จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 746 ดาบเฮ่าเทียน
นี่ตกลงว่าคือสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่?
ตามความรู้ของหลินหยุน เวลานี้ ก็ยังมองไม่ออกและไม่เข้าใจเช่นกัน
ในช่วงที่หลินหยุนกำลังพักผ่อนอยู่ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็พุ่งจู่โจมเข้าใส่หลินหยุนอีกครั้ง
“สัตว์ประหลาดตัวนี้มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก ทั้งที่โดนฉันชกไปตั้งหลายหมัดแล้ว พลังการจู่โจมก็ยังไม่ลดลงเลย”
หลินหยุนต้านทานการโจมตีของสัตว์ประหลาด ขณะเดียวกันก็สังเกตลักษณะพิเศษของสัตว์ประหลาดตัวนี้ไปด้วย
“แม้แต่การบำเพ็ญฝึกฝนของฉัน ก็สูญเสียไปแล้วตั้งสี่ส่วน แต่ว่า มันกลับไม่มีร่องรอยของการ เหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แหล่งพลังงานของมัน อยู่ที่ไหนกัน? ”
ขณะนั้น ก็ได้ใช้พลังดวงตาทำลายล้าง จ้องมองไปที่ร่างกายของสัตว์ประหลาด โดยภายใต้พลังดวงตาทำลายล้าง ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะเส้นไหมสีดำ
แต่ว่า ภายในร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนั้น กลับห่อไปด้วยแผ่นภาพเส้นไหมสีดำอย่างแน่นหนา
โดยแผ่นภาพนั้น ก็คือกระบี่เล่มหนึ่ง!
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง! ”
แม้จะทราบถึงแหล่งพลังงานของสัตว์ประหลาดตัวนี้ แต่ว่า หากต้องการที่จะสังหารสัตว์ประหลาดตัวนี้ จากระดับการบำเพ็ญฝึกฝนของหลินหยุนในตอนนี้ คงจะยากลำบากพอสมควร
“ดูเหมือนว่า จะต้องใช้เคล็ดลับวิชาอีกแล้ว! ”
“แต่ว่า อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ตามกาลเวลานี้ เกรงว่าคงจะจัดการกับมันไม่ได้”
หลินหยุนยืนอยู่ด้านบนของซากปรักหักพัง แล้วมองอย่างเย็นชาไปที่ร่างของสัตว์ประหลาดที่หัวเป็นวัวร่างเป็นคนที่กำลังคำรามใส่เขา สีหน้าค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้น พลังอำนาจที่ดุดันหนักแน่นราวกับภูเขา ได้เปล่งออกมาจากร่างของเขาอย่างช้า ๆ
สัตว์ประหลาดตัวนั้นรู้สึกได้ถึงความอันตราย จึงได้หยุดการโจมตีลง แล้วจ้องมองไปที่หลินหยุน อย่างระมัดระวัง
ตูม!
หลินหยุนก้าวเข้าสู่กลางอากาศ ทั้งชั้นฟ้าชั้นดินดูเหมือนจะสั่นสะเทือนเล็กน้อย ซึ่งเหมือนกับค้อนอันใหญ่ ทุบลงไปกลางดวงใจอย่างรุนแรง
เขายืนอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าภายใต้เท้าของเขา มีบันไดสวรรค์ที่มองไม่เห็น
ตูม!
เมื่อก้าวที่สองออกไป ร่างกายของหลินหยุนก็ยืดสูงขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจของร่างกายก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น
ตูม!
ก้าวที่สาม……ก้าวที่สี่……
ก้าวที่เก้าออกไป หลินหยุนล่องลอยอยู่กลางอากาศ เดิมทีที่มีผมสั้นดกดำ กลับเปลี่ยนเป็นผมขาวยาวถึงเอว
เวลานี้ หลินหยุน ราวกับว่าเป็นเทพเจ้าในชั้นฟ้าชั้นดินนี้เพียงคนเดียว
ทุกท่วงท่าการกระทำของเขา ต่างก็เหมือนกับนำพาพลังอานุภาพมาจากทั้งชั้นฟ้าชั้นดิน
สำนักต้าเต๋ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติ เก้าชั้นฟ้า!
