จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 687 กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน
คฤหาสน์ตระกูลหลิน สร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน คือสถานที่กำเนิดตระกูลหลิน
เดิมที เป็นเพียงแค่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนนี้ได้ผ่านการบูรณะซ่อมบำรุงมาหลายครั้ง จนกลายเป็นคฤหาสน์ที่โดดเด่นหลังหนึ่ง
เจ้าบ้านหลินซื่อเฉิง ได้พาผู้บริหารระดับสูงของตระกูลหลินบางส่วน ล่วงหน้ากลับไปที่คฤหาสน์ก่อนเพื่อเตรียมงาน
ตอนนี้ คฤหาสน์ตระกูลหลินประดับด้วยโคมไฟและตกแต่งด้วยผ้าไหมหลากสีสัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นเบิกบานใจ
หลินตงถิงกับคนตระกูลหลินทั้งหมด เมื่อคืนวานได้ออกเดินทางจากตระกูลหลินที่อูซูมาถึงคฤหาสน์เรียบร้อยแล้ว
วันนี้ตอนเช้า ทุกคนต่างก็สลับหมุนเวียนกันมาเข้าเยี่ยมคารวะนายท่านหลินซื่อเฉิง
หลินหยุนได้ติดตามพ่อแม่มา แล้วพบกับคุณปู่ของตนที่ห้องรับแขก
เวลาล่วงเลยไปกว่าแปดร้อยปี จนได้มาพบกับคุณปู่ที่รักและเอ็นดูเขาอีกครั้ง หลินหยุนรู้สึกเหมือนว่าเป็นภาพลวงตาที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง
หลินซื่อเฉิงมีลักษณะท่าทางที่ใจดีมีเมตตาเหมือนกับความทรงจำของหลินหยุน แต่ว่าหลินซื่อเฉิงในตอนนี้จะดูหนุ่มกว่าในความทรงจำของหลินหยุนบ้างเล็กน้อย
วันนี้ ทุกคนเพียงแค่มาเข้าเยี่ยมคารวะผู้อาวุโสตระกูลหลินก่อนล่วงหน้า เพื่อพบปะพูดคุย สนทนาจิปาถะ
หลินหยุนก็ได้พบเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยจำนวนมาก และยังมีพี่น้องที่มีมิตรภาพที่ดีกับเขาอีกหลายคน
แต่ว่า ตอนนี้หลินหยุนยังไม่สามารถที่จะไปทักทายกับพวกเขาได้ เพราะว่าตอนนี้สถานะของเขายังเป็นแค่คนนอก
หลินโล่เฉินกับหลินเห้าและคนอื่น ๆ ยังคงไม่ได้หาเรื่องกับหลินหยุน ซึ่งไม่รู้ว่าจะอดทนไปถึงเมื่อไหร่กัน
ปัจจุบันตระกูลหลินมีผู้อาวุโสที่มีความอาวุโสที่สุดอยู่ห้าท่าน ล้วนเป็นพี่น้องของหลินซื่อเฉิง
ทุกคนของตระกูลหลินในตอนนี้ โดยส่วนใหญ่ต่างก็เป็นลูกหลานของผู้อาวุโสทั้งห้าท่านนี้
วันนี้พูดคุยกันในเรื่องจิปาถะ ไม่พูดคุยเรื่องที่เป็นทางการ
ขณะอยู่ต่อหน้าของผู้อาวุโสทั้งห้าท่าน ทุกคนต่างก็รักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างดี
แต่ว่า ครอบครัวของหลินตงหัวก็ยังคงถูกปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นเคย
หวางซูเฟินได้หาโอกาส พาหลินหยุนมายังด้านหน้าของหลินซื่อเฉิง
“ท่านพ่อ เขาก็คือหลินหยุน”
“หลินหยุน เรียกคุณปู่สิ! ”
“คุณปู่! ” น้ำเสียงของหลินหยุนแฝงไปด้วยความสั่นไหวที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้
หลินซื่อเฉิงเองก็สังเกตไม่เห็น โดยมองไปที่หลินหยุน แล้วพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม: “ไม่เลวทีเดียว! ”
หลินหยุนสามารถรับรู้ได้ว่า คำพูดของหลินซื่อเฉิงไม่ได้เป็นแบบขอไปที แต่เห็นว่าหลินหยุนไม่เลวจริง ๆ
