จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 683 นายอย่าได้คิดเข้าสู่ตระกูลหลิน
หลินโร่หลันหันหลังแล้วเดินจากไป โดยที่ไม่ได้กลับเข้าไปทางฝั่งของตระกูลหลินอีก ซึ่งได้เดินกลับออกไปเลย
หลินโล่เฉินมองไปที่หลินหยุนด้วยสีหน้าที่เย็นชา แล้วเดินก้าวขึ้นมา ยืนอยู่ที่ด้านหน้าของ หลินหยุนโดยห่างประมาณสามเมตร เหมือนกับว่าตั้งใจที่จะรักษาระยะห่างจากหลินหยุนเอาไว้
“หลินหยุน นายนี่ช่างหลงระเริงเกินกว่าจะได้รับการเยียวยาแล้ว! ”
“แม้แต่คุณชายตระกูลนิ่งแห่งเมืองหลวงก็ยังกล้าถึงขนาดไม่เห็นอยู่ในสายตา! ”
“ฉันแปลกใจอย่างมากว่า ตกลงนายมีอะไรดี? หรือว่าลำพังแค่ทักษะวิชาการแพทย์เล็กน้อยของนายนั้น? ”
“คนอย่างนายนี้ ยังคิดที่จะเข้าสู่ตระกูลหลินของข้า มันช่างหลงใหลและเพ้อเจ้อมากเหลือเกิน! ”
“หลังจากที่ข้ากลับไปแล้วก็จะรีบไปหาคุณป้าหวางเพื่อเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง ข้าไม่เชื่อว่าหลังจากที่ทราบตัวตนที่แท้จริงของนายแล้ว คุณป้าหวางยังจะยอมรับนายที่หลงระเริงแบบนี้เป็นบุตรบุญธรรมอยู่อีกหรือไม่? ”
หลินเห้าก็เสนอตัวขึ้น ยิ้มเยาะและพูดเย้ยหยันขึ้นว่า: “หลินหยุน คุณป้าหวางยังคิดที่จะให้เจ้าบ้านยอมรับในตัวของนาย ให้นายเข้าสู่ตระกูลหลิน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราตระกูลหลิน”
“ฮึ นายฝันไปเถอะ! แม้แต่คุณชายนิ่งนายก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา คนอย่างนายนี้มันช่างหลงระเริงถึงขีดสุดเสียจริง! ”
หลินหยุนกวาดสายตามองไปยังทั้งสองคน ลักษณะท่าทางที่องอาจไร้รูปธรรมได้ระเบิดออกมาจากร่างกาย: “ต่อให้เป็นตระกูลหวางแห่งเมืองหลวงข้าเองก็ถือว่าเป็นเพียงแค่มดแมลงเท่านั้น สำหรับตระกูลนิ่งที่ธรรมดา ๆ ตระกูลหนึ่งจะถือว่ายิ่งใหญ่อะไรกันล่ะ”
มหากษัตริย์ชางฉองที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ปกครองไปทั่วนับหมื่นโลก จะมาสนใจอะไรกับวงศ์ตระกูลคนธรรมดาทั่วไปบนโลกมนุษย์ด้วยล่ะ?
