จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 769 ศึกใหญ่กับเยนหนานเทียน
“หุบปาก!” นายท่านหลินตะโกนด้วยความโกรธจัด
“หลินหยุนไม่อยู่ นั่นเป็นเพราะเขาได้รับเชิญไปทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ!”
“ถ้าเขาอยู่ จะไม่มีวันให้เยนหนานเทียนทำอะไรแบบนี้ได้!”
บางคำทำให้หลินตงเย่วพูดไม่ออก
“หืม ถึงเขาจะอยู่ในตอนนั้น แต่เขาจะทำอะไรได้บ้างล่ะ?
“ตอนนี้เขากลับมาแล้ว แต่มันจะมีประโยชน์อะไร? ก็ถือว่ารนหาที่ตายแล้วกัน!”
เมื่อนายท่านหลินได้ยินคำพูดที่น่าหงุดหงิดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากง้างมือไปตบหลินตงเย่ว แต่ว่าชายชรานั้นอ่อนแรงเหลือเกินและเป็นการยากที่จะยกแขนขึ้น
“แกไปเถอะ ไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก!” นายท่านหลินรีบหลับตาลง ทำเป็นว่าหลินตงเย่วไม่มีตัวตน
เยนหนานเทียนเหลือบมองไปข้างหลังเขาแล้วพูดด้วยถ้อยคำเยาะเย้ย “ปรมาจารย์หลิน มองเห็นหรือยัง!”
“ครอบครัวของคุณอยู่ที่นี่แล้ว มีพ่อแม่และปู่ของคุณ”
“ใช่แล้ว คุณน่าจะยังไม่เห็นว่าพวกเขาเดินขึ้นมาบนยอดเขาด้วยความยากลำบาก”
“สภาพของพวกเขานั้นช่างดูน่าเกลียดจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……”
เยนหนานเทียนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและหัวเราะอย่างมีชัย
หลินหยุนมีสีหน้าเรียบนิ่ง และบรรยากาศรอบๆ ตัวเขาดูเหมือนจะหยุดนิ่งชั่วขณะ
“คุณโกรธมากไหม? ผมสามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธของคุณ”เยนหนานเทียนพออกพอใจมาก
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เย็นชา น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นดุเดือด “แกฆ่าหลานชายของฉัน ฆ่าลูกชายของฉัน และยังฆ่าข้ารับใช้ของฉันที่รับใช้ฉันมาสามสิบปี!”
“ความเกลียดชังนี้สูงกว่าท้องฟ้าและลึกกว่าทะเล การฆ่าแกไม่เพียงพอจะขจัดความโกรธของฉัน ฉันจะทรมานแกและครอบครัวของแก”
“ฉันต้องการให้แกเห็นด้วยตาของแกเองตอนที่ครอบครัวของแกยอมรับความผิดที่หน้าหลุมศพของลูกชายและหลานชายของฉัน ฉันยังต้องการให้แกเห็นพ่อแม่และญาติของแกตายอย่างอนาถ”
“ฉันอยากให้แกทนทุกข์ทรมานที่ทรมานที่สุดก่อนจะฆ่าแก”
“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ฉันจะสามารถขจัดความเกลียดชังในใจของฉันได้!”
หลังจากที่เยนหนานเทียนพูดจบ เขาก็ถอนหายใจยาวๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเกลียดชังในใจของเขานั้นลึกซึ้งเพียงใด
หลินหยุนยังคงอยู่ในสีหน้าที่เรียบนิ่งราวกับว่าทุกสิ่งในโลกไม่อาจทำให้ใจของเขาสั่นสะท้านได้
“นานมากแล้วที่ฉันไม่มีความต้องการจะฆ่าใครสักคนอย่างแรงกล้าขนาดนี้”
“แกสมควรตาย!”
เสียงของหลินหยุนเรียบนิ่ง แต่รังสีแห่งความสังหารในน้ำเสียงนั้นดูเหมือนจะทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงกว่าสิบองศา
เยนหนานเทียนหัวเราะเยาะ “ถ้าอย่างนั้นแกก็มาฆ่าฉันเถอะ! ฉันหวังว่าปรมาจารย์หลินอย่างแกจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!”
“พอดิบพอดีที่ฉันยังต้องการยืนยันสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในช่วงเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา!”
หลินหยุนพูดเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันเลยเถอะ!”