ดูเหมือนว่า ในใจของหลินซื่อเฉิง น่าจะยอมรับในตัวของหลินหยุนแล้ว
หวางซูเฟินได้แสดงท่าทางดีอกดีใจขึ้น: “ขอบคุณท่านพ่อ! ”
หลินตงถิงที่อยู่ด้านข้าง กลับขมวดคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะว่าวันนี้ไม่พูดคุยเรื่องทางการ
ช่วงกี่วันนี้ กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวของหลินตงหัวอยู่กันอย่างสุขสบายที่สุด
แม้ว่า ครอบครัวของพวกเขาจะยังคงถูกคนของตระกูลส่วนใหญ่ปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดียว แต่ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกผู้อาวุโสเหล่านี้ พวกคนเหล่านั้นก็ไม่กล้าจะทำอะไรที่เกินเลย
ดังนั้น ช่วงกี่วันนี้ก่อนที่จะถึงงานเลี้ยงปีใหม่ ต่างก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวของหลินตงหัวมีความสุขสบายใจอย่างที่สุด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงวันตรุษจีนแล้ว
งานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลิน ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ท่ามกลางเสียงกลองและเสียงฆ้อง ผู้อาวุโสตระกูลหลินทั้งห้าท่าน ต่างก็อยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงที่เป็นมงคล และนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องโถง
ด้านนอกประตู ทุกคนของตระกูลหลินกำลังยืนเข้าแถวเพื่อรอเข้าอวยพรวันปีใหม่ต่อผู้อาวุโสทั้ง ห้าท่าน
ทุกคนเข้าสู่ภายในห้องโถงตามลำดับ เพื่ออวยพรปีใหม่ให้กับผู้อาวุโสทั้งห้าท่าน
จากนั้น ก็นั่งลงที่ในห้องโถง
แน่นอนว่า ห้องรับแขกของคฤหาสน์ตระกูลหลิน ได้ผ่านการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพียงพอที่จะให้คนตระกูลหลินที่มีจำนวนมากขนาดนี้ มีที่นั่งกันครบทุกคน
การจัดลำดับที่นั่ง ก็ค่อนข้างพิถีพิถัน ไม่ใช่จัดตามระดับความสามารถ แต่จัดลำดับตามความใกล้ชิดและห่างไกลกันทางสายเลือด
หลินตงหัวเป็นลูกชายคนรองของนายท่านหลินซื่อเฉิง นั่งอยู่ติดกับหลินตงถิง
จนกว่าทุกคนจะนั่งลงกันเรียบร้อย ก็ใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมง
จากนั้น ก็ถึงเวลาที่ผู้อาวุโสทั้งห้าท่านจัดการแก้ไขข้อเรียกร้องและความต้องการของทุกคน
บางคนขอร้องที่จะนำลูกของตนไปทำงานในวิสาหกิจของตระกูลหลิน
บางคนหวังว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนหน้าที่การงานของตนเอง
บางคนหวังที่จะกลับมายังตระกูลหลินที่อูซู
……
ข้อเรียกร้องของคนส่วนใหญ่ ผู้อาวุโสทั้งห้าท่านต่างก็ได้อนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็เพราะว่าเป็นช่วงปีใหม่ เพียงแค่ข้อเรียกร้องไม่เกินไปนัก โดยทั่วไปแล้วผู้อาวุโสทั้งห้าท่านก็จะไม่ปฏิเสธ
ในที่สุด ก็ไม่มีใครที่ลุกยืนขึ้นมาพูดแล้ว
“ยังมีใครอีกไหม? ” นายท่านหลินซื่อเฉิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
ไม่มีใครพูดอะไร