หลินโล่เฉินกับหลินเห้าถูกสยบลงด้วยท่าทางอันองอาจของหลินหยุน และเกิดความตกตะลึงขึ้นซึ่งไม่สามารถที่จะอธิบายได้
ขณะนั้น กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย
ผ่านไปสักพัก จนท่าทางอันองอาจของหลินหยุนได้สูญสิ้นไป พวกเขาทั้งสองคนจึงตั้งสติกลับคืนมาได้
หลินเห้าตะโกนโวยวายขึ้นอย่างเกินเหตุ: “ทุกคนฟังนะ ไอ้หนุ่มนี้ช่างหลงระเริงมากแค่ไหน! เขากล้าที่จะพูดว่าตระกูลหวางแห่งเมืองหลวงเป็นเพียงมดแมลงเท่านั้น! ”
“ตระกูลหวางเป็นถึงหัวหน้าของวงศ์ตระกูลใหญ่ทั้งสี่แห่งเมืองหลวง คือวงศ์ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งที่ทั่วทั้งจีนให้การยอมรับ ส่วนนายเป็นแค่บอดี้การ์ดเล็ก ๆ คนหนึ่ง ซึ่งอย่าคิดว่ามีแม่บุญธรรมแล้วก็กล้าแม้แต่จะดูถูกตระกูลหวาง! ”
“นายไม่เพียงแค่หลงระเริงเท่านั้น ยังจะโง่เง่าอีกด้วย! ”
“คนอย่างนายนี้ถ้าหากเข้าสู่ตระกูลหลิน ไม่ช้าหรือเร็วคงจะสร้างปัญหาความวุ่นวายให้กับตระกูลหลินเป็นแน่! ”
“ใช่เลย ไอ้หนุ่มนี้ช่างหลงระเริงยิ่งนัก! เพียงแค่เศษขนเพียงเส้นหนึ่งของตระกูลหวาง ก็สามารถ ทับถมเขาให้ตายได้แล้ว! ”
ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่คนของตระกูลหลินเท่านั้น แม้แต่คนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ได้ยินคำพูดของ หลินหยุน ต่างก็ทยอยส่ายศีรษะ แล้วมองไปที่เขาด้วยความเหยียดหยาม
สถานะของตระกูลหวางในจีน คือวงศ์ตระกูลใหญ่ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปจริง ๆ ไม่มีผู้ใดสามารถมาสั่นคลอนได้
แม้แต่หลินโร่สุ่ยเอง ก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบเตือน: “พี่หลินหยุน คุณอย่าได้คุยโวโอ้อวดมากเกินไป เพื่อจะได้ไม่ต้องอับอาย ซึ่งอิทธิพลอำนาจของตระกูลหวางนั้น แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากจริง ๆ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “วางใจเถอะ อีกไม่นาน ฉันจะไปที่ตระกูลหวางด้วยตนเองสักครั้ง”
ในชาติที่แล้ว ตระกูลที่เป็นศัตรูสำคัญของหลินหยุน ก็คือตระกูลส้งแห่งจงโจวและตระกูลหวางแห่งเมืองหลวง โดยที่ตระกูลส้งกลับมาผูกมิตรกันแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ตระกูลหวาง
หลินโร่สุ่ยรู้สึกว่าหลินหยุนยิ่งพูดยิ่งโอ้อวดเกินไป ต่อให้เขามีหวางซูเฟินเป็นแม่บุญธรรม ก็ยังคงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปต่อต้านกับตระกูลหวางได้!
“พี่หลินหยุน พวกเราไปกันเถอะ อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับพวกคนเหล่านี้เลย! ” หลินโร่สุ่ยไม่ต้องการที่จะให้หลินหยุนอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาพูดอะไรที่เกินเลยมากไปกว่านี้
“ตกลง” หลินหยุนจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าหลินโร่สุ่ยกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ อีกทั้งเขาเองก็ไม่อยากที่จะพูดมากจนเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ไปกับหลินโล่เฉินและพวกคนเหล่านี้อีก
เห็นว่าหลินหยุนกับหลินโร่สุ่ยเตรียมที่จะเดินจากไป หลินเห้ารู้สึกไม่ค่อยพอใจ: “พี่โล่เฉิน จะปล่อยให้ไอ้หนุ่มนั่นจากไปโดยง่ายดายแบบนี้เลยเหรอ? ”
“เมื่อครู่เขาได้ล่วงเกินคุณชายนิ่ง! ”
หลินโล่เฉินสีหน้าหม่นหมอง: “ไม่ต้องรีบร้อน หลังจากที่กลับไปแล้ว ข้าจะแจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ให้กับเจ้าบ้านทราบด้วยตัวเอง ไอ้คนหลงระเริงที่แม้แต่คุณชายนิ่งก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา เจ้าบ้านไม่มีทางที่จะให้เขาเข้าสู่ตระกูลหลินของพวกเราอย่างเด็ดขาด! ”