ทุกครั้งที่ขึ้นแต่ละชั้น ก็ช่วงชิงพลังอำนาจจากหนึ่งชั้นฟ้า เมื่อขึ้นถึงเก้าชั้นฟ้า ก็ช่วงชิงอำนาจบารมีของชั้นฟ้าทั้งหมด ซึ่งสามารถทำหน้าที่ลงโทษแทนฟ้าได้
ชั้นฟ้าของที่แห่งนี้ ก็ยังคงยึดมั่นรักษากฎเกณฑ์สูงสุดในการเคลื่อนไหวของชั้นฟ้าชั้นดินในบริเวณแห่งนี้
แต่ว่า เมื่อมองจากช่วงเวลาแสนปีมานี้ของสำนักต้าเต๋า ผู้บำเพ็ญที่สามารถขึ้นไปสู่เก้าชั้นฟ้าได้นั้น มีจำนวนน้อยมาก ต่อให้เป็นท่านอาจารย์ของหลินหยุน ก็ทำได้เพียงแค่ขึ้นถึงแปดชั้นฟ้าเท่านั้น
นับแต่อดีต สำนักต้าเต๋ามีคำพูดอยู่อย่างหนึ่งว่า: “ขึ้นถึงเก้าชั้นฟ้าได้ ก็สังหารเซียนใต้หล้าได้ทั้งหมด! ”
นั่นแสดงให้เห็นถึง พลังอำนาจของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์นี้
หลินหยุนล่องลอยอยู่กลางอากาศ พลังอำนาจในร่างกายเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ลมหายใจแห่งความอาฆาตได้เปิดเผยออกมาแล้ว
ลมหายใจนั้น ให้ความรู้สึกที่หมดหวังอย่างที่สุด ราวกับว่า ชั้นฟ้าชั้นดินพังทลาย เกิดมาก็สิ้นหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างใกล้ที่จะดับสลายลง
“ร่วงสังหาร! ”
หลินหยุนมีสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก ก็เหมือนกับเทพเจ้าที่ไม่มีความรู้สึกใด ๆ และลมหายใจแห่งความอาฆาตที่ได้เปิดเผยออกมานั้น ทำให้อากาศในบริเวณโดยรอบแข็งตัวลง
ฤดูใบไม้ร่วงสามารถสังหารได้ทุกสิ่งทุกอย่าง กลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าจะไม่หนาวเหน็บเหมือนกับฤดูหนาว ไม่ร้อนอบอ้าวเท่ากับฤดูร้อน แต่ก็มีความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่พิเศษโดยเฉพาะ
อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของร่วงสังหาร คือการนำกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึง ยกระดับสู่ขั้นสูงสุด ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปล่าเปลี่ยวเหี่ยวเฉาและตายไป
บรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงที่มีความอาฆาตถึงขีดสุด ได้แผ่ปกคลุมไปที่ร่างของสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้ว
กอปรกับร่วงสังหารที่ใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เก้าชั้นฟ้า ยิ่งทำให้พลังอานุภาพของร่วงสังหาร เพิ่มขีดความสามารถสูงขึ้นอีกเป็นสิบเท่า
ที่บริเวณใต้เท้า พื้นดินสีน้ำตาลที่ได้สูญเสียความมีชีวิตชีวาไปหมดแล้วจากการโดนรังสีและคลื่นแรงกระแทก ซึ่งภายใต้การลุกล้ำเข้ามาของร่วงสังหาร ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาโดยที่ปราศจากชีวิตชีวา เหมือนกับได้ตายลงอีกครั้ง
ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ใช่ซากปรักหักพัง แต่เป็นโลกที่อยู่ภายนอกนั้น หากเมื่อที่ใดถูกปกคลุมไปด้วยร่วงสังหารแล้ว ทุกชีวิตทุกสิ่งอย่างก็จะสูญสิ้นไปทั้งหมด
สัตว์ประหลาดหัววัวตัวนั้น ในที่สุดก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวขึ้นบ้างแล้ว โดยได้แสดงสัญชาตญาณของสัตว์ออกมา
