จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 690 พยาน
ก่อนหน้านั้นตอนที่หลินหยุนคุกเข่าลงให้กับหวางซูเฟิน ก็ได้ดึงดูดสายตาของทุกคนแล้ว
เมื่อหลังจากที่ฟังหลินหยุนพูดแล้ว ทุกคนของตระกูลหลินที่อยู่ในห้องโถง ต่างก็ตกตะลึงกันทั้งหมด แล้วมองไปที่หลินหยุนกันด้วยความเหลือเชื่อ
แต่ว่า ทุกคนก็ตั้งสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน เพราะถ้าหากหลินหยุนเป็นลูกชายแท้ ๆ ของหวางซูเฟินแล้ว ทำไมจะต้องไปเป็นบุตรบุญธรรมของหวางซูเฟินด้วยล่ะ?
ซึ่งชัดเจนว่านี่มันไม่สมเหตุสมผล
“ฮึ ไอ้หนุ่มนี้ช่างทำทุกวิธีการเสียจริง รับแม่บุญธรรมแล้ว ยังต้องการที่จะรับแม่บังเกิดเกล้าอีกเหรอ? ”
“หน้าด้านจริง ๆ! ฉันมองข้ามระดับความหน้าด้านไร้ยางอายของไอ้หนุ่มนี้ไปแล้วจริง ๆ ด้วย”
หลินเห้าแอบเดินมามายังด้านข้างของหลินโล่เฉิน ถามขึ้นว่า: “พี่โล่เฉิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไอ้หนุ่มนี้มาไม้ไหนกันแน่? ”
หลินโล่เฉินพูดอย่างเย็นชาว่า: “สถานะบุตรบุญธรรมดูท่าแล้วคงจะไม่มีทางเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินได้ งั้นถ้าหากเป็นลูกแท้ ๆ ก็เป็นสายเลือดของตระกูลหลินโดยตรง ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาคือคนของตระกูลหลิน”
“ไอ้หนุ่มนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ตกลงคิดจะทำอะไรกันแน่? ”
หลินเห้าตกใจอย่างมาก: “เขาคงไม่ใช่สายลับที่ศัตรูส่งมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นทำไมถึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินด้วย? ”
หลินโร่สุ่ยตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทว่า เธอไม่ได้สงสัยในตัวของหลินหยุน แต่ตะลึงที่ว่าที่จริงแล้วหลินหยุนคือลูกชายแท้ ๆ ของคุณป้าหวาง!
ทันใดนั้น สาวน้อยก็ดีอกดีใจขึ้น: “ดีมากเลย ถ้าหลินหยุนคือลูกชายแท้ ๆ ของคุณป้าหวาง ถ้าอย่างนั้นเขาก็คือพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉัน! ”
หลินโร่หลันรีบพูดถากถางขึ้นทันที: “อย่าเพิ่งดีใจไปก่อน ฉันคิดว่าเขาคงเป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวง จึงทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ตอนนี้คิดต้องการที่จะปลอมเป็นลูกชายแท้ ๆ ของคุณป้าหวาง มันช่างหน้าด้านไร้ยางอายเสียจริง! ”
หลินตงหัวมองไปที่หลินหยุนด้วยสีหน้าท่าทางที่ตื่นเต้น พูดเสียงสั่นขึ้นว่า: “นายมีหลักฐานไหม? นายพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่าเป็นลูกของพวกเราโดยไม่มีหลักฐาน แล้วพวกเราจะเชื่อนายได้อย่างไร? ”
“ต้องทราบด้วยนะว่า ตอนนั้นที่พวกเราพลัดพรากจากลูก ลูกเพิ่งมีอายุเพียงสองขวบ ซึ่งไม่สามารถจำได้หรอกว่าพวกเรามีรูปลักษณ์หน้าตาอย่างไร! ”
หวางซูเฟินพลันพูดขึ้นอย่างเย็นชา: “ไม่ต้องถามหรอก นี่มันคงเป็นไปไม่ได้! ”
จากนั้น หวางซูเฟินก็จ้องมองไปที่หลินหยุน และตวาดใส่อย่างเย็นชา: “ไอ้เด็กคนนี้ นายตกลงคิดจะทำอะไรกันแน่? ”
ฉินหลันที่อยู่ด้านข้าง ก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในจิตใจ นอกจากหลินโร่สุ่ยแล้ว เกรงว่าเธอคงเป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อมั่นในตัวหลินหยุนแล้ว
เพราะว่า ฉินหลันได้เคยสงสัยมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ถูกหวางซูเฟินปฏิเสธไป
หลินหยุนไม่ได้รีบร้อน เขารู้ว่าหวางซูเฟินคงไม่ยอมรับเขาได้โดยง่ายแน่ เป็นเพราะว่าเธอใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าใส่ใจ ดังนั้นจึงกลัวที่จะสูญเสีย
กลัวว่าถ้าหากหลินหยุนเป็นตัวปลอม เธอก็คงจะต้องดีใจไปโดยเปล่าประโยชน์
เธอสูญเสียลูกไปแล้วหนึ่งครั้ง จึงไม่ต้องการที่จะประสบอีกเป็นครั้งที่สอง
หลินหยุนพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “หลายปีมานี้ ฉันได้ตามหาพ่อแม่บังเกลิดเกล้ามาโดยตลอด ยังดีที่สวรรค์มีตาคอยช่วยเหลือคนที่พากเพียรพยายาม ในที่สุดฉันก็ตามหาจนพบ”
“ฉันรู้ดีว่าคุณไม่เชื่อ แต่ว่า วันนี้ฉันตั้งใจพาคนผู้หนึ่งมาโดยเฉพาะ”
พูดจบ หลินหยุนหันหน้าไป แล้วพยักหน้าให้กับซูเหลียงจื่อ
หญิงชราที่มีอายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่งเดินตามซูเหลียงจื่อเข้ามาด้านในห้องโถง
หลินตงเย่วตกใจ: “เขาไม่ใช่คนของพวกเราตระกูลหลิน เขาเข้ามาด้านในได้อย่างไร? ”
“พวกยามล่ะ? เป็นแค่ของตกแต่งเหรอหายหัวไปไหนหมด? ”
หลินตงเย่วตะโกนขึ้นเสียงดัง แต่ทุกคนก็ละเลยไปชั่วคราว ตอนนี้ ความสนใจของทุกคน ต่างก็ จดจ้องอยู่ที่ตัวของผู้หญิงคนนั้นที่ซูเหลียงจื่อได้พาเข้ามา
เมื่อหวางซูเฟินเห็นผู้หญิงคนนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงลง ร่างกายไหวเอนไปมา แทบจะล้มลงเลยทีเดียว
ยังดีที่ฉินหลันได้ประคองเธอไว้จากด้านหลัง
“ท่านคือคุณหวางล่ะสิ? หญิงชราเอ่ยปากถามขึ้น พร้อมกับสีหน้าท่าทาง ที่ประหม่าตื่นเต้นเล็กน้อย ซึ่งถูกคนจำนวนมากจับจ้อง จึงเหมือนกับว่าจะอึดอัดอยู่บ้าง”
หวางซูเฟินถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นว่า: “คุณคือน้าหลันใช่ไหม? ”
“ใช่ฉันเอง ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านจะยังจำฉันอีก! ” หญิงชราพูดขึ้นอย่างดีใจ
แต่ว่า จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที โดยเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่รู้สึกผิด
“คุณหวาง ฉันต้องขอโทษคุณด้วย! ในปีนั้น คุณกงได้ให้ฉันพาเด็กหลบหนีเอาตัวเรารอด และช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ แต่ว่า ฉันกลับนำเด็กไปฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า จากนั้นเมื่อฉันได้ไปที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าอีกครั้ง จึงรู้ว่าได้ถูกคนรับเลี้ยงดูไปแล้ว”
“ฉันมีความละอาย! ฉันจึงไม่กล้าที่จะมาพบกับท่าน! ”
“โชคดีที่คุณชายน้อยได้มาหาฉัน วันนี้ฉันจึงกล้าที่จะมาหาท่าน ไม่อย่างนั้นในชาตินี้ต่อให้ต้องตายไป ฉันก็ยังคงไม่กล้าที่จะมาพบกับท่าน! ”
คุณกง ก็คือคนที่หวางซูเฟินฝากหลินหยุนเอาไว้ เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของหวางซูเฟิน แต่ว่า กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของตระกูลหวาง
หวางซูเฟินพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “คุณทำผิดต่อฉัน และทำผิดต่อคนของตระกูลกง พวกเขายอมที่จะสละชีวิตของตนเอง เพื่อแลกกับโอกาสที่ให้คุณนำเด็กหนีเอาตัวรอดไป แต่คุณกลับทำลูกของฉันสูญหายไปในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า! ”
“ทำให้พวกเราต้องพลัดพรากจากกันมานานหลายปี! ”
น้าหลันร้องไห้น้ำตาไหลกับความผิดและละอายใจของตน: “คุณหวัง ฉันเองก็ไม่มีทางเลือก จึงได้นำคุณชายน้อยไปฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า”
“ในตอนนั้นที่ฉันอุ้มคุณชายน้อยหนีออกมาจากตระกูลกงนั้น ได้เกิดหกล้มลง บริเวณไหล่ของคุณชายน้อยได้รับบาดเจ็บ ในตอนนั้นฉันไม่มีเงินเพื่อรักษาบาดแผลของคุณชายน้อย และฉันเองก็ไม่กล้าที่จะไปหาคนอื่นเพื่อของความช่วยเหลือ จึงทำได้เพียงมอบเขาให้กับสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า”
สีหน้าของหวางซูเฟินลดความดุดันลงเล็กน้อย ก็เพราะน้าหลันหมดหนทางจริง ๆ จึงได้นำลูกของเธอฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
โดยไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าเป็นภาระจึงได้ทอดทิ้ง แบบนี้ยังถือว่าสมเหตุสมผลน่าจะอภัยให้ได้
หวางซูเฟินจ้องมองไปที่น้าหลัน และถามขึ้นว่า: “ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ซึ่งคุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาก็คือลูกของฉัน? ”
