จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 679 กล้าแข่งประลองไหมล่ะ
หลินโร่สุ่ยพูดด้วยความโกรธว่า “หลิ่วจื่อเฉิง คุณคิดจะทำอะไร? ถ้าคุณยังมาก่อความวุ่นวายไม่เลิกละก็ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจแล้วนะ!”
หลินโร่สุ่ยไม่ใช่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ ถ้าพูดถึงเรื่องการต่อสู้ละก็ ต่อให้หลิ่วจื่อเฉิงสิบคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ
“ตบผมสิ ตบก็เพราะชอบ ด่าก็คือรัก คุณยิ่งตบหนักเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!” หลิ่วจื่อเฉิงจู่โจมอย่างไร้ยางอาย
“คุณ…” สุ่ยพูดอะไรไม่ออก เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีแล้ว
“หลีกไป!” เสียงที่เรียบๆของหลินหยุนดังขึ้นทันที
หลินโร่สุ่ยตกตะลึง เรียกด้วยความเป็นห่วงว่า “หลินหยุน?”
หลินหยุนหันมองเธอแวบเดียว พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ฉันจัดการได้”
“ฮึ่ม” หลินโร่สุ่ยพยักหน้า ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
หลิ่วจื่อเฉิงจึงได้มองสำรวจหลินหยุนอย่างจริงจัง เมื่อเห็นว่าการแต่งกายของหลินหยุน ทั้งเนื้อทั้งตัวรวมกันแล้วก็น่าจะประมาณร้อยเศษๆ
จึงรู้สึกดูถูกหลินหยุนขึ้นมาทันที
“แกเป็นใคร?” หลิ่วจื่อเฉิงตะโกนถาม
หลินหยุนยังไม่ทันได้พูดอะไร หลินห้าวที่ยืนรอดูเรื่องดราม่าอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยว่า “คุณชายหลิ่ว เจ้าเด็กนี่เมื่อก่อนเคยเป็นบอดี้การ์ดมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าไปวางยาอะไรให้ผู้อำนวยการหวางของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปกินเข้าไปแล้ว ถึงกับทำให้ผู้อำนวยการหวางรับเขาเป็นลูกบุญธรรมเลย!”
“ลูกบุญธรรมเหรอ? ฮาๆ ต่อให้เขาเป็นลูกชายแท้ๆของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป แล้วจะทำอะไรได้?”
“เรื่องระหว่างฉันกับคู่หมั้น เขามีสิทธิ์อะไรมายุ่งด้วยล่ะ”
“ไอ้หนู ถ้าฉลาดก็รีบไสหัวไปให้พ้น ทำเรื่องฉันเสียละก็ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”
หลินหยุนมองหน้าเขา พูดอย่างเรียบๆว่า “แกลองไสหัวให้ฉันดูหน่อยสิ ฉันทำไม่ค่อยเป็น”
หลิ่วจื่อเฉิงสีหน้าบึ้งตึง “ไอ้หนู สงสัยว่าแกคงไม่ชอบไม้อ่อนแต่ชอบไม้แข็งล่ะสิ!”
“ถ้าที่นี่ไม่ใช่คลับเทียนหยาละก็ วันนี้แกตายแน่!”
คลับเทียนหยามีกฎระเบียบว่า ห้ามให้ใครก่อเรื่องวุ่นวาย มิฉะนั้น จะถือว่าไม่ไว้หน้าเจ้าของ
พวกคุณชายทั้งหลายเหล่านี้ถึงแม้จะยโสโอหังยังไงก็ตาม แต่ว่ากลับไม่กล้าที่จะไปมีปัญหากับเจ้าของคลับเทียนหยา
หลินโร่สุ่ยเป็นห่วงหลินหยุน จึงพูดว่า “พี่หลินหยุน พวกเราไปทางนั้นกันเถอะ! อย่าไปสนใจคนไร้ยางอายแบบนี้เลย”
“ได้” หลินหยุนก็ขี้เกียจจะไปตอแยกับหลิ่วจื่อเฉิง คนระดับชั้นอย่างหลิ่วจื่อเฉิง หลินหยุนก็ไร้อารมณ์ที่จะไปต่อกรด้วย
หลินห้าวที่อยู่ด้านข้างเกรงว่าโลกนี้จะสงบสุขเกินไป จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณชายหลิ่ว คู่หมั้นของคุณหนีตามผู้ชายคนอื่นไปแล้ว คุณไม่รู้สึกเสียหน้ามั่งเลยเหรอ!”
“หุบปาก!” หลิ่วจื่อเฉิงตะคอกด้วยความโกรธ
“ที่นี่คือคลับเทียนหยา ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ!”
