูกเธอทำร้ายมา?” ยามรักษาความปลอดภัยคนนั้นสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ผู้จัดการจางพูดด้วยความโมโหว่า “พูดเหลวไหล ไม่ใช่เธอยังจะมีใครอีก? แกอย่าเห็นว่าเธอตัวเล็ก แต่เธอรู้จักศิลปะการป้องกันตัว เธอยังร้ายกาจมากอีกด้วย”
ในขณะนี้เอง พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ก็รีบวิ่งเข้ามา แล้วสอบถามว่า “ผู้จัดการจางคะ จะให้แจ้งตำรวจไหมคะ?”
ทุกคนก็คงไม่โง่ พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ในใจก็รู้ดี เรื่องนี้จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เป็นคนผิด คาดเดาว่าก็คงเป็นผู้จัดการจางนั่นแหละ
ถ้าหากแจ้งตำรวจแล้ว อาจไม่แน่จะทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมก็ได้
เมื่อได้ยินพนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ถามเช่นนั้น ผู้จัดการจางก็สงบสติอารมณ์คิดก่อนยังไม่รีบตอบ
เขากำลังคิดคำนวณอยู่ในใจว่า “ยัยเด็กนี่น่าจะไม่ได้อัดเทปไว้ ต่อให้ฉันพูดคำพูดที่น่าเกลียดพวกนั้นก็จริง อย่างมากฉันก็ไม่ยอมสักอย่าง เธอก็ไม่มีหลักฐานอะไร”
“แต่ว่า เธอทำร้ายร่างกายฉันกลับเป็นเรื่องจริง บาดแผลบนตัวฉันก็คือหลักฐาน”
“แจ้งตำรวจเลย!” ผู้จัดการจางคำรามเสียงดังขึ้น “กล้ามาทำร้ายคนในบริษัทหวนตี้ของพวกเรา ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้างเลย”
หลินหยุนยืนอยู่ด้านข้าง ในใจก็หัวเราะเยาะ “ผู้จัดการจางคนนี้สงสัยว่ายังไม่รู้ฐานะของเสี่ยวสุ่ยเลย คนของตระกูลหลินแบ่งแห่งอูซุ ผู้จัดการตัวเล็กๆคนหนึ่งในบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์อย่างเขายังไม่มีสิทธิ์ที่จะมารังแกได้หรอก”
เมื่อคิดอีกที หลินหยุนก็เข้าใจแล้ว
คงเป็นเพราะกฎเกณฑ์เก่าๆพวกนั้นของตระกูลหลิน ทำให้หลินโร่สุ่ยไม่สามารถใช้ฐานะของคนตระกูลหลินมาอ้างเพื่อขอรับความช่วยเหลือให้กับเธอได้
ดังนั้น การประเมินผลงานของตระกูลหลิน ความยากก็อยู่ตรงจุดนี้เอง
คนหนุ่มสาวอายุเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น เมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากตระกูลแล้ว ถึงแม้จะให้เงินลงทุนแก่เขาเพื่อไปก่อร่างสร้างตัวก็ตาม แล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้างล่ะ?
ต่อให้ตอนนี้หลินหยุนไม่ได้ใช้พละกำลังบู๊แล้ว หลินหยุนก็ไม่มีทางที่จะรับประกันว่าตัวเองจะสามารถหาเงินมาได้ด้วยตัวเองเลย
เพียงแต่ว่าถ้าแจ้งตำรวจแล้ว อย่างน้อยก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอยู่บ้าง
อีกทั้งผู้จัดการจางคนนี้ถึงกับกล้าลวนลามเสี่ยวสุ่ย หลินหยุนย่อมไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆอย่างแน่นอน
“เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”
หลินหยุนเดินเข้าไป ถามด้วยเสียงหนักแน่น
หลินโร่สุ่ยก็เพิ่งจำหลินหยุนได้ จึงตะโกนเสียงดังขึ้นมาด้วยความดีใจทันที “เป็นคุณได้ยังไง!”
“ใช่แล้ว คุณมาที่นี่ทำอะไรเหรอ? หรือว่า……คุณก็เป็นบอดี้การ์ดของที่นี่ด้วยเหรอ?”
หลินหยุนรู้ว่าสาวน้อยเข้าใจผิดแล้ว แต่ว่า เขาก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร
“ไม่ใช่ ฉันมาหาคนที่นี่” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ
“ใช่แล้ว คุณนี่เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”
หลินโร่สุ่ยใบหน้าแดงก่ำ ยังไงก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อจะพูดถึงเรื่องที่ถูกคน ลวนลามออกมา ก็ต้องรู้สึกเขินอายบ้าง