จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 678 คนที่ตามจีบหลินโร่สุ่ย
เมื่อเห็นหลินหยุนไม่พูดไม่จา หลินโล่เฉินก็คิดว่าหลินหยุนคงตกใจกลัวในคำพูดของเขาแล้ว
ในใจส่วนลึกของหลินโล่เฉินก็ยิ่งรู้สึกดูถูกหลินหยุนมากขึ้น ยิ่งมั่นใจว่าเป็นเพราะหลินหยุนอาศัยคารมหลอกล่อให้หวางซูเฟินเชื่อใจ โดยใช้จุดอ่อนช่องโหว่ที่หวางซูเฟินคิดถึงลูกชาย
จึงทำให้หวางซูเฟินยอมรับเขาเป็นลูกบุญธรรม
“เห็นทีจะต้องหาโอกาสไปคุยกับอาสะใภ้หวางเสียแล้ว คนแบบนี้จะไปยอมรับเป็นลูกบุญธรรมได้ยังไงกัน? ด้วยนิสัยใจคอของเขาแล้ว ต่อไปก็จะทำให้ตระกูลหลินต้องพบกับหายนะอย่างแน่นอน”
ท่าทางที่หลินหยุนเคยข่มเหงเจี่ยงเฉิงนั้น ทำให้หลินโล่เฉินมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อหลินหยุนมาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าหลินหยุนจะทำอะไรก็ตาม เขาก็เห็นหลินหยุนขัดหูขัดตาไปหมด
เมื่อหลินหยุนไม่พูดจาอะไร หลินโล่เฉินก็เลยไม่ไปตอแยกับเขาอีกต่อไป
ขณะนี้เอง เวทีที่อยู่ด้านหน้า มีชายหนุ่มในชุดทักซิโด้สีขาวคนหนึ่ง หยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า “สวัสดีครับ เพื่อนๆทุกคน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกคุณมาในร่วมงานสังสรรค์ยอดอัจฉริยะในครั้งนี้!”
“คนแซ่โห้ ต้องขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจกับทุกคนในที่นี้ด้วย!”
คนนี้ก็น่าจะเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลโห้ โห้ตงหมิง ทายาทตระกูลโห้แห่งเมืองซ่างเจียง ผู้ริเริ่มจัดงานเลี้ยงยอดอัจฉริยะ
ภายในห้องโถงใหญ่ ก็ค่อยๆเงียบสงบลง
ฐานะตำแหน่งทางสังคมของโห้ตงหมิงนั้น ในตอนนี้นับว่าสูงสุดในบรรดาคนพวกนี้แล้ว
อย่างน้อย อำนาจบารมีของตระกูลโห้ที่แสดงออกมานั้น ก็แข็งแกร่งกว่าตระกูลหลินแห่งอูซูระดับหนึ่งแล้ว
โห้ตงหมิงพูดจบ ห้องโถงใหญ่ก็ดังก้องไปด้วยเสียงตบมือ
เมื่อเสียงตบมือหยุดลง โห้ตงหมิงจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “งานเลี้ยงยอดอัจฉริยะครั้งนี้ ก็ยังคงทำตามกฎกติกามารยาทเดิม ทุกคนสามารถที่จะปลดปล่อยอิสระอย่างเต็มที่ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น ก็ขอให้ผมเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด!”
“ดี”
“คุณชายโห้ใจถึงจริงๆเลย!”
ภายในห้องโถงใหญ่ก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องดังกึกก้องไปทั่ว
ถึงแม้คนที่สามารถเข้ามาในนี้ได้ ต่างก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองก็ตาม แต่ว่าถ้าหากมีใครสักคนเป็นเจ้ามือเลี้ยงละก็ ย่อมต้องได้รับเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีจากทุกคนเป็นธรรมดา
หลินโล่เฉินถอนหายใจเฮือก “ตระกูลโห้ร่ำรวยใจใหญ่จริงๆ จัดงานคราวนี้ คงต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลย โห้วตงหมิงถึงกับไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่นิดเดียว”
ถึงแม้ว่าหลินโล่เฉินเข้าใจดีว่า ผลประโยชน์ที่เกิดจากการจัดงานเลี้ยงยอดอัจฉริยะของโห้ตงหมิงนั้น มันไม่ใช่เรื่องของเงินทองที่จะสามารถคำนวณออกมาได้
แต่ว่า ก็ต้องเหมาสถานที่ทั้งหมด แล้วยังต้องเลี้ยงแขกเหรื่ออีก ค่าใช้จ่ายคราวนี้ก็คงมโหฬารอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มตระกูลหลินที่มาร่วมงานเลี้ยงยอดอัจฉริยะเป็นครั้งแรกคนหนึ่ง ถามด้วยความสงสัยว่า “กฎกติกามารยาทเดิมของงานเลี้ยงยอดอัจฉริยะคืออะไรเหรอ? มีอะไรที่จะเป็นข้อห้ามบ้างล่ะ?”
