จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 689 พวกนายไม่สามารถขัดขวางได้
หลินซื่อเฉิงปิดตาลงอย่างจำใจ พี่น้องห้าคน มีตั้งสี่คนที่คัดค้าน
แม้ว่าหลินซื่อเฉิงต้องการที่จะตอบรับ แต่น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ
“ซูเฟิน หรือว่าเรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง? ”
หวางซูเฟินเข้าใจถึงความลำบากใจของหลินซื่อเฉิง อีกทั้งหลินหยุนเองก็ไปล่วงเกินตระกูลนิ่ง ไม่ว่าอย่างไรคนของตระกูลหลินก็ไม่มีทางที่จะให้เขาเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินได้
“ท่านพ่อ ทำให้ท่านต้องเหนื่อยใจแล้ว ในเมื่อทุกคนต่างก็คัดค้าน ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็เอาไว้ทีหลังแล้วกัน! ”
หวางซูเฟินยอมที่จะสละสิทธิ
“ข้าเองต่างหากที่ต้องขอโทษเธอด้วย! ” นายท่านหลินซื่อเฉิงถอนหายใจอย่างจำใจ
หวางซูเฟินถอยกลับไปอยู่ด้านข้างของหลินตงหัว แล้วแอบจ้องมองไปที่หลินหยุน: “ไอ้เด็กคนนี้ ต่อไปจะทำอะไร ก็คิดให้มันมากหน่อย ไม่ใช่ว่าใครก็คิดที่จะไปล่วงเกินได้! ”
หลินหยุนยักไหล่ ทำได้เพียงรับฟังคำตักเตือนอย่างเชื่อฟัง: “ทราบแล้วแม่บุญธรรม”
หลินเห้ามีสีหน้าท่าทางในแบบผู้ชนะ แล้วก็กลับไปยังที่นั่งของตนเอง ขณะที่เดินผ่านด้านข้างของหลินหยุนนั้น ก็ได้พูดอย่างเย็นชาขึ้นว่า: “ฉันเคยพูดเอาไว้แล้วว่า คนที่ไม่ได้เรื่องอย่างนายนี้ยังคิดที่จะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”
หลินหยุนมองไปที่เขา และพูดว่า: “หากว่าฉันจะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน พวกนายไม่มีใครที่จะสามารถมาขัดขวางได้”
หลินเห้ายิ้มเยาะเสียงดัง: “คุณป้าหวาง คุณได้ยินแล้วล่ะสิ! ไอ้หนุ่มนี้ช่างหลงระเริงขนาดไหนคิดไม่ถึงว่าคุณจะรับคนแบบนี้มาเป็นบุตรบุญธรรมได้! ”
“ฉันจะบอกว่า รีบขับไล่เขาออกไปเถอะ เพื่อจะได้ไม่ต้องนำปัญหามาให้กับคุณอีก! ”
หวางซูเฟินเองก็รู้สึกว่าหลินหยุนหลงระเริงเกินไปหน่อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเห้า เธอเองก็ยังคงปกป้องหลินหยุน
“ฮึ เรื่องของฉัน ไม่จำเป็นต้องให้เด็กอย่างนายเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรอก”
แต่ว่า หวางซูเฟินกลับแอบจ้องมองไปที่หลินหยุน เพื่อเตือนเขาว่าอย่าได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าอีก
ผู้อาวุโสตระกูลหลินทั้งห้าท่านต่างก็แอบส่ายศีรษะ แม้แต่หลินซื่อเฉิงก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของ หลินหยุนนั้นโอ้อวดเกินไปหน่อย
ส่วนคนอื่นของตระกูลหลิน ก็ได้เยาะเย้ยถากถางกันยกใหญ่ และพากันต่อว่าหลินหยุนว่าเป็นคนหลงระเริงที่ทั้งโอ้อวดและโง่เขลา
หลินโล่เฉินมองไปยังหลินหยุนอย่างเหยียดหยาม และพูดขึ้นด้วยความดูถูกว่า: “คนหลงระเริงและโง่เขลาอย่างนายนี้ คู่ควรเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินของพวกเราด้วยเหรอ? ฝันกลางวันแสก ๆ! ”
