จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 716 ไปยังตระกูลนิ่งอีกครั้ง
เซี่ยหยู่เวยเช็ดน้ำตาจนแห้ง และพูดอย่างจริงจังว่า: “วันขึ้นหกค่ำ นายท่านตระกูลเซี่ยจะเลี้ยงฉลองวันเกิด ครอบครัวของฉันจะต้องไปแสดงความอวยพรให้กับนายท่านเซี่ย”
“คุณรู้ว่า คุณพ่อของฉันนับจากที่ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลเซี่ยแล้ว ก็มีอคติกับนายท่าน กังวลว่านายท่านจะดูถูกเหยียดหยามเขา”
“ครั้งนี้คืองานเลี้ยงฉลองวันเกิดครั้งแรกของนายท่านเซี่ย หลังจากที่คุณได้ช่วยเหลือให้เขากลับสู่ตระกูลเซี่ยอีกครั้ง ดังนั้น เขาต้องการที่จะเชิญคุณไปกับเขาด้วย”
หลินหยุนพูดปฏิเสธขึ้น: “ฉันยังมีธุระอื่นอีก ไม่มีเวลาไปด้วย”
เซี่ยหยู่เวยแสดงรอยยิ้มที่มุมปากเป็นการยิ้มเยาะให้กับตัวเอง: “ฉันเคยบอกกับคุณพ่อไว้ก่อนแล้วว่า คุณไม่มีทางที่จะไปด้วยหรอก แต่เขากลับไม่เชื่อ ตอนนี้ก็คงจะตายใจได้แล้ว”
“ดูเหมือนว่า คุณไม่ต้องการที่จะมีความผูกพันเกี่ยวข้องอะไร กับตระกูลของพวกเราอีกแล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันเองก็จะไม่รบกวนคุณอีก”
พูดจบ เซี่ยหยู่เวยก็หันหลังแล้วเดินจากไป
เพียงแต่ว่า ก่อนที่เธอจะเดินกลับออกไปนั้นความโกรธแค้นอย่างลึกซึ้งในสายตาของเธอ กลับถูกหลินหยุนสังเกตเห็นอย่างชัดเจน
มองไปยังด้านหลังของเซี่ยหยู่เวยที่กำลังเดินจากไป สายตาของหลินหยุนก็เกิดความเฉยชา: “เซี่ยหยู่เวยอ่ะเซี่ยหยู่เวย คุณไม่ได้สำนึกในความผิดของตัวเอง แล้วคิดที่จะกลับมาคืนดีกับฉันสักหน่อย”
“คุณก็แค่ ไม่ยอมรับในความพ่ายแพ้ของตัวเอง ไม่ยอมรับว่าตนเองมองผิดพลาดไป โดยต้องการที่จะให้ฉันอยู่ข้างกายคุณต่อไป เพื่อกลายเป็นคนที่ผลักดันให้คุณก้าวหน้าก็เท่านั้น”
“บางทีในตอนนี้ ฉันอาจจะเป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนที่คุณรู้จัก ที่มีความสามารถเก่งกาจมากที่สุด แต่ว่า หากวันใดวันหนึ่งคุณได้พบเจอกับผู้ที่มีความสามารถเหนือกว่าฉันแล้ว คุณก็คงจะทอดทิ้งฉันอย่างไม่ใยดีอีกครั้ง”
“นี่คือตัวตนที่แท้จริงของคุณ ในสายตาของคุณแล้ว มีแต่ผลประโยชน์ ไม่มีความผูกพันเลยแม้แต่น้อย”
ในส่วนเรื่องของเซี่ยเจี้ยนโก๋ หลินหยุนยิ่งไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว และที่สำคัญ เขาเองก็ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับเซี่ยเจี้ยนโก๋ด้วย
หลังจากที่พบเจอกับเซี่ยหยู่เวยแล้ว หลินหยุนก็กลับไปยังคฤหาสน์ตึกว่างเย่ว
ซูหนันกับคาร์นอตวิลเลียมต่างก็ไม่อยู่ หลินหยุนจึงไม่ได้พักค้างคืน โดยมุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงเลยทันที
