จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 810 โจมตีตึกว่างเยว่
สำนักอู๋อิ่งได้ชื่อว่าอู๋อิ่ง ความเร็วในการจู่โจมก็เป็นจุดแข็งของพวกเขา
ที่คำพูดที่ว่า วิชาฝึกบู๊ในใต้หล้านี้ ไม่มีอะไรที่เอาชนะความเร็วได้
สำนักอู๋อิ่งก็เชื่อมั่นในจุดนี้ ไม่ว่ากระบวนท่าอะไรก็ตาม ก็จะต้องเอาความเร็วมาไว้อันดับแรกก่อนทั้งนั้น
ผู้อาวุโสใหญ่กระโดดตัวขึ้นสูง จากนั้นก็เตะกลางอากาศไปยังซูจื่อเหลียง360ท่าในชั่วพริบตาเดียว
ถึงแม้ว่าเป็นเพราะเน้นความเร็วมากจนเกินไป พลังแรงที่จู่โจมจึงลดลงไปบ้าง แต่ว่า ความได้เปรียบของความเร็วนั้น ทำให้จำนวนครั้งที่พวกเขาจู่โจมก็มีมากกว่าคนอื่นในเวลาเดียวกัน
คิดโดยรวมแล้ว พลังแรงทั้งหมดที่รวมกันครั้งสุดท้าย ก็ยังได้เปรียบกว่ามากทีเดียว
ซูจื่อเหลียงทำเสียงฮื่อใส่ “ท่าดีทีเหลว ใช้การอะไรไม่ได้สักอย่าง”
“ฝ่ามือผ่าภูเขา!”
ซัดฝ่ามือออกไปหนึ่งที ราวกับพายุพัดโหมกระหน่ำ นี่คือวิชาบู๊ฉบับย่อของแดนผู้บำเพ็ญเซียนที่หลินหยุนได้ทำการคัดย่อขึ้นมาใหม่
พลังแรงเมื่อเทียบกับท่าเตะสำนักอู๋อิ่งแล้ว แข็งแกร่งกว่าหลายเท่าตัวมาก
โป้ง!
คราวนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ถูกซัดจนกระเด็นลอยออกไป แล้วชนกับกำแพงของโรงแรมอย่างแรง
เอิ่ก!
หลังจากที่ผู้อาวุโสใหญ่กลิ้งตกลงบนพื้นแล้ว ก็กระอักเลือดสดออกมา
นี่ก็เป็นการพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า หนึ่งพลังแรงเอาชนะสิบได้
“ยังจะลองอีกไหม?” ซูจื่อเหลียงมองดูผู้อาวุโสใหญ่ด้วยสายตาดูถูก แล้วถามอย่างเยือกเย็น
ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าโกรธจัด ฝืนทนต่อพิษบาดแผลในตัว แล้วลุกขึ้นยืน
“ฝีมือไม่ดีเท่าคนอื่น ฉันยอมแพ้แล้ว แต่ว่า หนี้แค้นที่ฆ่าเจ้าสำนักน้อยของเรา สำนักอู๋อิ่งของพวกเราจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆอย่างเด็ดขาด”
“พวกแกก็รอให้สำนักอู๋อิ่งเรามาแก้แค้นก็แล้วกัน!”
“พลังความสามารถของเจ้าสำนักเรา เหนือกว่าฉันสิบเท่า แกไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน”
ซูจื่อเหลียงพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า: “ไสหัวไป!”
ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าแดงก่ำ ตะโกนเรียกพวกลูกน้องอย่างไม่ยอมจำนนว่า: “ไป!”
คนของสำนักอู๋อิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่พามาพวกนั้น เมื่อเห็นผู้อาวุโสใหญ่ได้รับบาดเจ็บ ต่างละคนต่างก็รีบวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปเลย
หลังจากที่คนของสำนักอู๋อิ่งไปกันหมดแล้ว พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ก็รีบเดินเข้ามาด้วยความแตกตื่น คำนับซูจื่อเหลียงแล้วพูดว่า: “ขอบคุณปรมาจารย์ที่ช่วยชีวิตค่ะ!”