ปราศจากบรรยากาศอันสง่างามก่อนเริ่มสงคราม และไม่มีการกล่าวเปิดใดๆ การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเริ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
หลินหยุนก้าวออกไปทีละก้าว ครู่ต่อมาเขาก็ตรงมาที่เยนหนานเทียนแล้วกระแทกหมัดเข้าไปที่เยนหนานเทียน
ผลัวะ!
เยนหนานเทียนก็วางหมัดออกไปเหมือนกัน
ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!
เยนหนานเทียนสะบัดถอยหลังไปสองสามก้าว ขณะที่หลินหยุนยืนนิ่งอยู่กับที่
“ดีมาก ไม่ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ !”
“เอาอีก!” เยนหนานเทียนเงยขึ้นฟ้าหัวเราะเยาะ จากนั้นก็ทำมือเป็นดรรชนีกระบี่ จู่ๆ ความเร็วก็พุ่งโจมตีไปที่หลินหยุน
ทุกครั้งที่เขาจู่โจม มันเหมือนกับดาบที่แหลมคม มีพลังที่ดุร้ายจนดูเหมือนว่าจะทำให้โอกาสฉีกขาดได้
ทุกครั้งที่เขาจู่โจมเกือบจะถึงจุดที่สุดโต่ง แทบทำผู้คนตาลาย
เมื่อเทียบกับเขาความเร็วของหลินหยุนนั้นค่อนข้างช้าและการเคลื่อนไหวก็ดูเทอะทะเล็กน้อย
ถึงกระนั้นในสายตาของคนนอก จะเห็นเพียงสีดำและสีขาวเท่านั้น แสงและเงาเคลื่อนไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว และไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสองได้อย่างชัดเจน
ภายในหนึ่งลมหายใจทั้งสองได้ต่อสู้กันมากกว่าสามสิบจังหวะ
หลังจากการโจมตีครั้งสุดท้ายถูกบล็อกหมัดโดยหลินหยุน จากนั้นทั้งสองก็แยกจากกันชั่วคราว
เยนหนานเทียนไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการต่อสู้ครั้งนี้ หลินหยุนเองก็ไม่ได้ประโยชน์จากมัน กลายเป็นว่าทั้งสองเสมอกัน
หลินหยุนมองไปที่เยนหนานเทียนแล้วพูดเบาๆ “เอากระบี่ของแกออกมาเถอะ ความรุนแรงระดับนี้ไม่สามารถทำร้ายฉันได้”
เยนหนานเทียนตอบกลับว่า “แม้ว่าฉันจะถูกผู้คนเรียกว่าเทพกระบี่ แต่ฉันก็ได้บรรลุถึงของความสามัคคีของมนุษย์และกระบี่มาหลายปีแล้ว”
“ฉันคือกระบี่ และกระบี่ก็คือฉัน”
“ฉันอยู่ในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้มาหลายสิบปีแล้ว และมีเพียงฉิวเชียนซาในปีนั้นเท่านั้นที่คู่ควรกับการเอากระบี่ออกมาใช้ ฉันได้ยินมาว่าฉิวเชียนซาก็ถูกแกฆ่าตายแล้ว และตอนนี้แกเป็นคนเดียวที่คู่ควรกับการกระบี่ที่ฉันนำออกมาใช้”
หลังจากพูดจบ ลมหายใจอันทรงพลังก็ปะทุออกมาจากร่างกายของเยนหนานเทียน
ราวกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ทันใดนั้นมันพุ่งออกมาเหมือนมังกรที่ลงไปในทะเล และนกอินทรีที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ร่างของเยนหนานเทียนค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ มองลงมาที่หลินหยุนด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
“กระบี่เล่มนี้แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ฉันมีชื่อเสียงในช่วงเวลาสามสิบปี ฉันใช้กระบี่เล่มนี้ในการเป็นอันดับหนึ่งในบรรดารายชื่อปรมาจารย์”
“ฉันตั้งชื่อมันว่า ท่าลมแรงสามสิบหก!”
เดาว่าชื่อนี้น่าจะเป็นการเคลื่อนกระบี่อย่างรวดเร็ว
เยนหนานเทียนวางมือบนหน้าอกแล้วชี้มือเป็นกระบี่ พร้อมที่จะต่อสู้
“เฮ้อ!”