ในที่สุดหวางซูเฟินก็ได้เดินออกมา
“เจ้าบ้าน ไม่นานมานี้ฉันได้รับบุตรบุญธรรมมาหนึ่งคน หวังว่าเจ้าบ้านจะยอมรับ ให้เขาเข้าไปอยู่ในหนังสือบันทึกลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูลหลินด้วย! ”
ถ้าหากหลินหยุนไม่ได้เข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน สำหรับหลินหยุนแล้ว เขาก็ยังเป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น
แต่เมื่อเข้าสู่ตระกูลหลินแล้ว ถ้าอย่างนั้น เขาก็สามารถที่จะมีสิทธิเหมือนกับลูกหลานตระกูลหลินคนอื่น
แบบนี้ถือว่าหวางซูเฟินกำลังช่วยหลินหยุนปูทาง กล่าวได้ว่ามีเจตนาตั้งใจอย่างที่สุด
เพราะว่า แม้บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่กลับมีรากฐานที่ตื้นเขิน ส่วนตระกูลหลินมีประวัติมายาวนานนับร้อยปี มีรากฐานที่มั่นคงแน่นหนา
หากว่าตระกูลหลินสามารถรับหลินหยุนได้ ถ้าอย่างนั้นสำหรับหลินหยุนแล้ว จะถือเป็นผลดีมีประโยชน์อีกมากมาย
หลินซื่อเฉิงสีหน้าท่าทางเฉยเมย ไม่ได้ตอบกลับอะไร เหมือนกับว่ากำลังรออะไรอยู่
ส่วนผู้อาวุโสตระกูลหลินสี่ท่านที่เหลือ ได้มองไปที่หวางซูเฟิน ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“เหลวไหลสิ้นดี! เป็นเพียงคนนอก จะสามารถมีชื่อเข้าอยู่ในหนังสือบันทึกลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูลหลินได้อย่างไร! ” หลินตงเย่วตะโกนพูดขึ้นเป็นคนแรก
สวี่เหม่ยเย้นรีบช่วยพูดขึ้น: “ถูกต้อง ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลหลินเราสักหน่อย ทำไมถึงจะต้องเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินด้วยล่ะ! ”
“พี่สะใภ้ ฉันว่าคุณคงคิดถึงลูกชายจนเป็นบ้าไปแล้วแน่เลย! โดยได้ไปหาใครมาสักคนหนึ่ง แล้วก็รับเขามาเป็นลูกชายของตัวเอง”
“คุณรับเขาเป็นลูกซึ่งพวกเราไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ แต่ว่า คุณอย่าได้คิดที่จะให้เขาเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินของพวกเรา! ”
หลินเจียเหวินลูกชายคนโตทางสายเลือดของคุณปู่สี่ พูดขึ้นว่า: “ฉันก็คัดค้าน ผู้ที่ไม่ใช่ตระกูลเดียวกัน จิตใจของเขาก็คงต้องแตกต่างกันด้วย! ผู้ที่ไม่ใช่สายเลือดตระกูลหลินของเรา ไม่มีทางเข้าอยู่ในหนังสือบันทึกลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูลหลินได้อย่างแน่นอน! ”
“ถูกต้อง พี่สะใภ้ทำไมถึงไม่นำบุตรบุญธรรมคนนี้ไปที่ตระกูลหวางล่ะ! อิทธิพลอำนาจของตระกูลหวางของคุณนั้นยังแข็งแกร่งเหนือกว่าตระกูลหลินของพวกเราเสียอีก ให้เขาเข้าไปอยู่ในตระกูลหวางยังจะดูดีมีอนาคตกว่าอยู่ในตระกูลหลิน” หลินตงเย่วเยาะเย้ยถากถาง
หานเจียวเจียวยิ้มเยาะและพูดขึ้นว่า: “ฉันว่าประธานกรรมการหวาง คุณคงไม่ได้เป็นเพราะว่าไม่มีลูกชายลูกสาวสืบทอด เกรงว่าในอนาคตจะได้รับส่วนแบ่งมรดกทรัพย์สินน้อย ดังนั้นจึงได้รับบุตรบุญธรรมเพื่อมารับส่วนแบ่งมรดกทรัพย์สินล่ะสิ? ”