นึกไม่ถึงว่ามันก็เหมือนกับคน ที่คุกเข่าลงไปที่พื้น ตัวสั่นเทาไปหมด แล้วก็คารวะทำความเคารพ ให้กับหลินหยุนที่อยู่กลางอากาศ
แต่ว่า หลินหยุนเองก็ไม่ได้มีความสงสารใด ๆ แม้แต่น้อย เมื่อร่วงสังหารบังเกิดขึ้น ทุกชีวิตทุกสิ่งอย่างก็จะสูญสิ้นไปทั้งหมด
เซลล์ทุกตัวในร่างของสัตว์ประหลาดหัววัว ต่างก็ตายลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่นาน ชีวิตที่ทรงพลังของสัตว์ประหลาดหัววัวก็ได้จบสิ้นลง ราวกับเป็นร่างไม้แกะสลัก ที่ยังคงอยู่ในท่าทางคารวะทำความเคารพไปยังอากาศ
ผมขาวที่ยาวถึงเอวของหลินหยุน ค่อย ๆ หายไป และกลับคืนสู่สภาพที่ผมสั้นดกดำอีกครั้ง
ใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ที่ยิ่งใหญ่สองอย่างในเวลาเดียวกัน พลังบำเพ็ญในร่างกายของหลินหยุนได้สูญสิ้นไปมากกว่าแปดส่วน สีหน้าค่อนข้างจะขาวซีดบ้างแล้ว
หลินหยุนค่อย ๆ เดินไปยังด้านข้างของสัตว์ประหลาดหัววัว แล้วโบกสะบัดมือ ร่างของสัตว์ประหลาดหัววัว ก็กลายเป็นผุยผงในทันที และล่องลอยไปตามสายลม
แต่ว่า บริเวณที่สัตว์ประหลาดหัววัวอยู่นั้น มีกระบี่สั้นที่เปล่งประกายแสงสีแดงเล่มหนึ่ง วางอยู่
รูปทรงของกระบี่เล่มนี้ แปลกประหลาดอย่างมาก มีแต่เพียงตัวกระบี่ ไม่มีด้ามกระบี่
“นี่คือกระบี่เมนหลักของผู้ฝึกกระบี่ ซึ่งผ่านพ้นมานานหลายปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะยังคงมีพลังทิพย์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้อยู่อีก! ”
“ดูเหมือนว่า พลังความสามารถของเจ้าของกระบี่เล่มนี้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็คือระดับขั้นแดนกษัตริย์เซียนข้ามผ่านทัณฑ์”
กษัตริย์เซียนข้ามผ่านทัณฑ์ นั่นก็คือขั้นแดนเดียวกันกับหลินหยุนในชาติที่แล้ว
“ที่นี่ ตกลงว่าเป็นสถานที่อะไรกันแน่? นึกไม่ถึงว่าจะมีกษัตริย์เซียนลงมาจุติด้วย! ”
ในเวลานี้กระบี่ เป็นสิ่งที่ไร้เจ้าของแล้ว ซึ่งสัตว์ประหลาดหัววัวตัวนั้นคงจะแค่บังเอิญ ถึงได้กลืนกระบี่เล่มนี้เข้าไป
หลินหยุนปล่อยพลังทิพย์เข้าไป กระบี่ก็ส่งเสียงแผ่วเบาขึ้นอย่างร่าเริง และก็ตกเป็นของหลินหยุนไปอย่างง่ายดาย
“แม้ว่าพลังงานของกระบี่เล่มนี้ในตอนนี้ จะมีแค่ในระดับเครื่องรางชั้นยอดเท่านั้น แต่ว่า กระบี่ เมนหลักของเซียนกระบี่ สามารถที่จะเพิ่มระดับพลังความสามารถได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งถือเป็นของวิเศษที่หาได้ยากจริง ๆ! ”
กระบี่เมนหลักของเซียนกระบี่ ถ้าหากเซียนกระบี่มีพลังความสามารถที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อหากว่าเซียนกระบี่เสียชีวิตลง กระบี่เมนหลักก็จะหายสาบสูญตามไปด้วย