หลินห้าวหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันมีข้อเสนอ ท้าแข่งพนันกับเขาสักตั้ง ใครชนะก็อยู่ต่อ ใครแพ้ก็ต้องไสหัวไป”
หลิ่วจื่อเฉิงทำตาลุกวาว “นี่ก็เป็นข้อเสนอที่ดีนะ”
“เฮ้ย ไอ้หนู กล้าแข่งพนันกับฉันไหมล่ะ?” หลิ่วจื่อเฉิงตะโกนท้าทายหลินหยุน
หลินหยุนขี้เกียจไปสนใจเขา เดินตามหลังหลินโร่สุ่ยเตรียมตัวจะจากไป
หลิ่วจื่อเฉิงก็เดินไปดักหน้าขวางทางเดินของคนทั้งสองไว้
“ไอ้หนู ถ้าแกเป็นลูกผู้ชายพอ ก็ตามฉันไปที่สนามม้าแข่งพนันสักครั้ง คนที่ชนะก็อยู่ที่นี่กับหลินโร่สุ่ย คนที่แพ้ก็รีบไสหัวไป”
“กล้าเปล่าล่ะ? เป็นลูกผู้ชายก็กล้าๆหน่อย!”
หลินโร่สุ่ยด่าทอด้วยความโมโห“หลิ่วจื่อเฉิง คุณจบได้รึยัง รีบหลีกไปให้พ้น!”
หลิ่วจื่อเฉิงไม่ได้สนใจหลินโร่สุ่ย ได้แต่จ้องหน้าหลินหยุนอย่างท้าทาย “ไอ้หนู หลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงจะแน่แค่ไหนกัน! แน่จริงก็แข่งพนันกับฉันสักครั้งที่สนามม้านี้สิ!”
หลินห้าวพูดเยาะเย้ยอยู่ด้านข้าง “เขาเป็นแค่บอดี้การ์ด จะมีปัญญาอะไรที่จะเข้าออกสถานที่แบบนี้กันล่ะ! กลัวว่าคงจะขี่ม้าไม่เป็นล่ะสิ!”
เหล่าคุณชายตระกูลหลินคนอื่นๆ ก็หัวเราะเสียงดังอยู่ข้างๆ เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ได้ ฉันจะแข่งพนันกับแก” หลินหยุนตอบตกลง
หลินโร่สุ่ยรีบพูดอย่างตื่นเต้นทันทีว่า “หลินหยุน อย่าหลงกลเขา! หลิ่วจื่อเฉิงคนนี้มีฝีมือขี่ม้ายอดเยี่ยม ได้ข่าวว่าได้รางวัลรองชนะเลิศการแข่งขันอะไรสักอย่าง เขาจงใจยั่วยุให้คุณประลองแข่งกับเขา!”
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “วางใจเถอะ ฉันรู้ว่าควรทำยังไง”
หลิ่วจื่อเฉิงแอบดีใจ “ดี แน่มาก นี่สิจึงเหมือนลูกผู้ชายหน่อย!”
“ฉันก็ไม่อยากเอาเปรียบแก แข่งแค่รอบเดียว ถ้าใครแพ้แล้ว ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่!”
“ฟังให้ชัดนะ เป็นการไสหัวออกไป!”
“ได้” หลินหยุนตอบตกลง
ถ้าไม่ใช่กังวลว่าการลงมือในสถานที่สาธารณะเช่นนี้ จะเกิดผลกระทบกระเทือนขึ้นได้ละก็ ถึงเวลานั้นหงซานเหอคงต้องบ่นเป็นหมีกินผึ้งไม่หยุดแน่เลย หลินหยุนก็คิดอยากจะตบหลิ่วจื่อเฉิงด้วยฝ่ามือให้เละเป็นโจ๊กไปเลย จะได้ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้
หลินโร่สุ่ยดึงแขนเสื้อหลินหยุน พูดเสียงเบาๆว่า “หลินหยุน คุณอย่าวู่วาม คุณทำอย่างนี้ก็หลงกลเขาพอดีเลย!”
“วางใจเถอะ เขาเอาชนะฉันไม่ได้หรอก” หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย ส่งสายตาที่มั่นใจให้หลินโร่สุ่ยเพื่อให้สบายใจ
หลินโร่สุ่ยอึ้งไปสักครู่ ดูเหมือนจะซึมซับความเชื่อมั่นของหลินหยุนจนลืมพูดเตือนอีก เห็นได้ชัดว่าหลิ่วจื่อเฉิงเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ตะโกนพูดว่า “บริกร ขอม้าดีๆมาสองตัวด้วย!”
“คุณชายหลิ่ว โปรดรอสักครู่!” พนักงานดูแลต่างก็รู้จักไอ้หมอนี่ทั้งนั้น ท่าทางแลดูสนิทสนมอีกด้วย
ในไม่ช้า ม้าสีเลือดตัวใหญ่สองตัว ก็ถูกจูงมาตรงหน้าหลินหยุนและหลิ่วจื่อเฉิงแล้ว
หลิ่วจื่อเฉิงท่าทีดูเหมือนกำชัยชนะอยู่ในมือ พูดด้วยน้ำเสียงเหลาะแหละว่า “ไอ้หนู ม้าสองตัวนี้แกเลือกก่อนได้เลย เดี๋ยวจะหาว่าฉันเอาเปรียบแก!”