หลินเห้าหัวเราะแฮ่ๆ “กฎกติกามารยาทเดิมก็คือไม่มีกฎกติกาอะไร เพียงแต่คุณอย่าได้ก่อความวุ่นวายก็พอแล้ว เรื่องอย่างอื่นก็แล้วแต่คุณเลย”
“กฎกติกานี้ดีจริงๆเลย!”
เดิมทีการจัดงานสังสรรค์ยอดอัจฉริยะก็เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้ทุกคนได้มีความสะดวกสบายในการพบปะสังสรรค์ จึงไม่ต้องใช้กฎกติกาอะไรมาควบคุมเลย
นี่ก็เป็นความล้ำเลิศอย่างหนึ่งของโห่ตงหมิง
อยู่ที่นี่ สามารถที่จะดื่มกินได้เต็มที่ แล้วยังสามารถคบหาสมาคมกับพวกลูกหลานตระกูลใหญ่อีกด้วย ชื่อเสียงของงานเลี้ยงยอดอัจฉริยะ จึงร่ำลือไปทั่วจนเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
โห่ตงหมิงก็ใจกว้างมาก พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมก็ไม่ขอพูดเรื่องไร้สาระแล้ว ทุกคนเชิญตามสบายเลยครับ!”
หลินโล่เฉินหันไปมองพวกลูกหลานตระกูลหลินทั้งหลาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า “ถึงแม้ที่นี่ไม่มีกฎกติกาอะไรก็จริง แต่ว่าตอนที่ทุกคนสนุกสนานนั้น ก็ขอให้รักษาภาพลักษณ์ของตระกูลหลินพวกเราไว้ด้วย”
“พี่โล่เฉินวางใจเถอะ พวกเราจะไม่ทำให้ตระกูลหลินต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน” หลินเห้าพูดให้สัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“งั้นก็ดีแล้ว ทุกคนไปสนุกสนานกันเถอะ!” หลินโล่เฉินพูด
กลุ่มคนตระกูลหลินทั้งหมด ก็ตะโกนโห่ร้องขึ้นมาทันที แล้วต่างคนต่างก็สลายตัวกันไป
หลินโร่สุ่ยพูดกับหลินหยุนว่า “พวกเราจะไปไหนกันดี? ฉันก็มาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่รู้ที่นี่มีอะไรน่าสนุกบ้าง?”
“งั้นก็ไปเดินดูรอบๆก่อนเถอะ!” หลินหยุนพูด
“ได้”
หลินโร่สุ่ยทั้งสองคนก็เดินตรงไปยังแหล่งบันเทิงที่อยู่ชั้นล่าง
คลับเทียนหยาสมแล้วที่เป็นศูนย์รวมแหล่งบันเทิงระดับชั้นนำของเมืองซ่างเจียง ภายในสถานบันเทิงมีเครื่องเล่นอยู่มากมายหลากหลายทีเดียว
ยิงปืน เกมคอมพิวเตอร์ กอล์ฟ การพนันต่างๆ เป็นต้น
หลินโร่สุ่ยไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก จึงเดินไปยังสนามกอล์ฟที่อยู่ด้านนอก
“เมื่อก่อนฉันเคยฝันอยากจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงยอดอัจฉริยะสักครั้งหนึ่ง แต่หลังจากที่ได้มาแล้ว ฉันก็รู้สึกว่าแท้จริงแล้วมันก็แค่นี้เอง”
หลินหยุนและหลินโร่สุ่ยเดินเคียงคู่กันไปบนสนามหญ้าที่เขียวขจี หลินโร่สุ่ยก็พูดระบายความรู้สึกตื้นตันใจของตัวเองออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลินหยุนไม่พูดอะไร สำหรับทุกคนแล้ว สิ่งที่ยังไม่ได้มาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
แต่เมื่อไหร่ที่ได้มาแล้ว แท้จริงแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเลย นี่ก็คืออาการที่เหมือนกันของมนุษย์ทุกคน
เมื่อเห็นหลินหยุนไม่พูดจา หลินโร่สุ่ยคิดว่าหลินหยุนไม่สนุก ทันใดนั้นก็มองเห็นสนามม้าที่อยู่ด้านข้างของสนามกอล์ฟ จึงพูดว่า “หรือไม่พวกเราไปขี่ม้ากันดีไหม? นานแล้วที่ฉันไม่ได้ขี่ม้าเลย”
หลินหยุนมองไปยังสนามม้า “ได้!”