หลินเห้าพูดเสียงดังขึ้นว่า: “ถูกต้อง จะต้องนำเรื่องราวที่โง่เขลาที่ไอ้หนุ่มนั่นได้กระทำขึ้นบอกให้กับเจ้าบ้านรับทราบ และยังจะต้องบอกให้กับคุณป้าหวางแห่งบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปให้รับทราบด้วย เพื่อให้ทุกคนได้ทราบว่าไอ้หนุ่มนี้มันช่างโอ้อวดหลงระเริงมากขนาดไหน! ”
หลินเห้าแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ: “หลินหยุน นายก็แค่อาศัยว่ามีแม่บุญธรรมที่ดีไม่ใช่เหรอ? รอให้นายถูกคุณป้าหวางขับไล่แล้ว ดูว่านายยังจะกำเริบเสิบสานได้อีกหรือไม่! ”
ตลอดช่วงเวลาที่เหลือ หลินโร่สุ่ยกับหลินหยุนก็เที่ยวเล่นอยู่ในคลับ จากนั้นก็รู้สึกน่าเบื่ออย่างมาก
หลินโร่สุ่ยนั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ และบ่นว่า: “งานเลี้ยงสุดยอดผู้มีอิทธิพลก็มีเพียงเท่านี้น่ะเหรอ? เมื่อมาเข้าร่วมงานแล้วยังเทียบไม่ได้กับชื่อเสียงคำร่ำลือของงานเสียเลย! ”
หลินหยุนพูดว่า: “คนที่มาที่นี่ ต่างก็มาพร้อมกับวัตถุประสงค์และผลประโยชน์ ถ้าหากมาเล่นเพื่อความสนุกสนาน มันก็ไร้ค่าไม่มีความความหมายอยู่แล้ว”
หลินโร่สุ่ยเห็นด้วยอย่างมาก พยักหน้าหลายครั้ง: “คุณพูดได้ถูกต้อง งั้นพวกเรากลับกันเถอะ! ต่อไปก็ไม่ต้องมาร่วมงานอีกแล้ว”
“ตกลง” หลินหยุนตอบรับ
หลังจากที่ออกมาจากงานเลี้ยงสุดยอดผู้มีอิทธิพลแล้ว หลินหยุนกับหลินโร่สุ่ยก็เดินทางออกจากเมืองซ่างเจียง กลับไปยังมณฑลจงโจว
เมื่อกลับมาถึงมณฑลจงโจวแล้ว หลินหยุนกับหลินโร่สุ่ยก็ได้แยกจากกัน
เหลือเวลาอีกสิบกว่าวันก็ถึงงานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลิน โดยหลินหยุนตัดสินใจบำเพ็ญฝึกฝนอยู่ที่จงโจว เพื่อสะดวกในการติดตามหวางซูเฟินไปเข้าร่วมงานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลิน
ครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรหลินหยุนไม่มีทางที่จะให้หวางซูเฟินต้องอับอายขายหน้า และโมโหเหมือนกับชาติที่แล้ว จนถูกส่งเข้าโรงพยาบาล
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ทันไร ก็ถึงวันที่ยี่สิบหกเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ
เหลืออีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลินแล้ว
วันนี้ หวางซูเฟินโทรศัพท์ไปหาหลินหยุน ให้หลินหยุนมาที่บริษัท ตงหวาง กรุ๊ป เตรียมที่จะออกเดินทางไปตระกูลหลินที่อูซู
หลินหยุนหยุดการบำเพ็ญฝึกฝนลง แม้ว่าครั้งนี้จะบำเพ็ญฝึกฝนสิบวันเต็ม ๆ แต่ว่า ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่เท่ากับการบำเพ็ญฝึกฝนที่ทะเลสาบเยว่หยาเพียงแค่วันเดียว
เมื่อหลินหยุนมาถึงบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป ก็พบว่าหลินตงหัวได้มาถึงแล้ว
เมื่อพบเห็นหลินหยุน หลินตงหัวก็ยิ้มแย้มอย่างอบอุ่นและพูดว่า: “นี่นาย เมื่อเห็นนายครั้งแรก ฉันก็ชื่นชอบนายแล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเรายังจะมีความผูกพันธ์กันในแบบพ่อลูกด้วย! ”
ขณะที่พูด หลินตงหัวก็เดินเข้ามา ตบที่บ่าของหลินหยุน
หลินหยุนก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าจะต้องอธิบายให้กับหลินตงหัวฟังอีกรอบ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้ว
ชัดเจนว่า ในใจของหลินตงหัว ก็คิดถึงลูกของตนเองมาโดยตลอด
ดังนั้น จึงยอมรับในตัวของหลินหยุนได้โดยง่าย
เห็นหลินหยุนไม่พูดจา หลินตงหัวก็หัวเราะเสียงดังขึ้น: “เจ้าเด็กโง่ ยังจะยืนอึ้งอะไรอยู่อีก ทำไมยังไม่เรียกฉันว่าพ่ออีกเหรอ! ”
หลินหยุนเปิดปากขึ้น แต่กลับยากที่จะพูดออกเสียงคำนั้น
แปดร้อยปีแล้ว รวดเร็วดั่งฝัน!