น้าหลันพูดว่า: “ในตอนนั้นคุณชายน้อยได้รับบาดเจ็บอย่างหนักที่บริเวณไหล่ คงจะต้องมีรอยแผลเป็นอยู่อย่างแน่นอน เขาจะใช่ลูกของคุณหวางหรือไม่นั้น แค่เห็นก็ทราบได้แล้ว”
สายตาของหวางซูเฟิน มองไปที่ไหล่ของหลินหยุน และพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า: “ข้างซ้ายหรือว่าข้างขวา? ”
น้าหลันตอบว่า: “ข้างซ้าย แม้ว่าจะผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว แต่ฉันก็ยังจำได้อย่างชัดเจน”
หวางซูเฟิน หลินตงหัว ฉินหลันรวมถึงทุกคนที่อยู่ในห้องโถง สายตาต่างก็จับจ้องมายังบริเวณไหล่ข้างซ้ายของหลินหยุนทั้งหมด
หลินหยุนถลกเสื้อขึ้นอย่างช้า ๆ เปิดบริเวณช่วงไหล่ออกมา ด้านบนมีรอยแผลเป็นที่เด่นชัด แต่ก็จางลงไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะสิบกว่าปีแล้ว
หวางซูเฟินมองไปยังหลินหยุนด้วยความเหลือเชื่อ: “นายคือลูกของฉันจริง ๆ เหรอ? ”
น้ำเสียงของหลินหยุนก็ตื่นเต้นบ้างเล็กน้อย: “ท่านยังจำได้ไหมว่าในตอนนั้นฉันเคยบอกให้ท่าน ตกลงรับปากกับฉันเอาไว้เรื่องหนึ่ง? ”
“ในอนาคตถ้าหากฉันทำเรื่องอะไรที่ผิดพลาดไป หวังว่าท่านจะสามารถให้อภัยได้”
“ฉันต้องการให้ท่านยกโทษให้อภัยต่อฉัน ที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับท่านตั้งแต่ตอนแรก”
หวางซูเฟินนึกขึ้นได้อย่างฉับพลัน: “มิน่าล่ะที่นายได้คอยช่วยเหลือบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปมาโดยตลอด โดยที่ไม่ต้องการผลตอบแทนใด ๆ ตอนนี้ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้ว”
“ในความเป็นจริง ตอนแรกที่ฉันพบกับนายนั้น ฉันก็รู้สึกว่าเหมือนมีพลังบางอย่างแอบแฝงอยู่ที่คอยดึงดูดฉัน ทำให้ฉันรู้สึกว่าสนิทสนมใกล้ชิดกับนาย”
“ที่แท้ นี่ก็คือเหตุผล! ”
หลินตงหัวพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า: “ครั้งแรกที่ฉันได้พบกับนาย ก็มีความรู้สึกพิเศษอะไรบางอย่าง ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว”
หวางซูเฟินพูดขึ้นอีกว่า: “ที่จริงแล้ว ฉันน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว บนโลกใบนี้นอกเสียจากญาติพี่น้องทางสายเลือดแล้ว จะมีใครที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อช่วยเหลือฉันอีกล่ะ? ”
หลินหยุนทราบว่า หวางซูเฟินได้ยอมรับในตัวเขาแล้ว
“คุณพ่อ คุณแม่ ลูกไม่มีความกตัญญู เพราะว่ามีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง จึงไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับทั้งสองท่าน หวังว่าพวกท่านจะให้อภัย! ”
พูดจบ หลินหยุนก็หันไปทางหวางวูเฟินกับหลินตงหัว แล้วก็คำนับทำความเคารพคนละสามครั้ง
หวางซูเฟินรีบเข้าไปประคองหลินหยุนขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยอมรับในตัวหลินหยุนโดยสมบูรณ์ แต่ ก็เชื่อว่าหลินหยุนคือลูกชายแท้ ๆ ของเธอที่สูญหายไปนานหลายปี
“ลุกขึ้นเถอะ นายมีความลำบากใจของนาย ฉันไม่ตำหนิกล่าวโทษนายหรอก! ”
หลินตงหัวก็เดินเข้ามาจับแขนข้างหนึ่งของหลินหยุน และพูดด้วยเสียงอ่อนโยน: “เจ้าเด็กโง่ รีบ ลุกขึ้นแถอะ แม้ว่านายจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับพวกเรา แต่ว่า จากการกระทำก็แสดงให้เห็นแล้วว่าได้ทำตามหน้าที่ของลูกที่พึงกระทำแล้ว! ”
“พวกเราไม่ตำหนิกล่าวโทษนาย! ”
หลินหยุนลุกยืนขึ้น แล้วก็หันมองไปยังฉินหลันที่กำลังดีอกดีใจ: “พี่ฉินหลัน! ”
ฉินหลันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ค่อยกล้าที่จะสบตากับหลินหยุน
ทุกคนของตระกูลหลินที่อยู่โดยรอบ ต่างก็มีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คงจะคิดไม่ถึงว่า หลินหยุนก็คือลูกของหวางซูเฟินที่สูญหายไปนานหลายปี