หลินหยุนไม่ได้สนใจในคำเยาะเย้ยของทุกคน โดยได้แอบคำนวณเวลาเวลาอยู่
ซูเหลียงจื่อคงน่าจะพาคนที่สำคัญคนนั้น มาใกล้ถึงแล้ว
เวลานั้น ใครก็ไม่สามารถขัดขวางหลินหยุนให้เข้ามาอยู่ในตระกูลหลินได้
โดยที่หลังจากหวางซูเฟินแล้ว ก็ไม่มีใครออกมาพูดอีก
งานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลินเข้าสู่ช่วงต่อไป คือการประเมินผลของตระกูล
นี่คือการทดสอบคนรุ่นใหม่ของตระกูลหลินโดยเฉพาะ โดยลูกหลานตระกูลหลินทุกคน หลังจากที่อายุครบสิบแปดปีแล้ว ล้วนจะต้องได้รับการประเมินผลจากตระกูล
เนื้อหาการประเมินผลก็คือ จากการที่ได้นำเงินทุนส่วนกลางของตระกูล ไปใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจแล้ว ซึ่งจะมาดูกันว่าผู้ใดสามารถสร้างกำไรผลประโยชน์ได้มากที่สุด
หลินโล่เฉินคือผู้ที่อายุครบสิบแปดปีที่อยู่ในการประเมินผลของตระกูล โดยอาศัยอัตราผลกำไรสิบห้าเท่า ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับที่หนึ่ง และยังได้ทำลายสถิติลงด้วย กลายเป็นคนแรกที่ได้รับคะแนนผลการประเมินของตระกูลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลิน
นี่ก็คือเหตุผลที่หลินโล่เฉินได้ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะที่หนึ่ง ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลหลิน
ครั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมรับการประเมินผลของตระกูลมีทั้งสิ้นสิบสองคน โดยหลินโร่สุ่ยก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย
นายท่านหลินซื่อเฉิงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า: “ตามธรรมเนียมของพวกเราตระกูลหลินแล้ว ต่อไป ก็คือช่วงเวลาการตรวจสอบผลการประเมินของตระกูลแล้ว”
“ธรรมเนียมนี้ มีขึ้นเพื่อให้ลูกหลานพวกเราตระกูลหลิน ได้สัมผัสถึงความยากลำบากในการเริ่มต้นธุรกิจ รับรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีครองครองอยู่ในปัจจุบันนี้ ต่างก็หามาด้วยความยากลำบาก ซึ่งทั้งหมดเป็นผลมาจากการมุ่งมั่นทำงานหนักของพวกผู้อาวุโส เพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังรู้จักที่จะหวงแหน”
“ปีนี้คนที่เข้าร่วมการประเมินผลนั้น มีใครบ้างล่ะ? ยืนออกมาได้เลย! ”
ลูกหลานตระกูลหลินที่มีอายุครบสิบแปดปีจำนวนสิบสองคน ค่อย ๆ เดินออกมาสู่ใจกลางของ ห้องโถง ด้วยสีหน้าท่าทางที่แตกต่างกันออกไป
หลินเห้ากับหลินโร่สุ่ยก็อยู่ในจำนวนนี้ด้วย
ใบหน้าที่งดงามของหลินโร่สุ่ยมีความกังวลอยู่บ้าง เหมือนกับว่าไม่ค่อยมีความมั่นใจ
หลินเห้ากลับเป็นตรงกันข้าม เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยอง เหมือนมั่นใจว่าจะเป็นผู้ชนะ
ทุกคนโดยรอบต่างก็พากันวิพากษณ์วิจารณ์