ทั้งสองคนก็มาถึงสนามม้า แต่กลับนึกไม่ถึงว่ามีกลุ่มคนตระกูลหลินหลายคนก็อยู่ที่นั่นด้วย
แต่ว่า สนามม้ากว้างใหญ่มาก หลินโร่สุ่ยและหลินหยุนก็เดินไปยังโซนพักผ่อนอีกด้านหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พบกับคนตระกูลหลินพวกนั้น
“พี่หลินหยุน พวกเรามาขี่ม้าแข่งกันดีไหม? ดูซิว่าใครจะถึงเส้นชัยก่อนกัน!” หลินโร่สุ่ยเสนอ
“ได้” หลินหยุนตอบอย่างเรียบๆ
ขณะที่ทั้งสองคนเพิ่งจะไปตามพนักงานจูงม้ามานั้น คิดไม่ถึงทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกอย่างรีบเร่งว่า “โร่สุ่ย รอผมด้วย ในที่สุดก็หาคุณจนพบ!”
มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาจากที่ไม่ไกลนัก สวมเสื้อโค้ตลายตารางหมากรุก ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือการออกแบบของดีไซเนอร์ดังคนไหน ผมหน้าม้าที่พลิ้วไหว ดูไปแล้วก็ทันสมัยดี
“คุณนี่เอง หลิ่วจื่อเฉิง!” เมื่อเห็นคนที่มาหาแล้ว หลินโร่สุ่ยก็ขมวดคิ้วตะโกนพูดขึ้น
กลุ่มคนตระกูลหลินที่อยู่ในเขตโซนพักผ่อนอีกด้านหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เมื่อเห็นหลิ่วจื่อเฉิงแล้ว ก็แสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ชอบเห็นความทุกข์ของคนอื่นขึ้นมาทันที
“ฮ่าๆ ถึงกับเป็นหลิ่วจื่อเฉิงนี่เอง คราวนี้มีเรื่องดราม่าให้ดูอีกแล้ว”
หลินเห้าพูดว่า “ฉันจะเดินไปดูก่อนนะ พวกคุณไปบอกพี่โล่เฉิน ให้เขาเข้ามาร่วมครึกครื้นด้วยหน่อย”
“รอฉันด้วย ให้หลินเชี่ยนไปบอกพี่โล่เฉินเถอะ ฉันจะตามคุณไปดูความครึกครื้นด้วย” ลูกหลานตระกูลหลินอีกคนพูดขึ้น
หลินโร่สุ่ยสีหน้าเย็นชา “คุณมาหาฉันทำไม!”
หลิ่วจื่อเฉิงพูดด้วยสีหน้าทะเล้นว่า “คุณเป็นคู่หมั้นของผม ผมก็ต้องมาตามหาคุณสิ!”
หลินโร่สุ่ยพูดด้วยความโกรธว่า “ใครเป็นคู่หมั้นคุณ? งานหมั้นระหว่างเราสองคนก็ถูกคุณยกเลิกไปแล้ว ตอนนี้ฉันกับคุณไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว!”
หลิ่วจื่อเฉิงหัวเราะแฮๆ “เรื่องนั้นผมก็แค่ล้อเล่น คู่หมั้นที่ดีอย่างคุณ ผมจะไปยกเลิกงานหมั้นได้ยังไงล่ะ!”
