จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 745 ตำหนักหลิงเซียว
เพล้ง!
เกิดเสียงแตกละเอียดดังขึ้นอย่างชัดเจน ในตอนที่หลินหยุนจู่โจมเข้าใส่นินจาผู้นั้น เขาก็ได้บีบยันต์หยกจนแตกละเอียด
หมัดที่ทรงพลังของหลินหยุน ยังไม่ทันโจมตีถึงตัวของนินจาผู้นั้น ทันใดนั้นก็ปรากฏช่องว่างในชั้นอากาศขึ้น แล้วก็ดูดร่างของนินจาผู้นั้นเข้าไป
ฟุบ!
พลังหมัดที่ชกพลาดนี้ พุ่งโจมตีใส่พื้นดินจนเกิดเป็นหลุมใหญ่ขึ้น
เมื่อฝุ่นควันจางหายไปจนหมด ก็ปรากฏเงาร่างของหลินหยุนขึ้น โดยที่ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยพลังแสงสีทอง ซึ่งไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นควันเลยแม้แต่น้อย
“นี่ก็คือยันต์หยกเคลื่อนย้ายใช่ไหม? ”
เมื่อหลินหยุนนึกคิดขึ้น ยันต์หยกเคลื่อนย้ายชิ้นนั้นของตนเอง ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“จากเทคโนโลยีบนโลก รวมไปถึงพลังความสามารถของผู้บำเพ็ญฝึกฝน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างยันต์หยกที่จะต้องกลั่นด้วยพลังขั้นแดนจิตปฐมขึ้นมาได้”
“ยันต์หยกเคลื่อนย้ายชิ้นนี้ มีหลักการอย่างไร? ”
หลินหยุนสังเกตอย่างละเอียด และปล่อยพลังงานบางอย่างเข้าสู่ภายในยันต์หยกเคลื่อนย้ายอย่างช้า ๆ และเริ่มต้นที่จะวิเคราะห์พลังงานและวัสดุของยันต์หยก
โดยใช้พลังดวงตาทำลายล้าง ดวงตาของหลินหยุนข้างหนึ่งสีดำอีกข้างหนึ่งสีขาว เพื่อสังเกตลักษณะพิเศษของยันต์หยก
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง! ”
“มิน่าล่ะที่ยันต์หยกเคลื่อนย้ายชิ้นนี้ได้กลายเป็นกุญแจในการเข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ และยังสามารถใช้เพื่อออกจากที่นี่ได้ด้วย! ”
“ผิวชั้นนอกของยันต์หยกเคลื่อนย้าย ได้จำลองสถานที่ของสนามล่าเจ็ดเผ่า ส่วนผิวชั้นใน ได้ใช้ค่ายกลปิดกั้นพื้นที่ของโลกภายนอก”
“เมื่อบีบยันต์หยกเคลื่อนย้ายจนแตกละเอียด ก็เป็นการปล่อยพื้นที่ของโลกภายนอกออกมา ทำให้ในพื้นที่ของสนามล่าเจ็ดเผ่าเกิดพลังงานผลักดันขึ้น เพื่อส่งคนกลับออกไปยังพื้นที่เดิม”
“ผู้ที่สร้างยันต์หยกเคลื่อนย้ายชิ้นนี้ขึ้น ช่างมีความคิดที่อัศจรรย์จริง ๆ ”
เมื่อเข้าใจถึงหลักการของยันต์หยกเคลื่อนย้ายแล้ว หลินหยุนก็มุ่งหน้าเดินต่อไป โดยตลอดเส้นทาง ก็ไม่หยุดที่จะทำการล่าสัตว์ประหลาด
สัตว์ประหลาดที่นี่ ไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรต่อหลินหยุนแม้แต่น้อย หลินหยุนค่อย ๆ เพิ่มความเร็วมากขึ้น โดยเดินไปตามทิศทางเดียว มุ่งหน้าตรงไปต่อเนื่อง เขาอยากลองดูว่า จะสามารถค้นพบจุดสิ้นสุดของสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่
ตลอดเส้นทาง หลินหยุนได้เดินข้ามผ่านเนินเขาที่ว่างเปล่าสองลูก ผ่านแม่น้ำสองสาย จากนั้นก็ปีนขึ้นภูเขาที่สูงนับพันเมตร
ยืนอยู่บนยอดเขาแล้วมองไกลออกไป หลินหยุนมองเห็นพื้นที่ราบที่ไม่มีขอบเขตที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขา
แต่ว่า ในความเป็นจริงแล้ว นั่นไม่ใช่พื้นที่ราบอะไรสักหน่อย แต่เป็นเมืองแห่งหนึ่ง เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ และเป็นเมืองที่มองไม่เห็นอาณาเขตที่สิ้นสุด
หลินหยุนเดินลงจากภูเขา มาถึงด้านหน้าของเมือง โดยเมืองที่อยู่เบื้องหน้านี้ มีความงดงามและใหญ่โตโอ่อ่าอย่างมาก ลำพังแค่กำแพงเมืองที่ทรุดโทรมนั้น ก็มีความสูงห้าเมตรกว่าแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ เมืองแห่งนี้ ได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
สิ่งก่อสร้างทั้งหมด ต่างก็ถูกกาลเวลาและลมฝนพัดโบกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผุกร่อนกลายเป็นผุยผง ฝังกลบอยู่ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน
หลินหยุนมุ่งหน้าต่อไป ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้น สิ่งก่อสร้างโดยรอบ ต่างก็ผุพังทรุดโทรมทั้งหมด ชัดเจนว่า ถูกการโจมตีทำลายล้างอย่างรุนแรง
การโจมตีที่สามารถจะทำลายล้างทั้งเมืองได้ นอกจากอาวุธทำลายล้างระดับระเบิดไฮโดรเจนแล้ว พวกอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พอรู้จักบนโลกในปัจจุบันนี้ เกรงว่าคงจะไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ไหนที่จะสามารถทำแบบนี้ได้
หลินหยุนยังคงมุ่งหน้าต่อไป มาถึงประมาณช่วงกลางของเมือง ที่นี่มีลานกว้างแห่งหนึ่ง แต่ว่า บนลานกว้างมีตำหนักโบราณขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
ตำหนักหลังนี้ ก็ถูกทำลายลงแล้ว มีสภาพที่ทรุดโทรมอยู่บนลานกว้าง เมื่อมองดูอย่างลาง ๆ จะพอมองเห็นถึงลักษณะความใหญ่โตรโหฐานที่ผ่านมาในอดีตได้
แต่ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ แล้ว ก็นับว่ายังคงรักษาสภาพเดิมได้ค่อนข้างดีอยู่
วัสดุที่ใช้ก่อสร้างตำหนัก เหมือนจะเป็นไม้ แต่ชัดเจนว่า คงจะไม่ใช่ไม้ เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาสภาพเดิมได้ยาวนานหลายปีขนาดนี้
พูดตามตรง แม้แต่หลินหยุนเองก็ไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่าเป็นวัสดุอะไร
บริเวณที่ไม่ไกลออกไป มีแผ่นป้ายขนาดใหญ่วางกองอยู่บนพื้น มีความยาวสิบเมตร กว้างห้าเมตร โดยด้านบนมีตัวหนังสือรูปแบบจ้วนซูสี่คำที่เคลือบสีทอง
ตำหนักหลิงเซียว!
ตามตำนานโบราณของชาวจีนกล่าวว่า นี่คือห้องทำงานของเง็กเซียนฮ่องเต้
แต่ หลินหยุนไม่เชื่อว่าตำหนักหลังนี้ก็คือตำหนักหลิงเซียวหลังนั้นของเง็กเซียนฮ่องเต้ อย่างมากก็คงจะแค่ใช้ชื่อซ้ำกันเท่ากัน
หรือว่าผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นหลัง ได้นำมาใช้ในการตั้งชื่อสิ่งก่อสร้างตามตำนานโบราณ
ถ้าหากว่าเป็นตำหนักหลิงเซียวของเง็กเซียนฮ่องเต้จริง ๆ ล่ะก็ จะมีใคร ที่มีพลังความสามารถมากขนาดนี้ ถึงได้นำตำหนักหลิงเซียวให้มาอยู่ที่ตรงนี้ได้?
ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดินในตำนาน ก็คงจะไม่มีความสามารถมากถึงระดับนี้
ในขณะที่หลินหยุนกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น ภายในตำหนักขนาดใหญ่ที่ทรุดโทรมอยู่บนลานกว้างนั้น ก็เกิดมีเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน โดยมีเสียงเหมือนกับนักโทษ ที่เดินลากโซ่ตรวนไปมาตามพื้นหิน ภายในห้องขัง
สัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นวัวร่างเป็นคน ยืนอยู่บนแท่นภายในตำหนัก และจ้องมองมาที่หลินหยุน
“นี่คือสัตว์ประหลาดอะไรกัน? ” หลินหยุนล่าสัตว์ประหลาดได้ตั้งมากมายไม่รู้เท่าไรแล้ว โดยสัตว์ประหลาดส่วนใหญ่สามารถมองจากลักษณะภายนอก แล้วทราบได้ถึงประเภทก่อนที่กลายพันธุ์ได้
แต่ว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้ หลินหยุนไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งมีชีวิตประเภทไหนได้เลย
“มอ! ”
สัตว์ประหลาดตัวนั้นได้เงยหน้าแล้วคำรามเสียงอันหนักแน่นออกมา ซึ่งเสียงคำรามคล้ายคลึงกับเสียงร้องของวัวอยู่บ้าง แต่ว่า เมื่อเทียบกับเสียงร้องของวัวแล้ว ช่างมีเสียงแหลมและเศร้าสลดมากกว่ามาก
ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดตัวนั้น ก็ได้หันมาทางหลินหยุน แล้วก็พุ่งโจมตีเข้าใส่
ตอนที่มันอยู่ด้านบนนั้น มองดูแล้วตัวไม่ค่อยใหญ่มาก แต่ เมื่อตอนที่ลงมาแล้ว กลับพบว่าร่างกายของมัน มีขนาดใหญ่มากเลยทีเดียว
มีความสูงประมาณห้าเมตร โดยแขนเพียงข้างเดียว ก็มีขนาดใหญ่กว่าร่างกายของหลินหยุน
เมื่อสัตว์ประหลาดตัวนี้ลงมา ไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ตบเข้าใส่หลินหยุนอย่างจัง
“มันช่างบ้าระห่ำเสียจริง! ”
หลินหยุนสีหน้าท่าทางเฉยชา และปล่อยหมัด เข้าใส่อย่างรุนแรง
ตุบ!
พลังหมัดเจ็ดส่วนของหลินหยุน นึกไม่ถึงว่าจะไม่สามารถสกัดกั้นสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้ อีกทั้งยังถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้น ตบร่วงตกลงไปชั้นใต้ดิน โดยขาทั้งสองข้างเจาะทะลุผ่านพื้นที่แข็ง แล้วจมอยู่ในพื้นซีเมนต์ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงว่าจะทรงพลังมากขนาดนี้! ”
หลินหยุนตกใจเล็กน้อย ตั้งแต่เกิดใหม่มานี้ นี่คือครั้งแรกที่พลาดพลั้งเสียเปรียบ โดยยังถูกกระทำด้วยน้ำมือของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
สัตว์ประหลาดตัวนั้นเป็นฝ่ายโจมตีที่ได้เปรียบ แล้วก็ใช้กรงเล็บตบลงไปอีกครั้ง เหมือนว่าจะจัดการหลินหยุนให้ตายคาที่
“ท่าสยบเขา! ”
หลินหยุนปล่อยพลังหมัดออกมา โดยครั้งนี้ เป็นหมัดที่ใช้พลังการบำเพ็ญสิบส่วน อีกทั้ง ยังใช้กระบวนท่าสิบแปดท่าต้าเต๋าอีกด้วย
ตุบ!