หงซานเหอเหลือเวลาให้เขาเพียงแค่สิบวัน เขายังจะต้องไปที่ตระกูลนิ่งอีก เพื่อรักษาอาการป่วยของนายท่านนิ่ง เพื่อตอบแทนบุญคุณที่นิ่งโหย่วหรงมีต่อเขาในชาติที่แล้ว
“ดูเหมือนว่า เวลาการสร้างตัวอ่อนยาทอง คงจะต้องถอยหลังออกไปอีกแล้ว”
ช่วงบ่ายวันถัดมา หลินหยุนก็มาถึงเมืองหลวง
จากนั้น ก็นั่งรถต่อไปยังตระกูลนิ่ง
หลังจากที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง หลินหยุนจึงจำได้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของตระกูลนิ่ง
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว ทักษะแค่ดูผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม เป็นเพียงแค่ทักษะวิชาที่จิ๊บจ๊อย
ช่วงพลบค่ำ หลินหยุนก็มายืนอยู่ด้านหน้าประตูของตระกูลนิ่งแล้ว
ยามหน้าประตูมองไปที่หลินหยุน อย่างเหยียดหยามเล็กน้อย
“ไอ้หนุ่มน้อย ไปเล่นที่อื่น ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่นายจะมาเล่น! ”
หลินหยุนเดินเข้ามา และพูดขึ้นว่า: “ฉันมาหานิ่งเฟิ่งเซียน”
ยามตกใจ และพลันพูดขึ้นอย่างโมโหว่า: “ไอ้หนุ่มน้อย ชื่อของเจ้าบ้านนายจะมาเรียกซี้ซั้วได้อย่างไรกัน! ข้าไม่สนว่านายจะไปได้ยินชื่อของเจ้าบ้านมาจากที่ไหน แต่ข้าขอเตือนนายไว้ก่อนว่าอย่าได้มาสร้างความวุ่นวาย! คนที่นี่ นายไม่สามารถมาสร้างความเดือดร้อนได้! ”
เห็นว่าหลินหยุนแต่งตัวในชุดเสื้อผ้าแบกะดิน อีกทั้งลงมาจากรถแท็กซี่ และยังจะไม่คุ้นหน้า
ยามจึงคิดว่าหลินหยุนเป็นวัยรุ่นอันธพาลในสังคมทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินหยุนเรียกชื่อของเจ้าบ้านตระกูลนิ่งขึ้น ยิ่งทำให้ยามต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ทราบกันดีว่าชื่อของนิ่งเฟิ่งเซียน ทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่กล้าเรียกขานอย่างตรง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น หลินหยุนที่เป็นแค่เด็กวัยรุ่นในชุดเสื้อผ้าแบกะดิน และลงมาจากรถแท็กซี่
ดังนั้น ตามความคิดของคนทั่วไปแล้ว อย่างแรกที่ยามคิดก็คือ รู้สึกว่าหลินหยุนอาจจะมาก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย
หลินหยุนเองก็ไม่ได้ต้องการคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับยาม จึงได้อธิบายว่า: “ฉันไม่ได้มาก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย นายให้นิ่งเฟิ่งเซียนออกมาเจอกับฉันก็จะได้ทราบแล้ว”
หลินหยุนไม่อธิบายก็ยังดีหน่อย เมื่ออธิบายไป ยิ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันมากขึ้น
ยามยิ่งสังเกตหลินหยุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น: “ไอ้หนุ่มน้อย นายบอกให้ข้าไปตามเจ้าบ้านมาพบกับนาย! บอกมานะ ว่านายเป็นใคร ตกลงคิดจะทำอะไรกันแน่? ”