“ผู้ชนะในการประเมินผลของตระกูลในครั้งนี้ คงน่าจะเป็นหลินเห้าล่ะสิ! ย่านฉิน เสี่ยวเห้าลูกของเธอมีอนาคตที่สดใสทีเดียว! ”
“ยังไม่แน่นอน เหม่ยเย้น ได้ยินว่าโร่สุ่ยนั้นได้ไปรู้จักกับบุคคลยิ่งใหญ่ผู้ลึกลับคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะทำกำไรได้มากกว่าก็เป็นได้” แม่ของหลินเห้าพูดอย่างถ่อมตัว แต่สายตากลับแสดงออกถึงท่าทางที่กังวลอยู่ไม่น้อย เกรงว่าหลินโร่สุ่ยจะช่วงชิงรางวัลผู้ชนะของหลินเห้าไปอย่างไรอย่างนั้น
หญิงวัยกลางคนที่อ้วนเล็กน้อยคนหนึ่งได้ถอนหายใจและพูดขึ้นว่า: “คาดว่าในครั้งนี้หลินหรงของพวกเรา ก็คงจะเป็นอันดับสุดท้ายอีก! ไอ้หนุ่มนี้ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังจะเอาแต่เล่นเกมส์ทั้งวันอยู่อีก โธ่ ถ้าหากมีอนาคตสักครึ่งหนึ่งของหลินเห้า ฉันก็ขอบคุณอย่างที่สุดแล้ว”
แม่ของหลินเห้าพูดอย่างถ่อมตัวว่า: “พี่ฉีอย่าพูดแบบนี้สิ หลินหรงของเธอก็แค่ห่วงเล่นเท่านั้นเอง แต่ก็ยังถือว่าเป็นเด็กที่ฉลาด เพียงแค่กลับมาตั้งใจ ต่อไปจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
หานเจียวเจียวยิ้มและพูดว่า: “พูดได้ถูกต้องเลย ถึงแม้จะยังไม่ได้เรื่อง แต่เธอเองก็ยังมีลูก ซึ่งยังดีกว่าใครบางคนหลายเท่านัก”
แม่ของหลินหรงมองไปที่หวางซูเฟินที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก และพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า: “ใช่สิ คนรุ่นพวกเรานี้ แม้ว่าจะไม่มีความสามารถอะไร แต่พวกเราก็มีทายาทสืบสกุล! ”
“ไม่เหมือนกับใครบางคน ต่อให้ตนเองจะประกอบธุรกิจได้ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน ในอนาคตก็ต้องมอบให้กับคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่เหรอ? มิน่าล่ะถึงได้ไปหาเด็กคนหนึ่งมาแล้วก็รับเป็นบุตรบุญธรรม! ”
หานเจียวเจียวก็พลันกระซิบขึ้นว่า: “โอ้โอ้ ฉันได้ยินมาว่า มีบางคนที่ตอนก็นี้ยังไม่มีลูกเลย พวกเธอรู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร? ”
“เพราะอะไรเหรอ? กี่คนนั้นถามขึ้นด้วยความแปลกใจ”
หานเจียวเจียวพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่เหยียดหยาม: “ก็เพราะว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้น่ะสิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า……”
คำพูดของผู้หญิงเหล่านี้ช่างเลวร้ายน่าโมโหเสียจริง
หวางซูเฟินโกรธจนหน้าเขียว ตัวสั่นไปหมดแล้ว
ฉินหลันรีบกุมมือของหวางซูเฟินเอาไว้: “ประธานกรรมการ อย่าได้โมโหไปเลย คนพวกนี้ตั้งใจที่จะทำให้คุณโกรธ อย่าได้ติดกับเป็นอันขาด! ”
หลินตงหัวก็มีสีหน้าท่าทางที่โมโห และมองไปที่หวางซูเฟินด้วยความรู้สึกผิด: “ซูเฟิน ขอโทษด้วย คือฉันเองที่ไม่ได้เรื่อง จึงทำให้คุณต้องได้รับความอับอายไปด้วย! ”