ครั้งนี้ สัตว์ประหลาดตัวนั้นถูกชกกระเด็นลอยไปไกล
หลินหยุนเองก็ย่ำแย่พอสมควร เดิมทีขาทั้งสองข้างก็จมติดอยู่ในพื้น ตอนนี้ก็กระเด็นลอยไปไกล เสื้อผ้าทั้งร่างกายขาดรุ่ยกลายเป็นชิ้น ๆ
ยังดีที่ว่า หลินหยุนได้ฝึกฝนร่างภูตป่าสำเร็จแล้ว อีกทั้ง ยังได้รับถ่ายทอดมิงค์สีทองจื่อมู่ที่มีความสามารถในการฟื้นฟูพลังให้กลับคืนมาได้
ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บนั้น ก็สามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ภายในร่างกาย ยังมีเลือดลมที่ปั่นป่วนอยู่บ้าง
“คิดไม่ถึงว่า ที่นี่จะมีสัตว์ประหลาดที่มีพลังความสามารถเทียบเท่ากับปรมาจารย์นักบู๊ขั้นสูงสุดด้วย! ”
โดยสามารถต่อสู้รับมือกับหลินหยุนที่ใช้ท่าสยบเขาได้ พลังความสามารถระดับนี้เมื่อเทียบกับปรมาจารย์นักบู๊ขั้นสูงสุดแล้ว เกรงว่าจะเหนือกว่าอีกระดับหนึ่งด้วย
สัตว์ประหลาดตัวนั้นเหมือนกับไม่เชื่อว่ามนุษย์ตัวเล็กที่อยู่เบื้องหน้าของมัน จะมีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งระดับนี้ได้ โมโหมากจนถึงกับต้องหายใจหอบแฮก ๆ
“มอ! ”
ส่งเสียงคำรามขึ้นอีกครั้ง ฟังดูแล้วเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
สัตว์ประหลาดตัวนั้น ครั้งนี้ใช้หัวพุ่งชนเข้าใส่หลินหยุน
เห็นเขาขนาดใหญ่สองข้างบนหัวของมันแล้ว คาดว่าต่อให้ด้านหน้าเป็นภูเขา ก็คงจะถูกขวิดจนกระเด็นไปไกล
นอกจากนี้ บนเขาของมัน หลินหยุนกลับรู้สึกได้ถึงพลังทิพย์ที่ทรงพลังอย่างมาก
“สัตว์ประหลาดตัวนี้ หรือว่าได้เรียนรู้ถึงการบำเพ็ญฝึกฝนแล้ว! ”
หลินหยุนไม่กล้าที่จะละเลย จึงได้ลอยตัวขึ้นเพื่อหลบหลีกการโจมตีครั้งนี้ จากนั้นก็อาศัยจังหวะโจมตีเข้าใส่: “ท่าแยกน้ำ! ”
มอ!
คิดไม่ถึงว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะหมุนตัวกลับมาอย่างว่องไว แล้วก็ใช้กรงเล็บต้านทานพลังหมัดของหลินหยุน
โครม!
ทั้งคนและสัตว์ ต่างก็กระเด็นลอยไปกันคนละทิศทาง
จากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้สู้รบกันอีก
หลินหยุนไม่ได้ออมมือแล้ว ใช้พลังการบำเพ็ญทั้งสิบส่วนเข้าจู่โจม โดยได้ใช้หลากหลายกระบวนท่าสิบแปดท่าต้าเต๋าเข้าโจมตีอย่างไม่หยุด
ทว่า ก็ต่อสู้ได้เพียงแค่ผลเสมอ ไม่มีทางที่จะจัดการกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้
“ช่างน่าแปลกเสียจริง ในทุกครั้งที่สัตว์ประหลาดตัวนี้โจมตี กลับสามารถที่จะทำลายพลังทิพย์ของฉันได้ทุกครั้งไป หรือว่า นี่คืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อันเกิดจากพรสวรรค์ของมัน? ”