หลินหยุนจำใจหมดหนทาง กลับกลายเป็นว่าคนใหญ่คนโตพูดง่าย คนเล็กต่ำต้อยยิ่งพูดยากเสียอย่างนั้น
“ดูเหมือนว่าทำได้เพียงแค่โทรศัพท์หานิ่งเฟิ่งเซียนแล้ว”
แต่ว่า หลินหยุนกลับจำเบอร์โทรศัพท์ของนิ่งเฟิ่งเซียนไม่ได้
ในขณะนี้เอง รถยนต์ออดี้สีดำกำลังขับเข้ามา และหยุดจอดอยู่ที่หน้าประตู
นิ่งโหย่วฉายในชุดสูทสีขาว และมีผิวพรรณที่ดีกว่าผู้หญิง ก็ก้าวลงมาจากรถ
เมื่อมองเห็นหลินหยุน นิ่งโหย่วฉายก็ตกใจ จากนั้นก็วิ่งพุ่งเข้าไปในประตูด้วยความตื่นเต้น และตะโกนขึ้นไปบนชั้นสองของคฤหาสน์: “คุณพ่อ พี่สาว หลินหยุนมาแล้ว! ”
จากนั้น นิ่งโหย่วฉายก็หันกลับมา แล้วเดินอย่างรวดเร็วไปยังด้านหน้าของหลินหยุน เป็นไปได้ว่าเร่งรีบจึงเดินเข้าไปใกล้เกิน ก็เลยต้องถอยหลังกลับออกมาอีก แล้วก็ยกมือแสดงความเคารพขึ้น: “หลิน หมอเทพหลิน เชิญเข้ามาด้านใน! ”
ท่าทางที่เปลี่ยนไปเมื่อปฏิบัติต่อตนเองของนิ่งโหย่วฉาย ทำให้หลินหยุนตะลึงขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า นิ่งโหย่วฉายมีความผูกพันกับคุณปู่ของเขา อย่างลึกซึ้งมาก ถึงขนาดที่ ทำให้อคติของเขาที่มีต่อหลินหยุนนั้นถูกกำจัดจนหมดสิ้นไปแล้ว
ที่จริงแล้ว นิสัยของนิ่งโหย่วฉายนั้น เรียบง่าย ไม่มีความเจ้าเล่ห์ แบ่งแยกความรักและความแค้นอย่างชัดเจน
ในเมื่อหลินหยุนตกลงที่จะมารักษาอาการป่วยของคุณปู่แล้ว ความคิดของเขาที่มีต่อหลินหยุนนั้น ก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ยามเห็นเข้าถึงกับตาค้าง เขาไม่เคยเห็นคุณชายคนนี้ ปฏิบัติกับใครด้วยความเกรงใจอย่างนี้มาก่อน
เมื่อนึกถึงเมื่อครู่ที่มองว่าหลินหยุนเป็นอันธพาลสังคมที่มาก่อความวุ่นวาย ยามจึงเหงื่อออกท่วมตัว กลัวว่าหลินหยุนจะกล่าวโทษเขาต่อหน้าของคุณชายนิ่ง ถ้าอย่างนั้นหน้าที่การงานของเขาก็คงจะจบสิ้นลงเพียงเท่านี้แล้ว
ยังดีที่ว่าหลินหยุนเหมือนลืมเขาไปแล้ว ไม่ได้พูดอะไรขึ้น แล้วก็เดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้านใน
ขณะที่เข้ามาในประตูใหญ่ นิ่งเฟิ่งเซียนที่อยู่ในชุดลำลอง แม้แต่รองเท้าแตะก็ยังไม่เปลี่ยน ก็ได้วิ่งออกมาต้อนรับหลินหยุนด้วย
ด้านหลัง ตามมาด้วยนิ่งโหย่วหรงผู้หญิงที่สวยงดงามหาผู้ใดเปรียบมิได้
เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ยามยิ่งตกใจจนตัวสั่นไปหมด แทบที่จะมุดหัวลงไปในพื้นดินแล้ว
“แท้จริงแล้ว ที่เขาพูดนั้นเป็นจริงทั้งหมด! เขา ตกลงว่าเขามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ถึงขนาดทำให้เจ้าบ้านแม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ทันได้เปลี่ยน รีบร้อนวิ่งออกมาต้อนรับเขา? ”