“คุณพ่อ! ” ผ่านไปสักครู่ หลินหยุนจึงได้เรียกคำนี้ออกมาอย่างตื่นเต้น
ชาติที่แล้ว เขาไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ว่าความรักของพ่อหนักแน่นดั่งภูเขา ซึ่งเขาที่ได้เกิดใหม่ในชาตินี้ จึงสามารถรับรู้และเข้าใจได้
เดิมทีความรักของพ่อ ไม่มีเสียง ไม่เปิดเผย ไม่ต้องการผลตอบแทน แค่คุณไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะพลาดไปได้
แต่ว่า เมื่อความรักนี้ไม่เหลือแล้ว คุณจึงจะเข้าใจได้ว่า เดิมทีเสาหลักที่คอยค้ำยันทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ข้างหลังของคุณอย่างเงียบ ๆ นั้น ได้ล้มลงไปแล้ว
“ดี ดี ดีมาก! ” หลินตงตัวตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า และพูดคำว่าดีติดต่อกันสามครั้ง เหมือนกับว่าเป็นการระบายปลดปล่อยความตื่นเต้นตื้นตันภายใจจิตใจ
หวางซูเฟินที่มองดูอยู่ด้านข้างก็แอบเช็ดน้ำตาเล็กน้อย ความคิดถึงที่มีต่อลูกชายมาหลายสิบปี ตอนนี้ความรู้สึกทั้งหมดได้เคลื่อนย้ายมาอยู่ที่ตัวของหลินหยุนแล้ว
ฉินหลันที่อยู่ด้านข้าง ก็แอบเช็ดที่หางตา นั่นแสดงว่า ฉินหลันที่แม้แต่พ่อแม่บังเกิดเกล้าของตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าคือใคร ไม่สามารถที่จะทนมองดูความอบอุ่นภายในครอบครัวแบบนี้ได้
ต่อให้ทั้งสองคนเป็นหญิงแกร่งในวงการธุรกิจ แต่ว่า เมื่อไม่คำนึงถึงสถานะดังกล่าว พวกเธอก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
จากนั้น หลินหยุนก็ได้พูดคุยกับหลินตงหัว ซึ่งหลินหยุนได้เล่าเรื่องราวตอนที่เขาอยู่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแล้วถูกตระกูลเซี่ยรับเลี้ยงดู ให้กับหลินตงหัวฟัง
หลังจากที่ทั้งสองทำความเข้าใจซึ่งกันแล้ว พวกเขาก็เหมือนกับได้เริ่มสนทนากันขึ้นอย่างเปิดเผย โดยความไม่คุ้นเคยเมื่อแรกพบ ได้สูญสิ้นไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พูดคุยกันสักพักแล้ว หวางซูเฟินจึงได้พูดอธิบายขึ้น: “หลินหยุน ที่จริงแล้วพ่อของนายเขามาจากตระกูลหลินแห่งอูซู โดยตระกูลหลินเป็นตระกูลขนาดใหญ่ที่สุดในอูซู เป็นตระกูลที่โด่งดังมีชื่อเสียง”
“การกลับไปครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลินเท่านั้น ฉันยังเตรียมที่จะบอกสถานะของนายให้กับเจ้าบ้านรับทราบ เพื่อให้เขายอมรับในตัวของนายด้วย”