ส่วนคนอื่นไม่มีใครพูดคัดค้านขึ้นอีก แต่ว่า สายตาที่มองไปยังหวางซูเฟิน กลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ชัดเจนเลยว่า คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าที่หวางซูเฟินให้บุตรบุญธรรมของเธอเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ก็เพราะต้องการที่จะช่วงชิงส่วนแบ่งมรดกทรัพย์สิน
หวางซูเฟินโมโหมากจนถึงกับหน้าขาวซีด และจ้องมองไปที่หลินตงเย่วอย่างโกรธแค้น: “นายหมายความว่าอย่างไร ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับตระกูลหวางเป็นอย่างไรนายไม่รับรู้บ้างเลยเหรอ? ”
“ฉันให้หลินหยุนเข้าอยู่ในตระกูลหลิน เพียงแค่ต้องการให้สถานะของเขาเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้แล้ว ไม่มีความคิดความต้องการอะไรอย่างอื่นเลย”
“ถ้าหากพวกนายไม่เชื่อ ตอนนี้ฉันสามารถที่จะลงรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ว่า มรดกทรัพย์สินของตระกูลหลินทั้งหมด ฉันไม่ต้องการอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว”
สวี่เหม่ยเย้นเอามือกอดอก ยิ้มเยาะและพูดว่า: “พูดได้น่าฟังทีเดียวเชียว เมื่อเห็นด้วยให้เขาเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นจะแบ่งหรือไม่แบ่งมรดกทรัพย์สินของตระกูลหลิน ก็ไม่ใช่ว่าฉันกับเธอจะเป็นคนตัดสินสักหน่อย! ”
“ถูกต้อง ไม่ว่าเธอจะพูดได้น่าฟังมากเท่าไหร่ พวกเราตระกูลหลินไม่มีทางที่จะให้คนนอกเข้ามาอยู่ในตระกูลโดยเด็ดขาด! ” หลินตงเย่วพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว
หลินตงถิงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “น้องสะใภ้ ในเมื่อทุกคนต่างก็คัดค้านกับเรื่องนี้ ฉันคิดว่าหยุดพักไว้ชั่วคราวก่อนเถอะ! ช่วงวันปีใหม่ อย่าได้เป็นทุกข์ไม่สบายใจเพราะคนนอกเลย! ”
หวางซูเฟินมองไปที่หลินตงถิงอย่างเย็นชา: “คนนอก? หลินหยุนเป็นบุตรบุญธรรมของฉันพวกนายเอาแต่พูดว่าเป็นคนนอก หรือกำลังพูดว่าฉันก็เป็นคนนอกเช่นกันใช่ไหม? ”
หลินตงถิงไม่กล้าที่จะพูดต่อ ต่อให้ในใจคิดว่าหวางซูเฟินเป็นคนนอก แต่ว่า ไม่มีใครที่จะกล้าพูดคำนี้ออกมาต่อหน้านายท่านหลินซื่อเฉิง
“น้องสะใภ้ เธอพูดแบบนี้มันค่อนข้างจะไม่มีเหตุผลแล้ว! ทุกคนเคยมีใครพูดกันเหรอว่าเธอเป็น คนนอก? ”
หวางซูเฟินพูดขึ้นอย่างเย็นชา: “ฉันกับตงหัวไม่มีลูก แม้ว่าหลินหยุนเป็นเพียงบุตรบุญธรรมของฉัน แต่ว่า พวกเราเตรียมที่จะให้เขาเป็นลูกแท้ ๆ! ”
“พวกนายขัดขวางไม่ให้เขาเข้าอยู่ในตระกูลหลิน ซึ่งก็คิดว่าฉันกับตงหัวก็ไม่ใช่คนตระกูลหลินเหมือนกันใช่ไหม? ”
ไม่มีใครพูดต่อ เมื่อครู่คนที่โวยวายหนักหนาอย่างสวี่เหม่ยเย้นกับหานเจียวเจียว เพียงแค่แสดงท่าทางยิ้มเยาะ แต่กลับไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ
แม้ว่าในใจของพวกเขาจะรังเกียจหลินตงหัวกับหวางซูเฟิน แต่ว่า ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าพูดว่าหลินตงหัวไม่ใช่คนตระกูลหลิน