นิ่งเฟิ่งเซียนมีสีหน้าท่าทางที่อบอุ่นเป็นมิตร ยิ้มและยกมือแสดงความเคารพ: “หมอเทพหลิน คุณจะมาแล้วทำไมไม่บอกล่วงหน้ามาก่อน ฉันจะได้จัดส่งคนไปรับคุณ! ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น นายท่านอยู่ที่ไหน? ”
เมื่อพูดถึงนายท่านนิ่ง นิ่งเฟิ่งเซียนก็ไม่พูดพร่ำเพรื่ออีก เอียงตัวแล้วทำมือแสดงท่าทางเชิญ: “ทางนี้”
นิ่งเฟิ่งเซียนพาหลินหยุน มาถึงห้องทึบที่แสงส่องไม่ถึง
ที่นี่มืดมิดอย่างมาก บริเวณโดยรอบยังใช้ผ้าม่านสีดำล้อมปิดเอาไว้ด้วย แสงด้านนอกยากที่จะทะลุผ่านเข้ามาด้านในได้
นิ่งเฟิ่งเซียนอธิบายขึ้นว่า: “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นายท่านอยู่ดี ๆ ก็กลัวแสง พวกเราจึงได้เคลื่อนย้ายเขามาพักอยู่ที่นี่”
“หรือว่าอาการป่วยของนายท่าน ยิ่งทรุดหนักลงไปอีกแล้ว? ”
หลินหยุนมีสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก โดยก่อนที่ยังไม่ได้เจอกับผู้ป่วย เขาเองก็ไม่สามารถที่จะวินิจฉัยได้
“ฉันไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลินหยุนมาถึงห้องพักของนายท่านนิ่ง ซึ่งนายท่านกำลังนอนอยู่บนเตียง ร่างกายแข็งทื่อไปหมด และมีลมหายใจบางเบา
คนใช้สองคน คำนับแสดงความเคารพต่อนิ่งเฟิ่งเซียน: “สวัสดีเจ้าบ้าน! ”
นิ่งเฟิ่งเซียนถามขึ้นว่า: “นายท่านมีอาการป่วยกำเริบใช่ไหม? ”
คนใช้คนหนึ่งพูดว่า: “ใช่ ประมาณสิบนาทีแล้ว”
คนใช้ทั้งสองคนนี้ นิ่งเฟิ่งเซียนได้เชิญมาเพื่อพยาบาลดูแลนายท่านนิ่งโดยเฉพาะ โดยที่มีวิชา การแพทย์ขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว
ทุกครั้งที่นายท่านมีอาการป่วยกำเริบ เวลาไหน เป็นมาอย่างไร รวมถึงมีอาการแปลกพิเศษอะไรบ้าง ทั้งสองคนต่างก็ได้จนบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด เพื่อสะดวกในการให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและรักษา
นิ่งเฟิ่งเซียนพูดว่า: “พวกคุณทั้งสองคนไปรออยู่ที่ด้านข้างก่อนเถอะ! ”
แล้วก็หันมองไปที่หลินหยุน: “หมอเทพหลิน เชิญ! ”
คนใช้ทั้งสองคนถอยไปอยู่ด้านข้างกำแพง แล้วหลินหยุนก็เดินขึ้นมาด้านหน้า ยืนอยู่ที่ข้างเตียง และสังเกตอาการของนายท่านนิ่งโดยละเอียด
นิ่งเฟิ่งเซียนกระซิบถามขึ้นว่า: “จะต้องเปิดไฟไหม? ”
หลินหยุนห้ามไว้: “ไม่ต้อง”
จากความสามารถของหลินหยุน ซึ่งสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ในความมืดอยู่แล้ว
หลินหยุนสังเกตนายท่านนิ่งอย่างละเอียด โดยใช้พลังดวงตาทำลายล้าง ร่างกายของนายท่านนิ่ง ก็เปลี่ยนเป็นเส้นไหมสีดำขึ้น
ครั้งนี้ หลินหยุนพบว่า สิ่งแปลกประหลาดเหล่านั้นที่ครั้งก่อนพบเห็นในร่างกายของนายท่านนิ่ง กลับขยายใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่าแล้ว
“ดูเหมือนว่า อัตราความเร็วในการเจริญพันธุ์ของสิ่งแปลกประหลาดนี้ ช่างรวดเร็วมากเหลือเกิน”