“ไม่ต้องหรอก ตัวไหนก็ได้ ยังไงแกก็เอาชนะฉันไม่ได้อยู่ดี” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ
“ฮาๆ โร่สุ่ย คุณได้ยินแล้วนะ ฉันให้เขาเลือกก่อน แต่เขาไม่เลือกเอง อีกประเดี๋ยวถ้าแพ้แล้ว อย่าหาว่าฉันรังแกเขาก็แล้วกัน” หลิ่วจื่อเฉิงพูดด้วยสีหน้ายโสโอหัง
หลินโร่สุ่ยไม่ได้พูดอะไร มองไปยังหลินหยุนด้วยความเป็นห่วง “พี่หลินหยุน คุณอย่าประมาทเชียวนะ!”
“วางใจเถอะ” สีหน้าหลินหยุนเรียบเฉย ดูเหมือนไม่ได้เห็นหลิ่วจื่อเฉิงอยู่ในสายตาเลย ในเขตโซนพักผ่อนด้านหลัง หลินโล่เฉินพร้อมด้วยคนตระกูลหลินกลุ่มหนึ่ง เมื่อได้ยินข่าวแล้วก็รีบตามมา
หลินโร่หลันมองดูหลิ่วจื่อเฉิง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หลิ่วจื่อเฉิง เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร?”
เรื่องราวที่หลิ่วจื่อเฉิงเคยถอนหมั้นตอนนั้น หลินโร่หลันก็รู้สึกเสียหน้ามาก ดังนั้น หลินโร่หลันจึงไม่ค่อยชอบหน้าหลิ่วจื่อเฉิงเท่าไหร่นัก
สายตาของหลินโล่เฉินแสดงออกถึงกำลังใช้ความคิด แล้วพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ดูเหมือนว่าหลิ่วจื่อเฉิงคงมาหาหลินโร่สุ่ยเพื่อจะขอคืนดีมั้ง!”
หลินโร่หลันลองคิดๆดู ก็เข้าใจแล้ว
ในงานเปิดบริษัทของหลินโร่สุ่ยเมื่อคราวที่แล้ว นับว่าดังสนั่นไปทั่วทั้งวงการ
หลังจากหลิ่วจื่อเฉิงได้ยินข่าวนี้แล้ว คงรู้สึกเสียดาย จึงคิดอยากขอคืนดีกับหลินโร่สุ่ย
พอดีกิจการหลักของตระกูลหลิ่วนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในแวดวงเอ็นเตอร์เทนเม้นทั้งนั้น
ถ้าได้ภรรยาที่มีลูกพี่ใหญ่จำนวนเกินครึ่งในวงการเอ็นเตอร์เทนเม้นคอยช่วยเหลือดูแลให้ละก็ สำหรับตระกูลหลิ่วแล้ว จะต้องได้รับประโยชน์อย่างมากมายทีเดียว
มองดูหลินหยุนและหลิ่วจื่อเฉิงต่างก็จูงม้าของตัวเอง ยืนอยู่ตรงจุดสตาร์ท หลินโร่หลันพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าเด็กนี่ช่างไม่รู้จักประมาณตนเลย ถึงกับกล้าประลองขี่ม้ากับหลิ่วจื่อเฉิง”
“หรือว่าเขายังไม่รู้เลยว่า ฝีมือการขี่ม้าของหลิ่วจื่อเฉิงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ววงการเหรอ?”
สายตาของหลินโล่เฉินแสดงความดูถูก แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “นี่คงจะตรงกับนิสัยส่วนตัวของเขาแล้ว อย่าลืมว่าตอนนั้นเขารู้ทั้งรู้ว่าเจี่ยงเฉิงเป็นคนของตระกูลเจี่ยงแห่งเกาะหนัน ก็ยังกล้าลงมือเลย”
“คิดไม่ถึงว่า เขายังคงเหิมเกริมหยิ่งผยองเหมือนเดิม!” หลินโร่หลันสีหน้ารังเกียจ “มีคนอย่างนี้อยู่ข้างตัวหลินโร่สุ่ย ฉันจะวางใจได้ยังไงล่ะ!”
ในสนามแข่งม้า การแข่งขันระหว่างหลินหยุนและหลินโล่เฉินกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
หลินโร่สุ่ยยืนอยู่ข้างสนามกำหมัดทั้งสองไว้แน่น พูดในใจว่า “พี่หลินหยุน สู้ๆนะ!”
หลิ่วจื่อเฉิงนั่งอยู่บนหลังม้า พูดด้วยสีหน้าดูถูก “ต่อให้แกเริ่มก่อนเลย!”
“ไม่จำเป็นหรอก” หลินหยุนปฏิเสธ
“เตรียมตัว เริ่มได้!” พนักงานที่รับผิดชอบเป็นกรรมการตะโกนเสียงดัง
หลิ่วจื่อเฉิงตะคอกเสียงดัง “ไป!”
ม้าสีเลือดที่อยู่ใต้หว่างขานั้นก็ดีดตัวกระโดดขึ้น พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่หลิ่วจื่อเฉิงวิ่งออกไปสิบกว่าเมตรแล้ว หลินหยุนจึงได้ตะคอกเสียงเบาอย่างเชื่องช้าว่า “ไป!”
พวกคนตระกูลหลินที่ยืนดูด้วยความครึกครื้นอยู่นั้น ก็หัวเราะเสียงดังออกมาทันที