หลินโร่สุ่ยพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “เมื่อก่อนคุณบอกว่าฉันเป็นแค่เศษสวะ บอกว่าฉันไม่คู่ควรกับคุณ แล้วยังยกเลิกงานหมั่นด้วยตัวเอง ตอนนี้คุณกลับมาบอกว่าเป็นการล้อเล่นเหรอ? คุณยังมียางอายอยู่อีกหรือเปล่า?”
หลินหยุนพอนึกออกมาได้บ้างแล้ว เมื่อตอนเด็กหลินโร่สุ่ยเคยได้หมั้นหมายจริง แต่นั่นเป็นการตัดสินใจของปู่หลินโร่สุ่ย
อีกฝ่ายหนึ่งดูเหมือนจะเป็นลูกชายคนเล็กของนายท่านหลิ่วแห่งอูซู
แต่ว่า เมื่อชาติที่แล้วหลินโร่สุ่ยและหลินหยุน ก็เป็นคนที่ถูกดูถูกดูแคลนจากคนตระกูลหลินมาโดยตลอด ขึ้นชื่อว่าเป็นเศษสวะทั้งสามของตระกูลหลิน พวกเขาก็เป็นสองในจำนวนนั้นแล้ว
ดังนั้น ลูกชายคนเล็กของนายท่านหลิ่วจึงได้ปฏิเสธการหมั้นหมายครั้งนี้
บอกว่าเป็นการต่อต้านการแต่งงานแบบคลุมถุงชน เขาต้องการความรักที่อิสรเสรี
แท้ที่จริงแล้ว ก็คือรังเกียจที่หลินโร่สุ่ยไม่มีความสามารถมากกว่า
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นหลินโร่หลันแล้ว หลิ่วจื่อเฉิงไม่มีทางที่จะยกเลิกงานหมั้นอย่างแน่นอน
ตอนนี้ หลิ่วจื่อเฉิงมาหาหลินโร่สุ่ยถึงที่นี่อย่างกะทันหันเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอยากจะขอคืนดีด้วย ก็คาดเดาได้ว่าคงเป็นเพราะได้ข่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเปิดตัวบริษัทของหลินโร่สุ่ยไม่กี่วันก่อนนั้น
เศษสวะอย่างหลินโร่สุ่ยนั้น หลิ่วจื่อเฉิงคงไม่อยากได้แน่นอน แต่ว่าถ้าเป็นหลินโร่สุ่ยที่เป็นอัจฉริยะแล้วล่ะก็ หลิ่วจื่อเฉิงจะปฏิเสธได้ยังไง!
หลิ่วจื่อเฉิงไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงทำหน้าทะเล้นแล้วพูดต่อไปว่า “ขอเพียงแต่ให้คุณหายโกรธผม ผมจะมียางอายหรือไม่ก็ไม่เป็นไร”
หลินโร่สุ่ยโกรธจนแทบจะไม่รู้จะสรรหาอะไรมาพูดแล้ว “คุณนี่ ไร้ยางอาย!”
“ฉันก็มียางอยู่นะ!” หลิ่วจื่อเฉิงชี้ไปบนใบหน้าตัวเอง
“คุณวุ่นวายตื๊อไม่เลิก!” หลินโร่สุ่ยรู้สึกหมดหนทางที่จะรับมือได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าหลิ่วจื่อเฉิงเตรียมตัวมาอย่างดี
“หลินหยุน พวกเราไปกันเถอะ!” หลินโร่สุ่ยตัดสินใจหลบหน้าหลิ่วจื่อเฉิง
น้ำที่ใสบริสุทธิ์เกินไปปลาย่อมไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ คนที่จิตใจคับแคบเกินไปก็ย่อมไม่มีใครอยากอยู่เคียงข้างเป็นธรรมดา
“จะไปไหนกันล่ะ?” หลิ่วจื่อเฉิงยื่นมือไปขวางหลินโร่สุ่ยไว้ “ผมได้ยินข่าวว่าคุณมาในงานเลี้ยงยอดอัจฉริยะ อุตส่าห์เดินทางมาจากแดนไกลเพื่อมาหาคุณ คุณทำอย่างนี้กับผมได้ยังไง?”