หวางซูเฟินพยายามที่จะควบคุมให้ตนเองใจเย็นลง: “นี่มันไม่เกี่ยวกับคุณ”
ไม่ใช่ว่าหวางซูเฟินไม่ต้องการลูก แต่เพราะว่ามีบทเรียนจากอดีตแล้ว เธอกังวลว่าหากมีลูกอีก ตระกูลหวางก็คงจะต้องลงมืออีกเป็นแน่
ในปีนั้นความปวดร้าวทรมานที่ลูกได้สูญหายไป หวางซูเฟินจึงไม่ต้องการที่จะเจ็บปวดแบบนั้นอีก
นอกเสียจากว่าวันหนึ่งเธอสามารถที่จะต่อต้านตระกูลหวางได้แล้ว เธอจึงกล้าที่จะมีลูกอีกครั้ง
หลินหยุนสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก ร่างกายแสดงออกถึงเจตนาสังหารอย่างรุนแรง ถ้าหากคนเหล่านี้ไม่ใช่คนตระกูลหลิน เมื่อครู่หลินหยุนคงจะลงมือจัดการไปแล้ว
“แม้ว่าคุณแม่จะมีท่าทางที่ไม่ดีกับพวกเขา แต่ก็ไม่เคยที่จะปฏิบัติให้ร้ายต่อคนตระกูลหลิน”
“คิดไม่ถึงว่า คำพูดของพวกญาติพี่น้องเหล่านี้จะโหดร้ายยิ่งนัก”
หลินตงหัวถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า: “ในฐานะที่เป็นผู้ชาย กลับไม่มีความสามารถแม้แต่จะปกป้องผู้หญิงของตนเอง เหอะเหอะ ฉันช่างล้มเหลวเสียจริง! ”
หวางซูเฟินพูดขึ้นอย่างเศร้าใจ: “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ถ้าหากลูกของพวกเรายังอยู่ ตอนนี้พวกเขาคงจะได้เพียงแค่อิจฉา ฉันจะอบรมบ่มเพราะเขาให้เป็นอัจฉริยะในวงการธุรกิจ แม้แต่หลินโล่เฉินก็คงทำได้เพียงแต่แหงนหน้ามองลูกของพวกเราเท่านั้น! ”
หลินหยุนก้มหน้าลง ร่างกายเย็นยะเยือกมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ทันใดนั้น หลินหยุนก็เงยหน้ามองไปที่ประตู ซูเหลียงจื่อไม่รู้ว่าปรากฏตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็พยักหน้าให้กับหลินหยุน
จิตใจที่สงบนิ่งของหลินหยุน ขณะนี้กลับตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว
“เวลานี้ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว! ”
หลินหยุนเดินไปยังด้านหน้าของหวางซูเฟินในทันที และคุกเข่าลงไปที่พื้น: “คุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคารพ ลูกชายไม่กตัญญู ได้โปรดรับการคารวะจากฉันด้วย! ”
หวางซูเฟินไม่เข้าใจถึงความหมายของหลินหยุน และรีบพูดขึ้นว่า: “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย รีบลุกขึ้น! ”
หลินหยุนไม่ลุกขึ้น แต่กลับมองไปยังหวางซูเฟินด้วยความรู้สึกผิด: “ที่จริงแล้ว ฉันก็คือลูกคนนั้นของท่านที่ได้สูญหายไป! ”
หวางซูเฟินตกใจ ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แต่ว่า ครู่เดียวจากนั้น เธอก็ตั้งสติกลับคืนก็ได้
“นายพูดอะไร? ” เหมือนกับว่าไม่กล้าที่จะเชื่อคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ หวางซูเฟินจึงถามขึ้นอีกครั้ง
หลินหยุนจึงได้พูดซ้ำขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้งว่า: “ฉันก็คือลูกคนนั้นของท่านที่ได้สูญหายไปในปีนั้น”
ทุกคนเงียบกริบกันไปทั้งหมด!