ทันใดนั้นเขาส่งเสียงดังพร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปหาหลินหยุน
เขาสับมือแบบกังฟูรัวๆ สามสิบหกครั้ง
เทียบเท่ากับการที่เขาฟันกระบี่สามสิบหกเล่มในชั่วพริบตา
กระบี่สามสิบหกเล่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นแสงกระบี่อันทรงพลัง พุ่งเข้าหาหลินหยุน
หลินหยุนไม่กล้าประมาท รวบรวมพลังทั้งร่างกายเข้าด้วยกัน แล้วเขวี้ยงหมัดออกไป “ท่าสิบแปดต้าเต๋า ท่าสยบเขา!”
ผลัวะ!
ทั้งสองคนกระเด็นออกจากกัน
ความแข็งแกร่งของเยนหนานเทียนอยู่ในแดนสุดยอดของปรมาจารย์แล้ว และอยู่ในแดนชั้นยอดปรมาจารย์ระดับสูงสุด
และก็เป็นที่พูดถึงของเหล่านักต่อสู้ เขาคือผู้ที่เป็นดั่งเทพเจ้า
แดนในตำนานศิลปะการต่อสู้คือแดนดั่งเทพเจ้า
ผู้ที่ก้าวเข้าสู่แดนดั่งเทพเจ้าครึ่งหนึ่ง จะต้องมีความแข็งแกร่งจริงๆ
เยนหนานเทียนรู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของหลินหยุน
“ท่าลมแรงสามสิบหก เป็นท่ากระบี่ที่ฉันเคยต่อสู้กับมืออมตะทั่วโลกก่อนจะวางมือลง แกยังเด็กมากกลับสามารถรับมือได้”
“เมื่อกี้หมัดของแกนั้นค่อนข้างไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าจะตรงกับกฎเกณฑ์แห่งโลก”
หลินหยุนพูดเบาๆ “จนถึงตอนนี้แกเป็นคนเดียวที่สามารถมองเห็นการโจมตีของฉันได้”
“ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของแกก็น่าจะเข้าสู้แดนเทพเจ้าขั้นแรกแล้ว” เยนหนานเทียนพูดด้วยอารมณ์สั่นไหว
“ฉันวางมือมาสามสิบปีแล้ว และฉันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่แดนนั้น คาดไม่ถึงว่าแกจะเข้าสู้แดนนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย!”
“ถ้าให้เวลาแกอีกสิบปี บางทีแกอาจจะสามารถเข้าสู่แดนนั้นได้อย่างสมบูรณ์แล้ว! ไม่น่าแปลกใจเลยที่แกกล้าที่จะฆ่าลูกชายและหลานชายของฉัน แกมั่นใจในความสามารถแกจริงๆ”
“น่าเสียดายที่ฉันจะไม่ทิ้งโอกาสนี้ไว้ให้แก!”
หลินหยุนพูดอย่างเฉยเมย “ดึงความสามารถที่แท้จริงของแกออกมา! ฉันอยากรู้ว่านักต่อสู้อย่างแกแข็งแกร่งแค่ไหน!”
ไม่ไกลออกไปทุกคนในตระกูลหลินต่างก็สับสนเล็กน้อย
แม้ว่าหลินหยุนและเยนหนานเทียนจะต่อสู้กันหลายร้อยครั้ง ในสายตาของพวกเขามันเหมือนเกิดขึ้นแค่แป๊บเดียว
ควบคู่ไปกับความเร็วที่เร็วมากของทั้งสอง พวกเขาจึงมองเห็นไม่ชัด แต่ฉากที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือทั้งสองยืนคุยกันตรงจุดนั้น
“นี่คืออะไร ทำไมเยนหนานเทียนถึงยืนคุยกันกับหลินหยุน” หานเจียวเจียวถามด้วยความสงสัย
แม้แต่หลินตงเย่วยังขมวดคิ้ว “ไม่ใช่การคุยกัน คนทั้งสองน่าจะต่อสู้กันแล้วเสมอกัน”
“หลินหยุน เด็กคนนี้สามารถเทียบเท่ากับเยนหนานเทียนได้จริงหรือ? เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” สวี่เหม่ยเย้นตกใจ
หลินตงเย่วส่ายหัว “ไม่ค่อยแน่ใจ บางทีเยนหนานเทียนอาจจะลองทดสอบแบบหยั่งเชิง อาจไม่ได้ใช้แรงทั้งหมดที่มีของเขา”
หานเจียวเจียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันว่าแล้วหลินหยุนจะสู้เยนหนานเทียนได้อย่างไร?”
นายท่านหลินห้าทนฟังไม่ไหวจึงตะโกนอย่างโกรธเคือง “หุบปาก! พวกแกคือคนที่อัปยศอดสูต่อตระกูลหลินจริงๆ !”