สีหน้าซูจื่อเหลียงเคร่งเครียด ไม่พูดจาอะไร หันหลังกลับแล้วเดินจากไป
เมื่อมาถึงที่ลับตาแห่งหนึ่ง มุมปากของซูจื่อเหลียง ก็มีรอยเลือดทะลักออกมา
การต่อสู้เมื่อครู่นี้ ไม่ได้ดูสบายเหมือนกับลีลาท่าทางที่เขาแสดงออกมาเลย
พละกำลังของผู้อาวุโสใหญ่ด้อยกว่าเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การโจมตีเมื่อครู่เขาก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน
“เสียดายที่ว่า ประสิทธิผลของยาสร้างกระดูกฉันยังไม่สามารถดูดซับไว้ได้ทั้งหมด ถ้าให้เวลาฉันอีกสามเดือนละก็ คู่ต่อสู้ระดับอย่างเช่นผู้อาวุโสใหญ่สำนักอู๋อิ่งนี้ ไม่ต้องมาคุยกันเลย”
“ยังไม่รู้ว่าอาจารย์จะกลับมาเมื่อไหร่ ถ้าสำนักอู๋อิ่งยกทัพมาถล่มอีกละก็ ฉันก็ต้านรับไม่ไหวอย่างแน่นอน”
“เห็นทีจะต้องถอยกลับไปตั้งหลักที่คฤหาสน์ตึกว่างเยว่ก่อน อาศัยค่ายกลที่นั่น น่าจะยังสามารถต้านทานการโจมตีของสำนักอู๋อิ่งไว้ได้ แล้วถ่วงเวลารอให้อาจารย์กลับมาก็ได้”
ซูจื่อเหลียงรีบไปหาหวางซูเฟิน แล้วเล่าเรื่องที่สำนักอู๋อิ่งมาแก้แค้นให้กับหวางซูเฟินได้รับรู้
หลังจากได้ฟังแล้ว หวางซูเฟินพูดด้วยความโกรธว่า “นี่มันเป็นการใส่ร้ายกันชัดๆ หลังจากที่ฉินหลันถูกจับไปแล้ว หลินหยุนก็ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเททั้งหมดไปที่ตัวฉินหลัน จะมีเวลาที่ไหนไปฆ่าเจ้าสำนักน้อยของเขาล่ะ!”
ซูจื่อเหลียงพูดด้วยเสียงเข้มว่า “ฉันฟังจากน้ำเสียงของผู้อาวุโสใหญ่นั้นแล้ว ไม่เหมือนพูดโกหก อาจไม่แน่ว่ามีคนจงใจใส่ร้ายป้ายสีอาจารย์ก็ได้”
“แต่ว่า ยังไงก็ตาม พวกเราตอนนี้จำเป็นต้องรอให้อาจารย์กลับมาก่อน แล้วค่อยคิดกันอีกที”
“คราวนี้ถึงแม้ว่าฉันสามารถสู้กับผู้อาวุโสใหญ่จนล่าถอยไปก็ตาม แต่ว่า คราวหน้าเจ้าสำนักของพวกเขาจะต้องมาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ฉันเกรงว่าจะต้านรับไว้ไม่ได้”
“คุณพาญาติสนิทคนใกล้ชิด ตามฉันไปตั้งหลักที่คฤหาสน์ตึกว่างเยว่ก่อนดีกว่านะ อาจารย์ได้วางค่ายกลที่นั่นไว้แล้ว น่าจะสามารถต้านการโจมตีของสำนักอู๋อิ่งได้”
หวางซูเฟินพยักหน้า “ก็คงจะต้องทำอย่างนี้แล้ว”
หวางซูเฟินก็รีบแจ้งให้นายท่านหลินซื่อเฉิง และยังมีหลินตงหัวอย่างรวดเร็ว ให้พวกเขาทั้งหมดไปที่ทะเลสาบเย่หยาเมืองหลินโจว
นายท่านหลินและหลินตงหัวตอนแรกก็ไม่อยากที่จะไปหลบซ่อนตัว แต่ว่า หวางซูเฟิน ได้เล่าถึงความรุนแรงของเรื่องราวแล้ว และยังพูดถึงข้อสงสัยที่หลินหยุนอาจจะถูกคนใส่ร้ายให้พวกเขาทั้งสองได้เข้าใจ
เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับหลินหยุนในภายหลัง ทั้งสองคนจึงยอมตกลงไปหลบที่คฤหาสน์ตึกว่างเยว่ชั่วคราวก่อน
ภายในเวลาหนึ่งวัน พวกเขาก็ได้มารวมตัวอยู่ที่คฤหาสน์ตึกว่างเยว่แล้ว
หลังจากที่พวกเขาได้ไปรวมตัวได้ไม่นานนัก บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปทางนั้นก็ได้ส่งข่าวมาว่า มีนักบู๊จำนวนมากกลุ่มหนึ่งมาที่บริษัท ตงหวาง กรุ๊ป แล้วทุบทำลายข้าวของเสียหาย จากนั้นก็หลบหนีไป
แน่นอนที่ว่า หวางซูเฟินก็ได้กำชับพวกพนักงานเหล่านั้นอย่าได้ขัดขืนพวกเขา ถ้าพวกเขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไป เพื่อหลีกเลี่ยงเกิดการเจ็บตายที่ไม่จำเป็นขึ้น
“ช่วงนี้พวกเขาน่าจะยังหาที่นี่ไม่เจอ” หวางซูเฟินก็รู้สึกโล่งอก
“หวังว่าเสี่ยวหยุนจะรีบกลับมาทัน!”
ซูจื่อเหลียงพูดว่า “ทุกท่านวางใจได้ ยังไม่ต้องพูดถึงคนของสำนักอู๋อิ่งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราอยู่ที่นี่ ต่อให้พวกเขาหาเจอแล้ว ค่ายกลของอาจารย์ที่วางเอาไว้ พวกเขาก็ไม่อาจจะ ทำลายได้หรอก”
“ขอให้ทุกท่านวางใจได้เลย ก็ถือซะว่าออกมาพักผ่อนหย่อนใจก็แล้วกัน รอให้อาจารย์กลับมาจากญี่ปุ่นก่อน คนของสำนักอู๋อิ่งพวกนั้นก็จะกลายเป็นพวกตัวตลกกระโดดโลดเต้นไปมาแล้วล่ะ”
“อึม” นายท่านหลินซื่อเฉิงพยักหน้า
“ฉันสามารถรับรู้ได้ถึงชี่ทิพย์ฟ้าดินของที่นี่ เข้มข้นกว่าข้างนอกหลายเท่าเลย นี่ก็เป็นฝีมือของหลินหยุนเหรอ?”
หลินซื่อเฉิงนับว่าเป็นผู้ฝึกเซียนที่เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง เข้าถึงแดนได้เร็วมาก ตอนนี้มีความรู้สึกไวต่อชี่ทิพย์ฟ้าดินได้มากจนเกินไปแล้ว
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าอายุมากแล้ว คุณสมบัติของหลินซื่อเฉิง เมื่อเทียบกับหลินหยุนสมัยนั้น ยังดีกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว
ซูจื่อเหลียงพยักหน้า “ใช่ครับ อาจารย์ได้วางค่ายกลรวมพลังห้าธาตุพรสวรรค์ไว้ที่นี่ ดังนั้น ชี่ทิพย์ที่นี่จึงเข้มข้นกว่าที่อื่น”
หวางซูเฟินและหลินตงหัว ถึงแม้ก็เคยทดลองฝึกเซียนมาแล้วบ้าง แต่สุดท้ายพบว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกเซียนเลย จึงได้ยกเลิกการฝึกไป
สำหรับการสนทนาระหว่างซูจื่อเหลียงและหลินซื่อเฉิง ก็ยังพอฟังเข้าใจบ้าง
หลินตงหัวรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย “นึกไม่ถึงจริงเลยว่า หลินหยุนเด็กคนนี้ ถึงกับสามารถเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศได้ด้วย”
หวางซูเฟินทำตาค้อนใส่เขา: “คือชี่ทิพย์ ไม่ใช่ลมฟ้าอากาศ!”