มีเพียงแค่เซียนกระบี่ที่เก่งกาจหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว เพียงแค่ร้อยละหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะสามารถหลงเหลือกระบี่เมนหลักเอาไว้ได้ แต่ว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เก่งกาจ มีพลังการต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน และมีความรวดเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเซียน มีจำนวนน้อยมากที่จะถูกสังหารเสียชีวิต
ดังนั้น ในจำนวนผู้ฝึกเซียนที่มากมายหลายประเภท ซึ่งนอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้ว น้อยมากที่จะมีผู้บำเพ็ญเซียนคนใด ที่จะสามารถมีครอบครองกระบี่เมนหลักได้
ในชาติที่แล้วหลินหยุนก็เคยมีความคิดที่ต้องการจะแย่งชิงกระบี่เมนหลักอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะนำมาครอบครองได้
คิดไม่ถึงว่าในที่แห่งนี้ จะสามารถครอบครองกระบี่เมนหลักได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
หลังจากที่ปล่อยพลังทิพย์เข้าไปแล้ว จิตวิญญาณของหลินหยุนก็ได้หลอมรวมเข้ากับกระบี่ แม้ว่าจะใช้งานได้ไม่ดีเท่ากับเจ้าของคนก่อน แต่ก็ถือว่าใช้ได้อย่างสะดวกราบรื่น
หลินหยุนอดกลั้นความปิติดีใจเอาไว้ในใจ มองไปที่กระบี่เล่มนั้นและพูดว่า: “นับจากนี้ต่อไป นายก็ติดตามไปกับฉันแล้ว ฉันจะนำพานายไป ทำให้ทั่วทั้งโลกและดวงดาวต่างก็หวาดกลัวตัวสั่นในตัวของนาย”
“ฉันขอตั้งชื่อในนายก่อนแล้วกัน! ”
ขณะที่หลินหยุนพูดจบ เตรียมที่จะตั้งชื่อให้กระบี่นั้น ที่ตัวของกระบี่ ก็เปล่งแสงสีแดงขึ้นแวบหนึ่ง
มีสองคำปรากฏแวบขึ้นบนตัวของกระบี่
“เฮ่าเทียน! ”
“ที่จริงแล้วนายมีชื่อว่าดาบเฮ่าเทียน! ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปก็จะเรียกนายว่าดาบเฮ่าเทียนเหมือนเดิม! ”
กระบี่ได้ส่งเสียงดีใจอย่างแผ่วเบาขึ้นอีกครั้ง และก็ได้บินวนรอบตัวของหลินหยุนหนึ่งรอบ สุดท้ายก็ลอยอยู่บนศีรษะของหลินหยุน
“กลับลงมาเถอะ! ”
เมื่อหลินหยุนนึกคิดขึ้น ดาบเฮ่าเทียนก็เปลี่ยนเป็นแสงสีแดง และถูกหลินหยุนเก็บไว้ในตันเถียน
“พอดีเลยที่ชาติที่แล้วฉันได้รับเพลงกระบี่ลอยนภาในวิชากระบี่อิทธิฤทธิ์มาเล่มหนึ่ง ซึ่งขาดแค่กระบี่เท่านั้น ตอนนี้ ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนเพลงกระบี่ลอยนภาได้แล้ว”
เก็บดาบเฮ่าเทียนเรียบร้อยแล้ว หลินหยุนก็มองสังเกตไปยังตำหนักหลิงเซียวที่อยู่เบื้องหน้า
“ไม่รู้ว่าดาบเฮ่าเทียนนี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักหลิงเซียว? หรือว่าเจ้าของตำหนักหลิงเซียว จะเป็นเจ้าของดาบเฮ่าเทียนนี้? ”
หลินหยุนเหาะเข้าไปด้านในของตำหนักหลิงเซียว แต่น่าเสียดายที่ เมื่อเขากำลังเหาะลงมาอยู่บนแท่นที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นเหาะออกมา นึกไม่ถึงว่าตำหนักหลิงเซียวที่มีขนาดใหญ่นี้ จะพังทลายลงได้
ก็เหมือนกับตึกอาคารที่อยู่ดี ๆ ก็สูญเสียแรงค้ำยัน พังทลายลงอย่างกะทันหัน
แสงสีทองอันเบาบางได้ปกคลุมร่างของหลินหยุนเอาไว้ ให้เขาค่อย ๆ เหาะลงมาอยู่ด้านบนซากปรักหักพังของตำหนักหลิงเซียว
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน? ”