ซูจื่อเหลียงยิ้มแล้วพูดว่า: “ความจริงแล้วหลักการของค่ายกลรวมพลังห้าธาตุพรสวรรค์ง่ายมากเลย ก็คือดึงเอาชี่ทิพย์ฟ้าดินที่อยู่บริเวณรอบๆมารวมกันไว้ที่นี่”
“ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ ถึงแม้ว่าอาจารย์อาจจะมีวิธีเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศได้ก็ตาม แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศจะต้องยุ่งยากมากกว่าการเปลี่ยนแปลงชี่ทิพย์อย่างแน่นอน”
ต่อจากนั้น ซูจื่อเหลียงก็ได้พาพวกหวางซูเฟิน ไปชมรอบๆตึกว่างเยว่
คาร์นอตวิลเลียมและซูหนันก็ไม่รู้ไปไหนแล้วเช่นเดิม
ต่อจากนั้น ซูจื่อเหลียงและนายท่านหลินก็ได้ฝึกบำเพ็ญตนที่นี่ หวางซูเฟินและหลินตงหัวต่างคนต่างโทรศัพท์ไปกำกับดูแลงานของตัวเองทางออนไลน์
เวลาก็ได้ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน
แต่ว่า เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซูจื่อเหลียงก็ถูกสัญญาณเตือนภัยของค่ายกลปลุกให้ตื่นจากการฝึกฝน
“แย่แล้ว มีคนบุกเข้ามาทำลายค่ายกล!” ซูจื่อเหลียงพูดด้วยความโกรธ
นายท่านหลินก็หยุดฝึกฝนต่อ ถามด้วยความเป็นห่วงว่า: “งั้นจะทำยังไงดี?”
“คุณสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้ไหม?”
ซูจื่อเหลียงส่ายหน้า “อาจารย์ยังไม่เคยสอนวิธีการควบคุมค่ายกลให้ฉันเลย”
“ฉันจะออกไปดูก่อนว่า ใครมาบุกค่ายกล!”
“อึม คุณต้องระวังนะ” นายท่านหลินพูด
ซูจื่อเหลียงยืนอยู่บนต้นไม้ที่อยู่กลางเนินเขา มองเห็นบริเวณเชิงเขามีกลุ่มคนหลายสิบคนในชุดเสื้อผ้าที่เหมือนกับคนสำนักอู๋อิ่งในวันนั้นเลย
“เป็นไปได้ยังไง! คนของสำนักอู๋อิ่งมาถึงที่นี่ได้เร็วขนาดนี้เชียว!”
“พวกเขารู้ได้ยังไงว่าอยู่ที่นี่!”
ในใจซูจื่อเหลียงรู้สึกช็อกไปเลย
เบื้องหลังของเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าจะมีมือที่มองไม่เห็น คอยบงการทุกอย่างอยู่
ที่บริเวณเชิงเขา เย่ซื่อหมิงเจ้าสำนักอู๋อิ่งนำทีมเหล่ายอดฝีมือทั้งสำนัก กำลังปรึกษาหาวิธีการทำลายค่ายกลนี้อยู่
“คิดไม่ถึงเลยว่า ปรมาจารย์หลินคนนั้นถึงกับวางค่ายกลที่แปลกประหลาดเช่นนี้ไว้!”
“มิน่าล่ะเขาถึงได้ไม่เห็นสำนักอู๋อิ่งเราอยู่ในสายตาเลย”
เย่ซื่อหมิงสีหน้าบึ้งตึง
“แต่ว่า ฉันกับเขาไม่มีความแค้นอะไรกันเลย เขากลับฆ่าลูกชายฉัน หนี้แค้นนี้ใหญ่หลวงจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว!”
“วันนี้ ต่อให้จะต้องถล่มภูเขาลูกนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง ฉันก็จะต้องทำลายค่ายกลนี้ให้ได้ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายที่ตายอย่างอนาถของฉัน!”
“ผู้อาวุโสทั้งห้า พวกคุณนำทีมพาพวกลูกน้องฝีมือชั้นเยี่ยมยี่สิบคน บุกเข้าไปทำลายค่ายกลก่อน!